รักนรินทร์เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย
รักนรินทร์เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย
บทที่ 6
"ดอกเดซี่บานสวยเชียว พี่ฤกษ์เห็นด้วยไหมครับ? " รักนรินทร์ถามพี่ชายที่ตอนนี้ในมือกำลังเลื่อนดูข้อมูลการผลิตยาในแท็บเล็ตของเขา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ รักนรินทร์จะหยุดเขียนงานเพื่อใช้เวลากับตัวเอง และเขารู้สึกดีที่วันนี้ฤกษ์เองก็ไม่ได้เข้าบริษัท
อันที่จริงมันก็ควรจะเป็นวันหยุดปกติอยู่แล้ว แต่พี่ชายเขาไม่เคยจะใช้เวลาพักผ่อน เอาแต่ทำงาน พอเช้านี้ที่เห็นอีกคนสวมชุดสบายๆ แล้วมาทานอาหารเช้าพร้อมเขาได้แบบนี้รักนรินทร์ดีใจจริงๆ
หลังอาหารเช้าคนตัวเล็กเห็นว่าวันนี้อากาศค่อนข้างดี มีแดดอ่อนๆ จึงชวนพี่ชายตัวสูงมานั่งรับลมที่สวนด้วยกัน
"อืม" ฤกษ์ส่งเสียงตอบในลำคอแต่สายตายังไล่ดูข้อมูลอยู่แบบนั้น
รักนรินทร์ยู่ปากน้อยๆ อย่างน่ารัก เขานั่งจ้องหน้าพี่ชายอย่างติดงอน ฤกษ์ที่รู้สึกตัวจึงเงยหน้ามาสบตาคนตัวเล็ก
"ทำไมมองหน้าพี่แบบนั้น? "
"พี่ฤกษ์ยังไม่ทันมองเลย แล้วจะตอบรักได้ยังไง"
ฤกษ์รู้ตัวทันทีว่าเขาไม่ได้สนใจคำถามของน้องชายเพราะในหัวกำลังคิดเรื่องงาน ไม่แน่ใจว่าน้องชายถามอะไรแต่ก็เผลอตอบไปตามธรรมชาติ
"ขอโทษที พี่มัวแต่ตรวจยอดผลิต แล้วนายถามพี่ว่าอะไรนะ? "
รักนรินทร์ถอนหายใจน้อยๆ
พี่ชายเขานี่จริงๆ เลย!
"รักถามว่าดอกเดซี่บานสวยมากๆ พี่ฤกษ์เห็นด้วยไหมครับ? "
พอได้ยินคำถามอีกครั้ง ฤกษ์จึงหันไปมองดอกไม้ที่น้องชายว่า แล้วหันมาตอบอีกครั้ง "อืม สวยดี"
รักนรินทร์อยากจะหยิกคนตรงหน้าจริงๆ จะฟังหรือไม่ฟังเขาพี่ฤกษ์ก็ตอบแบบเดิมอยู่ดี ตัวเขาอยากจะให้อีกคนพักผ่อนถึงได้ชวนมานั่งในสวนแบบนี้ แต่พี่ชายเขาก็ยังจะเอางานติดมาด้วยจนได้
"วันอาทิตย์พี่ฤกษ์ก็ยังจะทำงานอีกเหรอครับ? "
"แค่ตรวจดูอะไรนิดหน่อย ไม่ได้ทำมากมายหรอก" ฤกษ์ตอบกลับไป นิ้วมือยังคงเลื่อนหน้าจอไปมา
"ขนาดพูดกับรักพี่ฤกษ์ก็ยังทำงาน พี่ฤกษ์ทำงานหนักมากจริงๆ สินะครับ" รักนรินทร์ไม่ได้ประชดแต่เขาพูดด้วยความรู้สึกเป็นห่วงพี่ชาย
วันที่ควรจะเป็นวันพักผ่อนฤกษ์ก็ยังต้องทำงาน รักนรินทร์อดจะกังวลเรื่องสุขภาพของอีกคนไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน หากพวกเขาสามารถปลดหนี้ได้เร็วพี่ชายเขาคงจะมีเวลามากขึ้น รักนรินทร์คิดแบบนั้น
ฤกษ์เองพอได้ยินน้องชายพูดแบบนั้นเขาก็รู้ว่าน้องชายคงจะโทษตัวเองอีกตามเคย มือหนาจึงกดล็อกหน้าจอแท็บเล็ต วางลงบนโต๊ะแล้วหันมาสบตาน้องชายอีกครั้ง
"พี่แค่ตรวจดูเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมากเลยนายน่ะ" ฤกษ์พูดพลางขยี้หัวน้องชายเบาๆ
"รักแค่อยากให้พี่ฤกษ์มีเวลาพักผ่อนบ้างครับ ทำงานหนักมากกลัวพี่ฤกษ์จะทรุดเอา"
คนเป็นพี่เห็นน้องชายมองมาเหมือนกำลังขอร้องเขา อดจะยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ที่อีกคนเหมือนจะอ้อนเขาอย่างไรอย่างนั้น
"วันนี้นายอยากไปไหนไหม? "
