Your Wishlist

รักนรินทร์ (บทนำ)

Author: Jiramil

รักนรินทร์​เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย

จำนวนตอน : N/A

บทนำ

  • 22/04/2564

บทนำ

 

แสงตะวันสีทองสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ในห้องหนังสือ ผ้าม่านเนื้อบางปลิวตามกระแสลมเย็นอ่อนๆ ที่พัดผ่านตามมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

 

ก๊อก ก๊อก...

 

"น้ำชายามบ่ายครับคุณรัก"

เสียงเคาะดังขึ้นหน้าประตูสีขาว ตามด้วยเสียงอันอบอุ่นของชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุมอย่างเรียบร้อย กางเกงสแล็คสีดำยาวจนถึงข้อเท้า รองเท้าหนังมันวาวเข้าชุด พร้อมกับถือชุดถ้วยชากระเบื้องลายสวยงามนำมาให้แก่คนในห้อง

 

"ขอบคุณครับอาชัช" คนถูกทักตอบกลับชายที่อาวุโสกว่าตนด้วยความนอบน้อม เขาระบายยิ้มน้อยๆ เมื่อได้กลิ่นชาฝรั่งที่ลอยอบอวลไปทั่วห้อง ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผ่อนคลายไปในตัว

 

รัก หรือ รักนรินทร์ เป็นคุณชายคนเล็กของบ้านอธิพัฒน์มนตรี อายุ 23 ปี ทำงานเป็นนักเขียนอิสระ รูปร่างค่อนไปทางผอมแต่ไม่มากจนเกินไป ผมดำขลับซอยสั้นให้เข้ากับโครงหน้าสวยของเจ้าตัว ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผิวพรรณขาวเนียนตามประสาคนไม่ค่อยออกแดด จมูกได้รูปสวยรับกับริมฝีปากบาง

กล่าวได้ว่ารักนรินทร์เป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งอาจจะติดตรงที่ตัวเล็กไปเสียหน่อย แต่ทว่าการวางตัวก็ยังสุภาพเรียบร้อยสมกับเป็นคุณชายของตระกูลเก่าแก่

ส่วนอาชัชหรือชัชวาลที่รักนรินทร์เรียกนั้น เป็นคนดูแลส่วนตัวของเขามาตั้งแต่เด็ก อันที่จริงชัชวาลทำงานให้กับตระกูลอธิพัฒน์มนตรีมาตั้งแต่เขายังอายุยังน้อย คอยรับใช้ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ อยู่ตลอด รักนรินทร์จึงรักและให้ความเคารพชัชวาลเหมือนคนในครอบครัว

 

"ดาร์จีลิงสินะครับ" รักนรินทร์เอ่ยขึ้นพร้อมส่งยิ้มให้ชัชวาล

รักนรินทร์มักจะทำงานเขียนในห้องหนังสือ เพราะที่นี่มีหนังสือหลากหลายเรื่องราวและหลากหลายแขนงถูกรวบรวมไว้ตั้งแต่สมัยต้นตระกูลของเขา ถึงแม้บางเล่มจะเก่าจนถูกโละทิ้งหรือหน้าหนังสือหายไปบ้างแต่เขาก็ชอบที่จะหาแรงบันดาลใจหรือข้อมูลอ้างอิงจากที่นี่ รักนรินทร์เขียนบทความและนิยายมามากมาย ในโลกของงานวรรณกรรมเขามีชื่อเสียงอยู่พอสมควร ทั้งยังเคยได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย

ส่วนชัชวาลก็มักจะยกน้ำชาอุ่นๆ มาให้รักนรินทร์ในช่วงบ่ายแบบนี้เสมอ เจ้านายตัวน้อยชอบหมกตัวทำงานจนไม่ค่อยให้เวลาพักกับตัวเอง เขาจึงต้องคอยดูแลรักนรินทร์ไม่ให้ฝืนตัวเองจนเกินไป

 