"ครับ? " รักนรินทร์งุนงงที่อยู่ๆ อีกคนก็ถามขึ้นมา
"ไหนๆ ก็เป็นวันหยุด นายอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้างรึเปล่า? พี่จะพาไป"
รักนรินทร์อึ้ง นี่พี่ชายเขาพูดจริงหรือเปล่า? เขาไม่ได้หูฟาดใช่ไหม? ทั้งเขาและฤกษ์แทบจะไม่ได้ไหนด้วยกันนานมากแล้ว เพราะพี่ชายไปเรียนต่างประเทศกลับมาก็ต้องเข้าบริษัทเลย และตัวเขาเองก็ไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนดูแล ไม่อยากจะลำบากใคร เป็นไปได้รักนรินทร์จึงเลือกที่จะอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่
แต่นี่พี่ชายเป็นฝ่ายเขาเอ่ยชวน รักนรินทร์ไม่ได้ฝันไปแน่นะ
"ว่าไง? " ฤกษ์ถามย้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป
"พะ..พี่ฤกษ์พูดจริงเหรอครับ? "
"ก็พูดจริงน่ะสิ หรือนายไม่อยากไป? พี่ก็ได้ยินมาว่านายชอบอยู่แต่ในห้องหนังสือเลยคิดว่านายอาจจะอยากไปข้างนอกบ้าง"
รักนรินทร์ดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่ ร่างบางยิ้มกว้างพลางพยักหน้าตอบรับ ฤกษ์เห็นแบบนั้นก็ขำเบาๆ กับท่าทีของน้องชาย
"เราไปชมงานศิลป์กันได้ไหมครับ รักอยากไปมานานแล้ว" คนตัวเล็กตอบ เขาอยากไปหาไอเดียใหม่ๆ มาใช้ในงานเขียน เจ้าตัวสนใจงานด้านศิลปกรรมมาหลายปีแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปไหน อีกทั้งในห้องหนังสือก็ให้ไม่ค่อยมีงานด้านนี้มากนัก พอมีโอกาสเขาก็อยากจะไปมากจริงๆ
เมื่อฤกษ์ตอบรับทั้งสองคนจึงแยกย้ายไปเปลี่ยนชุด คนเป็นพี่เปลี่ยนมาสวมเสื้อเชิ้ตสีครีมสบายตา กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าสนีกเกอร์นุ่มเท้า
ร่างสูงเดินมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นเพื่อรอน้องชาย แต่จู่ๆ เด็กรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งมาหาเขา
"คุณฤกษ์คะ คุณสันต์ภพมาค่ะ"
"ให้เข้ามา" เขาตอบนิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทีอะไรเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะมาหาเขาไม่เร็วก็ช้า
"เจ้าฤกษ์ หลานชาย" สันต์ภพที่เดินเข้ามาถึงก็เอ่ยทักทายคนที่นั่งอยู่ทันที ในมือถือถุงใส่ของหลายใบเป็นป้ายแบรนด์เนมทั้งนั้น
"สวัสดีครับอาสันต์ภพ" ฤกษ์ทักทายกลับไปพลางผายมือให้อีกฝั่งนั่งที่โซฟาอีกตัว
สันต์ภพวางถุงพวกนั้นลงบนโต๊ะหน้าโซฟา แล้วหันไปรับแก้วน้ำจากเด็กรับใช้ ฤกษ์เพียงมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เท่านั้น
"อาซื้อของมาฝาก มีกระเป๋า นาฬิกา เสื้อผ้า ของแบรนด์หมดเลยนะ" สันต์ภพพูด มือก็หยิบของให้ฤกษ์ดูไปด้วย
"ขอบคุณครับ"
"อาไม่อยู่บริษัทหลายวันมีปัญหาอะไรไหม? "
"ไม่ครับ ผมจัดการได้ทั้งหมด"
สันต์ภพพยักหน้าเข้าใจ ตัวเขาไปดูงานที่ต่างประเทศหลายวันในฐานะกรรมการบริหาร จึงไม่ได้อยู่ช่วยฤกษ์จัดการบริหารงานที่บริษัท
"คุณอามาก็ดีแล้วครับ ผมมีเรื่องที่คิดว่าคุณอาน่าจะควรทราบ"
"เรื่องอะไรงั้นหรือ? "
"รักนรินทร์กำลังจะแต่งงานกับลูกชายของเจ้าสัวไพศาล แต่งกับธนัตถ์ วรภัทรสิริกุล"
ตึง!
"อะไรนะ! เจ้ารักน่ะหรือ ทำไมไม่มีใครบอกอาเลย! " สันต์ภพตกใจมาก เขาเผลอใช้มือทุบโต๊ะจนเสียงดัง ทั้งยังใส่คำถามกลับไป
"พี่ฤกษ์ รักแต่งตัวเสร็จแล้วครับ อ้าว อาสันต์สวัสดีครับ" รักนรินทร์เข้ามาพร้อมชัชวาล สายตาก็เห็นแขกผู้มาใหม่จึงกล่าวสวัสดีและประนมมือไว้ตามประสาผู้น้อย
คนตัวเล็กรู้สึกงงเล็กน้อย นี่เขาเข้ามาผิดจังหวะงั้นหรือ? เห็นสีหน้าอาสันต์ดูจะตกใจและไม่พอใจนิดๆ
"เจ้ารักหลานอา กำลังจะแต่งงานจริงๆ หรือ? " สันต์ภพลุกขึ้นเดินไปหารักนรินทร์ สองมือพลางจับแขนเรียวสองข้างของอีกคนไว้แล้วเอ่ยถาม
"เอ่อ ครับ" รักนรินทร์ตอบตามจริง เขาไม่ค่อยสนิทกับอาสันต์เท่าไหร่ พออีกคนมีท่าทีแบบนี้เขาอดจะเกร็งๆ ไม่ได้
"ทำไมอาไม่เห็นรู้เรื่อง พวกเธอตัดสินใจกันอย่างพลการโดยไม่ถามอาเลยหรือ? " สันต์ภพถามแกมไม่พอใจ แม้จะอยู่คนละบ้านแต่อย่างไรเสียเขาก็มีศักดิ์เป็นอาของทั้งสองคน จึงคิดว่าหากจะทำอะไรก็ควรจะถามความคิดเห็นเขาก่อน ทำแบบนี้ไม่ไว้หน้าเขาเสียเลย ใครรู้เข้ามันจะเสียการปกครองเอาได้
"รักนรินทร์อายุยี่สิบสาม บรรลุนิติภาวะแล้วครับ โตมากแล้วที่จะคิดและทำอะไร อีกอย่างผมเป็นผู้ปกครองของเขา คิดว่าไม่จำเป็นต้องถามอาสันต์" ฤกษ์ตอบกลับ เขามองไปที่สันต์ภพอย่างอ่านได้ยากจนอีกฝ่ายต้องหลบสายตาไป
"แล้วนี่ไม่คิดจะบอกอาเลยหรือไง หรือเห็นอาเป็นคนนอกแบบที่พูด? "
"อาสันต์ไปดูงานที่มาเก๊านี่ครับ แล้วยังบอกว่ามีอะไรก็รอให้กลับไทยก่อน" ฤกษ์ตอบกลับไป อีกฝ่ายเลิ่กลั่กเล็กน้อยแต่ก็ยังกอดอกเชิดหน้าได้อยู่
"แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็น่าจะบอกอาทันทีนะ"
"ทุกอย่างมันกะทันหันน่ะครับอาสันต์ ทั้งรักและพี่ฤกษ์ยุ่งกันมากจนไม่ได้แจ้งให้ทราบ ขอโทษด้วยนะครับ" รักนรินทร์เป็นฝ่ายตอบ เขากล่าวขอโทษแล้วยกมือก้มไหว้ผู้อาวุโสอีกครั้ง
"ทีหน้าทีหลังให้บอกอาทันทีนะ อย่าให้อารู้ทีหลังชาวบ้านแบบนี้"
"ครับ/ครับ" ฤกษ์และรักนรินทร์ตอบพร้อมกัน
"พวกของฝากเอาไว้มาดูทีหลังแล้วกัน อาชักจะหิว บ้านนี้มีอะไรให้อารองท้องมั่งเนี่ย" สันต์ภพพูด เขาลูบท้องตัวเองเบาๆ ลงจากเครื่องก็แวะมาที่นี่เลย กว่าจะถึงรู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งหิว
ฤกษ์มองอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจ เขารู้สึกเอือมกับคุณอาคนนี้ ที่บอกว่าไปดูงานที่มาเก๊านั่นก็ไม่จริง คนของเขารายงานตลอดว่าสันต์ภพไปคาสิโนแทบจะทั้งวันทั้งคืน วันแรกๆ เสียเกือบหมดตัวแต่โชคดีที่วันสุดท้ายได้มาเยอะ ฤกษ์ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายซื้อของแบรนด์เนมมาได้มากมายขนาดนี้
แต่ที่ไม่ห้ามนั่นก็เพราะฤกษ์จะได้ทำอะไรได้สะดวก บริหารจัดการบริษัทได้ราบรื่น เพราะหากอีกฝ่ายอยู่ที่บริษัทก็จะวางมาดวางท่าที่ตัวเองเป็นถึงกรรมการบริหาร แต่แท้จริงแทบจะช่วยอะไรเขาไม่ได้สักอย่าง
"ผมกับรักกำลังจะออกไปข้างนอก ถ้าอาสันต์หิวผมจะให้คุณชัชช่วยจัดการให้ ขอตัวครับ" พูดจบฤกษ์ก็พารักนรินทร์ออกไป เขาไม่ได้ให้ชัชวาลตามไปด้วยเพราะต้องการจะดูแลน้องชายเอง รวมถึงจะได้ให้ชัชวาลได้พักผ่อนบ้างสักวัน
รักนรินทร์รีบยกมือไหว้ลาสันต์ภพทันทีที่ได้ยินคำฤกษ์ ส่วนคนเป็นอาก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ที่อีกฝ่ายทำกิริยากับเขาแบบนี้ อยากจะด่าอยากจะว่าก็ทำไม่ได้ อีกฝ่ายแม้จะเป็นหลานแต่ก็เป็นถึงประธานบริษัท เทียบกันแล้วเขาไม่มีอะไรสู้ได้เลย
"อาสันต์ดูไม่พอใจนะครับพี่ฤกษ์" รักนรินทร์ถามพี่ชายในขณะที่ทั้งสองกำลังไปที่รถ
"อย่าไปสนใจ" ฤกษ์ตอบสั้นๆ แล้วพารักนรินทร์ขึ้นรถ เขาฝากให้ชัชวาลจัดการดูแลสันต์ภพไม่ให้ก่อความวุ่นวายหรือหยิบจับอะไรออกไป จากนั้นทั้งฤกษ์และรักนรินทร์ก็ออกจากบ้านไป
.