"ครับ เห็นคุณรักอยู่ในห้องหนังสือมาตั้งแต่เช้า งานคงเคร่งเครียดน่าดู ผมเลยคิดว่ามันน่าจะช่วยให้คุณผ่อนคลายนะครับ" ชัชวาลตอบพร้อมรินน้ำชาสีน้ำตาลทองสว่างให้แก่คุณชายของตน

 

รักนรินทร์ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น รสชาติของชาอุ่นๆ ซึมซาบไปทั่วลิ้น กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ก็ช่วยให้เขารู้สึกมีความสุข รักนรินทร์ชอบชายามบ่ายของอาชัชมากๆ

 

" งานเขียนของคุณรักเป็นอย่างไรบ้างครับ"

 

" ยังมีส่วนที่รักรู้สึกตันๆ อยู่บ้างครับ... แต่อาชัชรู้ไหมเขาว่ากันว่าไอเดียมักจะมาตอนเราไม่คาดคิดเสมอแหละครับ" เจ้านายน้อยตอบพร้อมทำหน้าอย่างมั่นใจ

 

" งั้นก็ดีแล้วครับ เป็นไปได้อย่าหักโหมอีกนะครับ เดี๋ยวจะไข้ขึ้นแบบวันนั้นอีก" ชัชวาลกล่าวพร้อมยิ้มเอ็นดู

 

" แหะๆ รักจะไม่หักโหมอีกแน่นอนครับอาชัช" เจ้าตัวหัวเราะแห้งอย่างจำนน

 

กับงานเขียนครั้งก่อนเป็นช่วงใกล้ปิดต้นฉบับรักนรินทร์จึงฝืนตัวเองหักโหมทำงานถึงดึกดื่นหลายคืนจนไข้ขึ้น ทำเอาคนในบ้านตกใจต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลกันอย่างชุลมุน

โดยเฉพาะป้าบัวแม่นมของรักนรินทร์ รายนั้นน่ะอายุหกสิบห้าแล้วแถมสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ตอนรู้ว่ารักนรินทร์ไข้ขึ้นจนเป็นลมเธอแทบจะล้มตามไปอีกคน เกิดป้าบัวหัวฟาดพื้นเพราะเขาเป็นต้นเหตุเขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต

 

"ขอให้จริงแบบที่พูดนะครับคุณรัก" ชัชวาลพูดหยอก

 

"อาชัชเห็นรักเป็นคนไม่รักษาคำพูดเหรอครับ รักน้อยใจนะเนี่ย" รักนรินทร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดงอนเล็กน้อย อาชัชนี่ยังไงกันไม่เชื่อเขาเลย เขาเคยโกหกที่ไหนกัน น่าน้อยใจเสียจริง

 

"คนรักษาคำพูดคนไหนกันนะที่โหมงานจนไข้จับมาสี่ห้ารอบแล้ว" พ่อบ้านผู้อาวุโสหัวเราะเล็กน้อย

 

"โถ่ อาชัช รักยอมแพ้แล้วก็ได้ ครั้งนี้รักพูดจริงแล้ว รักจะไม่ฝืนตัวเองอีกแล้ว ขอสัญญาด้วยเกียรติของรักนรินทร์ผู้น่ารักคนนี้เลย! " คนตัวเล็กพูดพร้อมตบอกตัวเองดังปึ่ก อย่างกับนกตัวเล็กที่กำลังยืดอกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

"ฮ่าๆ!! ตามพี่ไม่ทันหรอก"

"อย่าหนีนะพี่ไม้!! "

 

 

คุยกับอาชัชได้ไม่เท่าไหร่ก็มีเสียงคนดังมาทางหน้าต่าง รักนรินทร์พลันหันมองลงไปก็เห็นเด็กน้อยสองคนกำลังวิ่งไล่จับกันอยู่อย่างสนุกสนาน ดูแล้วน่าจะอยู่ประมาณชั้นประถมกันทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายที่กำลังวิ่งนำ อีกคนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงกำลังวิ่งตามเด็กชายคนนั้น แต่ดูเหมือนฝีเท้าเล็กๆ นั้นจะวิ่งตามไม่ทันเสียที วิ่งกันจนหน้าดำหน้าแดงขนาดนั้นเกรงใจไม่สบายเอาได้