.
.
"ภาพนี้ลงสีได้ประณีตมาก สวยจังเลย" รักนรินทร์พึมพำกับตัวเองเบาๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ใครที่ผ่านไปผ่านมาแล้วได้เห็นก็อดจะมองอย่างสนใจไม่ได้
รักนรินทร์สวมเสื้อผ้าไหมคอจีนสีขาวแขนสั้น กางเกงขาห้าส่วนสีน้ำตาลตัดด้วยรองเท้ารัดส้นและสร้อยโช้คเกอร์สีดำ ยิ่งมีฤกษ์เดินด้วยกันทั้งสองคนยิ่งโดดเด่นเข้าไปอีก
"โอ๊ะ! อันนี้น่าสนใจมากเลย"
ฤกษ์ยิ้มเอ็นดูให้กับน้องชาย ตั้งแต่มาถึงที่นี่รักนรินทร์ยังไม่หยุดยิ้มเลยทั้งยังดูมีพลังเหลือเฟือ ตัวเขาไม่ค่อยเข้าใจงานศิลป์เท่าไหร่ได้แต่เดินดูไปพลางๆ แต่กับน้องชายเขาแล้วเจ้าตัวตื่นเต้นมากกว่าใครเพื่อน
"พี่ฤกษ์ เราแวะร้านหนังสือก่อนกลับได้ไหมครับ" คนตัวเล็กหันมาถามพี่ชาย ตอนนี้เกือบจะบ่ายสองโมงแล้ว ฤกษ์บอกจะพาไปทานข้าวก่อนกลับบ้าน รักนรินทร์ที่เห็นร้านหนังสือตั้งแต่เข้ามาก็อยากจะเข้าไปดูเสียหน่อย
"อืม" ฤกษ์ตอบ รักนรินทร์ยิ้มกว้างอีกครั้ง ดูจะดีใจเอามากๆ ฤกษ์ที่เห็นน้องชายอารมณ์ดีแบบนั้นก็คิดว่าคงจะต้องพารักนรินทร์ออกมาเที่ยวบ่อยๆ
หลังจากรักนรินทร์หย่าแล้วเขาจะใช้เวลากับน้องชายให้มากกว่าเดิม
พอเข้ามาในร้านหนังสือ รักนรินทร์ก็ใช้มือเข็นตัวเองไปตามชั้นต่างๆ แววตาตอนนี้ราวกับมีดวงดาวประดับประดาเพราะมันช่างวาววับมีประกาย คนตัวเล็กคอยไล้มือตามสันหนังสือเพื่อดูชื่อเรื่องที่น่าสนใจ ดึงออกมาจากชั้นดูคำโปรยด้านหลัง
ฤกษ์เห็นแบบนั้นจึงปล่อยให้น้องชายใช้เวลากับตัวเอง ส่วนเขาเดินดูไปเรื่อยๆเผื่อจะมีหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจบ้าง
ปึ่ก!
"อ๊ะ ขอโทษครับ ผมไม่ระวัง" เสียงเล็กของชายคนหนึ่งขอโทษร่างสูงทันทีที่เดินชน
ฤกษ์หันไปมองคนที่เดินชนเขา ร่างเล็กตรงหน้าสวมเสื้อยืดแขนยาว กางเกงยีนพับขาและรองผ้าใบ อีกทั้งเจ้าตัวยังสะพายกระเป๋าสีเขียวขี้ม้ามาด้วย
"ไม่เป็นไร" เขาตอบออกไป คนที่ก้มหัวขอโทษเขาอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมา อีกฝ่ายตาโตทันที
"คุณฤกษ์!" เด็กคนนั้นเรียกชื่อเขาอย่างตกใจ
ฤกษ์งุนงงว่าทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ชื่อของเขา แต่พอเพ่งมองคนตรงหน้าอีกทีเขาก็รู้สึกเหมือนจะเคยเห็นที่ไหน
"นายคือ.."
"ผมพริสาน้องชายต่างแม่ของคุณธนัตถ์ คุณฤกษ์จำผมได้หรือเปล่าครับ?" เด็กน้อยตอบกลับพลางคิดว่าถ้าธนัตถ์มาได้ยินที่เขาพูดว่าเป็นน้องโดนด่าไปแล้ว
ร่างสูงจำได้ทันที ตอนที่เจออีกฝ่ายเขาไม่ได้ให้ความสนใจมากนักเพราะมัวแต่จับตาดูว่าที่คู่ครองของน้องชายมากกว่า
"อ่อ อืม.." เขาทำเพียงตอบสั้นๆ
"เอ่อ ผมขอโทษที่เดินไม่ดูนะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะชนคุณฤกษ์เลยจริงๆ"
"ทีหลังก็ดูดีๆหน่อย บางคนก็ไม่ได้ใจดีที่จะไม่เอาเรื่อง" ฤกษ์ไม่ได้ว่าอีกฝ่ายแต่เขากำลังสอนตามประสาคนโตกว่า ดูอีกคนจะใจลอยเดินไม่มองทาง หากเดินไม่ดีไปชนพวกใจร้อนขึ้นมาจะเป็นเรื่องใหญ่
พริสาหน้าเจื่อนลงไปนิดที่โดนอีกฝ่ายสั่งสอน คุยกันจริงจังครั้งแรกก็โดนดุเลยหรือเนี่ย!
"พี่ฤกษ์รักจะไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ก่อนนะครับ" รักนรินทร์ที่เลือกหนังสือที่ถูกใจได้หลายเล่มก็เข็นรถมาหาพี่ชาย
"เอ่อ สวัสดีครับคุณรักนรินทร์" พริสารีบทักทันทีที่เห็นร่างบนรถเข็น
"คุณพริสาสินะครับ สวัสดีครับ" รักนรินทร์ตอบกลับ เขายิ้มน้อยๆส่งไปให้แล้วถามต่อ "บังเอิญจังเลยที่เจอกันที่นี่ มากับใครเหรอครับ?"
"คือ ผมมาคนเดียวน่ะครับ แต่กำลังจะกลับแล้ว" พริสาตอบ เขายืนกุมมืออย่างสุภาพแต่ในใจรู้สึกเกร็งสุดๆเพราะพึ่งจะเคยได้คุยกับสองพี่น้องอธิพัฒน์มนตรีจริงๆจังๆก็ครั้งนี้ื
"พอดีเลย พวกเราก็กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน คุณพริสามีธุระไปไหนต่อหรือเปล่า? ผมกับพี่ฤกษ์เราจะแวะหาอะไรทานก่อนกลับ ไปด้วยกันสิครับ" รักนรินทร์เอ่ยชวน เขาอยากคุยกับพริสาเพราะดูแล้วอายุไม่ต่างกันมาก อีกอย่างต้องย้ายไปบ้านหลังนั้นเขาเองจะได้มีเพื่อนที่เป็นมิตรจริงๆ
พริสาอยากจะปฏิเสธแต่พอเห็นสายตาของรักนรินทร์ที่ดูจะคาดหวังก็อึกอักไม่รู้จะตอบอย่าไงดี เขาไม่อยากรบกวนเวลาของสองพี่น้องมากนัก
"ขากลับต้องผ่านบ้านของนายอยู่แล้ว ฉันจะไปส่ง" ลังเลใจอยู่สักครู่ฤกษ์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา ดูแล้วน้องชายเขาคงอยากจะคุยกับเด็กตรงหน้าจริงๆ อาจจะเป็นการบังคับพริสาไปเสียหน่อยแต่อย่างไรทั้งรักนรินทร์และเด็กคนนี้ก็ต้องได้อยู่ร่วมบ้านกัน
ทำความรู้จักไว้ก็ถูกต้องแล้ว
พริสาในที่สุดก็ตอบตกลง เขาและรักนรินทร์จึงนำหนังสือไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ พอออกจากร้านก็ไปขึ้นรถที่จอดอยู่ที่ลานจอด
ฤกษ์ขับรถมาที่ห้างหรู เขาพาเด็กในสายตาทั้งสองคนมาทานข้าวที่ร้านอาหารไทย ปล่อยให้รักนรินทร์และพริสาสั่งตามใจชอบ แต่ดูเหมือนจะเป็นรักนรินทร์เสียมากกว่าที่สั่งอยู่คนเดียว
"อยากทานอะไรก็สั่งเลย ไม่ต้องเกรงใจฉัน ครั้งก่อนคุณหญิงก็เป็นฝ่ายเลี้ยงพวกเรา" ฤกษ์พูดขึ้น แม้ว่าครั้งก่อนจะแทบไม่ได้แตะอาหารเลยก็เถอะ
พริสาเกรงสายตาที่อีกฝ่ายมองมาเลยสั่งอาหารไปอย่างหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
คุณฤกษ์น่ากลัวมาก!
บริกรรับรายการจากทั้งสามคนแล้วเดินออกไป ฤกษ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเนื่องจากมีการแจ้งเตือนอีเมลใหม่ขึ้น รักนรินทร์จึงหันไปชวนพริสาพูดคุย
"คุณพริสากำลังเรียนอยู่มหาลัยสินะครับ"
"เอ่อ ใช่ครับ" พริสาแอบสะดุ้งนิดหน่อยที่จู่ๆอีกคนก็ชวนเขาคุย "คุณรักนรินทร์เรียกผมว่าพีดีกว่าครับ ชื่อเล่นผมเอง ผมอายุน้อยกว่าอย่าเรียกคุณเลยครับ"
"งั้นพีเรียกพี่ว่าพี่รักนะ แล้วก็เรียกพี่ฤกษ์" รักนรินทร์ตอบยิ้มๆ ทั้งยังให้อีกคนเรียกพี่ชายว่าพี่ตามตน
พริสาอึกอักอีกรอบ กับรักนรินทร์เขาพูดได้ไม่ตะขิดตะขวง แต่กับอีกคนเขาไม่กล้าแม้จะเอ่ย ก็ดุซะขนาดนี้!
คนอายุน้อยสุดแอบเหลือบตามองคนที่ดูโทรศัพท์อยู่ตอนนี้ ร่างสูงยังคงจดจ้องอยู่กับหน้าจอไม่ได้สนใจอะไรเขา พริสาจึงหันมายิ้มแห้งๆให้แก่รักนรินทร์
"น้องพีเรียนอยู่ปีไหนแล้วเหรอ?"
"ปี3แล้วครับ เทอมหน้าพีก็ขึ้นปี4 ฝึกงานเทอมแรกด้วยครับ" พริสาตอบพลันสีหน้าก็หงอยลงไป เพราะเทอมหน้าต้องฝึกงานแล้วเทอมนี้ถึงต้องรีบหาที่ฝึกให้ได้โดยเร็ว แต่ไหนจะรายงาน โปรเจ็คต่างๆ เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปหากันเล่า!
"งั้นเหรอ แล้วไปฝึกงานที่ไหนล่ะครับ?"
"พียังหาไม่ได้เลยครับพี่รัก แฮะๆ"
"เรียนอะไรมาล่ะ?" ฤกษ์ที่นั่งจ้องโทรศัพท์อยู่ก็ถามขึ้นเสียงเรียบแต่ไม่ได้เงยหน้ามองแม้แต่นิด
"เอ่อ ระ..เรียนคณะวิทยาศาสตร์ สาขาจุลชีววิทยาครับ" รักนรินทร์คุยด้วยก็ว่าสะดุ้งแล้ว พออีกคนคุยด้วยเขาสะดุ้งแรงกว่า
"ที่บริษัทมีนโยบายรับอินเทิร์นอยู่ อยากจะลองมาดูไหมล่ะ? เห็นแบบนี้ฉันก็จ่ายเงินเดือนให้เด็กอินเทิร์นทุกคน"
พริสาอึ้งกับคำชวนของอีกคน นี่เขาเครียดตั้งนานแต่พอมีคอนเนคชั่นมันก็มาง่ายขนาดนี้เลยหรือ แถมยังใกล้ตัวกว่าที่คิดเสียด้วย พริสาดีใจสุดๆ
"ครับ! แน่นอนผมจะลองไปยื่นเอกสารที่บริษัทพี่ฤกษ์นะครับ" หนุ่มน้อยดีใจเสียจนลืมความเกร็งที่มีต่ออีกคนไปโดยปริยาย
ฤกษ์ที่ได้ยินอีกคนเรียกตนว่าพี่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง เขาเห็นอีกฝ่ายยิ้มสดใสก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมานิดๆ รู้สึกเหมือนจะเห็นเงารักนรินทร์ซ้อนทับเด็กนี่อย่างไรอย่างนั้น
คุยกันไปสักพักบริกรนำอาหารมาที่โต๊ะ คนที่ดูจะเจริญอาหารเป็นพิเศษคงไม่พ้นรักนรินทร์และพริสา คนหนึ่งดีใจที่ได้ออกมาข้างนอกพร้อมพี่ชาย ส่วนอีกคนดีใจได้คอนเนคชั่นเสียที ส่วนฤกษ์เพียงยิ้มบางๆให้เด็กน้อยทั้งสองคน
.
.
.
"ขอบคุณที่มาส่งนะครับพี่ฤกษ์ พี่รัก" พริสากล่าวขอบคุณเมื่ออีกฝ่ายมาส่งเขาถึงหน้าบ้าน อันที่จริงอีกฝ่ายจะวนรถเข้าไปส่งในบ้านให้ แต่พริสาปฏิเสธส่วนหนึ่งเพราะกลัวจะมีปัญหากับธนัตถ์
นี่ก็ห้าโมงเย็นพอดี ถ้ากลับเองคงรอรถนานแน่ๆ
"ไว้เจอกันนะน้องพี" รักนรินทร์กล่าว จากนั้นฤกษ์ก็ขับรถออกไป
พริสาอมยิ้มเดินเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี เขาเดินเข้าบ้านใหญ่หวังจะไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่บนชั้นสอง
กึก..
พริสาชะงักไปนิดเมื่อสวนกับใครบางคนในขณะก้าวขึ้นบันได
"เอ่อ สวัสดีครับ คุณธนัตถ์.."
"..."
"..."
อีกฝ่ายไม่ตอบเขา ทำเพียงเหลือบมองแล้วก้าวเดินลงไปอย่างไม่ใส่ใจ
พริสาถอนหายใจฟู่ โล่งใจที่อีกฝ่ายไม่หาเรื่องอะไรเขาอีก หนุ่มน้อยเลิกสนใจ ขาเล็กก้าวไปยังห้องของตนทันที
"พริสา ทำไมกลับมาช้า?"
อีกนิดเดียวเขาจะบิดประตูเข้าห้องได้อยู่แล้วเชียว ทำไมต้องมีมารผจญตลอดนะ!
"พีแวะหาไรกินอะพี่ภูเลยมาช้า" พริสาตอบพี่ชายที่ทักเขาเอาไว้ก่อน ภูวนาถรับรู้ว่าวันนี้น้องชายจะไปข้างนอกแล้วบอกว่าจะกลับถึงช่วงบ่ายสาม
แต่นี่มันห้าโมงแล้ว!
"ไหนบอกจะรีบกลับมากินข้าวพร้อมแม่" ภูวนาถทวนคำพริสาที่บอกก่อนออกไป
พริสารู้ว่าพี่ชายเขานี่ยิ่งกว่าแม่เสียอีก ถ้าได้ถามคงถามเป็นร้อยอย่าง เขาทำหน้าเบื่อแล้วเดินเข้าห้องไป ภูวนาถเองก็เดินตามน้องชายเข้ามาเช่นกัน
"ตอนแรกก็ไม่ได้จะไปหรอกพี่ภู แต่มันปฏิเสธลำบากน่ะ" หนุ่มน้อยตอบพลางเดินไปนั่งบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า
"ปฏิเสธ? พีไม่ได้ไปกินข้าวคนเดียวหรอกเหรอ?"
"พอดีว่า.. พีเจอพี่รักกับพี่ฤกษ์ที่หอศิลป์โดยบังเอิญ"
"พี่รัก พี่ฤกษ์?"
"ก็พี่รักนรินทร์ว่าที่คู่สมรสพี่ เอ้ย คุณธนัตถ์ไง กับพี่ฤกษ์พี่ชายพี่รัก"
ภูวนาถที่ทำหน้านึกอยู่ก็จำได้ทันที
"อ๋อ ตาลุงหัวร้อนคนนั้นเอง" ถึงจะจำชื่อไม่ได้แต่เขาจำหน้าตาคนที่ถูกพูดถึงได้ ใครจะลืมลงเหตุการณ์วันนั้นเขาช่างสาแก่ใจ ไอ้หยิ่งธนัตถ์โดนซัดเหมือนหมาจนไปกองอยู่กับพื้น
"โหย พี่ภูก็พูดเกินไป พี่ฤกษ์ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นซะหน่อย ยังหนุ่มยังหล่อ ห่างกับพี่ภูแค่กี่ปีเอง"
"ตกลงใครเป็นพี่แกกันแน่ ฉันหรือลุงนั่น มีแก้ตัวให้ด้วย" ภูวนาถหยอกน้องกลับไปเบาๆ
"พี่ฤกษ์เขาดีกว่าพี่ภูเยอะ นี่นะ พี่ฤกษ์บอกให้พีลองไปยื่นเป็นอินเทิร์นที่บริษัทด้วย เครียดๆอยู่พีอารมณ์ดีขึ้นมาเลย" พริสารีบบอกพี่ชาย ใบหน้าเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
"อินเทิร์นหรอ? ไม่ได้จะดูถูกนะแต่พี่ขอถาม ฝ่ายนั้นเขายังรับไหวอีกเหรอ บริษัทยังมีหนี้อยู่ตั้งเยอะ" คนเป็นพี่อดจะห่วงไม่ได้ กลัวพริสาไปทำงานที่นั่นจะโดนใช้เยี่ยงทาสเลยน่ะสิ น้องชายเขายิ่งตัวเล็กบอบบางอยู่
"ก็น่าจะไหวแหละพี่ภู พี่ฤกษ์บอกว่าถึงจะเป็นอินเทิร์นแต่ก็จ่ายเงินเดือนให้ด้วยนะ ถ้าไม่ไหวเขาคงไม่จ่ายให้หรอก"
ภูวนาถคิดตามคำพูดของน้องชาย ก็คงจะจริงแบบที่อีกฝ่ายบอก ถ้าไม่มีเงินคงจะไม่จะเบี้ยเลี้ยงให้เด็กฝึกงานหรอกมั้ง
"ก็ถ้าเป็นแบบที่พูดก็ดีแล้วแหละ ไปหาแม่ที่บ้านเล็กกันดีกว่า"
" อื้อ"
รักนรินทร์และฤกษ์กลับถึงบ้านเกือบหัวค่ำ การจราจรช่วงเย็นติดขัด รถราอัดแน่นกันอยู่บนถนน กว่าจะฝ่ามาได้เล่นเอาคนขับแทบเหงื่อตก
"คุณฤกษ์ คุณรัก ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ" ชัชวาลกล่าวต้อนรับนายทั้งสองคน
"รักกลับมาแล้วครับอาชัช" รักนรินทร์ยิ้มกว้างให้พ่อบ้านประจำตัว
ชัชวาลรู้สึกได้เลยว่าวันนี้เจ้านายน้อยของเขาคงสนุกกับวันหยุดมากแน่ๆ สีหน้าอารมณ์ดีขนาดนี้
"อาสันต์เป็นยังไงบ้างครับคุณชัช" ฤกษ์ถามถึงสันต์ภพหลังจากที่เขาออกจากบ้านไปแล้ว
"หัวฟัดหัวเหวี่ยงน่าดูครับ คุณฤกษ์ออกไปได้ไม่นานคุณสันต์ภพก็ออกไปครับ"
หลังจากที่ทิ้งสันต์ภพให้ชัชวาลดูแล คนเป็นอาก็แสดงความไม่พอใจออกมาทันที แทนที่จะอยู่รับรองดูแลอาคนนี้แต่กลับออกนอกบ้านไปหน้าตาเฉย ช่างไม่ให้เกียรติเขาสักนิด
"ลำบากคุณชัชหน่อยนะครับ" ฤกษ์กล่าวเชิงขอโทษ ชัชวาลเพียงพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ จากนั้นก็พารักนรินทร์ขึ้นห้องไปเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนชุด ส่วนฤกษ์ก็กลับเข้าห้องตัวเองเช่นเดียวกัน
รักนรินทร์ในชุดนอนเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวนั่งอยู่บนเตียงโดยมีชัชวาชคอยเช็ดผมที่เปียกจากการสระผมเมื่อครู่
มือบางหยิบเอาหนังสือในถุงที่ซื้อวันนี้ออกมา วางเรียงตรงหน้าแล้วค่อยๆเปิดทีละเล่ม
"หนังสือพวกนี้ทั้งปก สีกระดาษ การจัดหน้า ยอดเยี่ยมไปเลยนะครับ อ่านคำโปรยข้างหลังแล้วน่าสนใจจนเผลอหยิบติดมือมาหลายเล่มเลย" รักนรินทร์เอ่ยขึ้น
"สมกับเป็นคุณรักนะครับ พอเป็นเรื่องของหนังสือหรือการอ่านคุณรักมักจะลืมตัวเสมอ" ชัชวาลพูดอย่างเอ็นดูมือก็ยังซับผมเปียกเบาๆ
"แต่ที่วางอยู่บนโต๊ะรักก็ยังอ่านไม่หมดเลย คงอีกสักพักกว่าจะหยิบมาอ่านล่ะนะครับ" รักนรินทร์ชอบอ่านหนังสือมาก เพราะต้องคอยหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ แรกๆอ่านเพื่อศึกษาหลังๆก็เริ่มอ่านเพราะสนุก แต่รักนรินทร์ก็รู้สึกว่ามันก่อให้เกิดนิสัยที่ดีต่อตัวเอง
"จริงสิ อาชัช วันนี้รักบังเอิญเจอน้องพีด้วย หมายถึงพริสาน่ะครับ อาชัชจำได้ไหม?"
"ครับ จำได้"
"พอได้คุยด้วยก็รู้ว่าน้องพีนิสัยดีและน่ารักมาเลยครับ ขนาดพี่ฤกษ์เองก็กูจะเอ็นดูน้องพีมาก"
"คุณฤกษ์น่ะหรือครับ?" ชัชวาลรู้สึกเหลือเชื่อ ปกติก็ไม่เห็นว่าเจ้านายใหญ่จะเอ็นดูใครนอกจากคุณรักของเขาเลย เด็กคนนั้นทำได้อย่างไรกัน?
"ใช่ครับอาชัช ตอนน้องพีเรียกพี่ฤกษ์ว่าพี่ พี่ฤกษ์ถึงกับตกใจเลยครับ รักน่ะมองอยู่ตลอด แถมพี่ฤกษ์ยังชวนน้องพีให้มาฝึกงานที่บริษัทอีกด้วย พี่ฤกษ์คงจะเอ็นดูน้องพีมากแน่ๆ"
"คุณรักไม่น้อยใจหรือครับที่คุณฤกษ์เอ็นดูคุณพริสานอกจากคุณรักด้วย" พ่อบ้านประจำตัวลองเชิงถามรักนรินทร์
"รักไม่น้อยใจหรอกครับอาชัช ดีเสียอีก พี่ฤกษ์จะได้เจอคนใหม่ๆบ้าง" รักนรินทร์ตอบอย่างใจจริง เขาไม่น้อยใจหรอก กลับกันดีใจเสียมากกว่า พี่ชายเขาเป็นคนพูดน้อยทำแต่งาน แต่วันนี้พอเจอพริสาก็พูดเยอะกว่าเดิมนิดหน่อย ต่อไปพี่ฤกษ์จะได้พูดกับเขาเยอะขึ้นบ้าง
"เหมือนได้น้องชายอีกคนสินะครับ" ชัชวาลกล่าว รักนรินทร์จึงหันมายิ้มให้น้อยๆ
ก็คงจะเป็นสถานะน้องชายละมั้งนะ..
ยังไม่ได้ตรวจคำผิดค่ะ