 

"นั่นหลานพี่เฟืองใช่ไหมครับอาชัช" รักนรินทร์จำได้ว่าพี่เฟืองหนึ่งในคนดูแลบ้านมาขออนุญาตจากเขาเรื่องที่จะพาหลานสองคนมาดูแลสักสองสามวัน และแน่นอนว่ารักนรินทร์อนุญาต พี่เฟืองเองก็คอยดูแลทุกอย่างได้เป็นอย่างดี อีกทั้งที่นี่ก็ไม่ได้คับแคบเสียจนจะไม่มีพื้นที่พอให้เด็กน้อยสองคนมาพักพิงเสียหน่อย

 

"ครับ เจ้าไม้กับเจ้ารุ้ง.. นี่เล่นกันจนเสียงดังมาถึงตรงนี้เลยหรือ ผมจะไปตักเตือนให้นะครับคุณรัก" ชัชวาลคิ้วขมวดเล็กน้อย ถึงแม้จะได้รับการอนุญาตให้มาพักได้แต่อย่างไรก็ควรรักษามารยาทในระหว่างอยู่ที่นี่

 

"ไม่เป็นไรเลยครับอาชัช รักไม่ถือสาพวกเขาหรอก ให้พวกเขาวิ่งเล่นแบบนี้ดีแล้วครับ" รักนรินทร์รีบปรามผู้ดูแลของตน เขารู้ดีอาชัชคงไม่อยากให้ใครมารบกวนตอนเขาทำงาน แต่ยกเว้นน้ำชายามบ่าย อันนี้เขายอมให้รบกวนทั้งวันเลย

 

อะ.. แต่ลืมบอกไป อาชัชน่ะเห็นใจดีแบบนี้แต่เวลาดุเนี่ย ดุมากๆ เลย

 

"จะดีหรือครับคุณรัก คุณรักจะไม่มีสมาธิเอานะครับ" ชัชวาลถามเพื่อความแน่ใจ

 

"ดีแล้วครับอาชัช ยังไงตอนนี้รักก็คิดอะไรไม่ออกอยู่ดี ดูพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันอาจจะนึกอะไรออกก็ได้" เขาพูดพลางยิ้มไปทางพวกเด็กๆ

 

"ใจดีสมเป็นคุณรักเลยนะครับ"

 

รักนรินทร์พลันนิ่งไปนิด

 

ใจดี...

งั้นเหรอ

"รักไม่ได้ใจดีหรอกครับอาชัช..."

 

"..."

 

"รักแค่คิดเอาเองว่าพวกเขากำลังเล่นในส่วนของรักอยู่"

 

"คุณรัก..."

 

"เล่นในส่วนที่รักทำไม่ได้ เดินหรือวิ่งแบบพวกเขาไม่ได้"

 

ใช่...

 

รักนรินทร์ไม่สามารถเดินหรือวิ่งแบบใครได้ แม้แต่ยืนยังทำไม่ได้ เพราะเขาเกิดมาพิการขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ มันไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย นี่เป็นสาเหตุที่ชัชวาลมาเป็นผู้ดูแลส่วนตัวให้แก่เขา

 

รักนรินทร์จึงปรารถนาที่จะสามารถยืนหรือย่างกรายไปทุกๆ ที่เสมอเวลาเห็นผู้คนได้เดินหรือวิ่งไปอย่างอิสระ

 

ต่างจากเขาที่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น

ไปทั้งชีวิต...

 

 

 

 

 

 

 

เสียงรถเลี้ยวข้ามผ่านประตูรั้วเข้ามายังคฤหาสน์หลังใหญ่ เมื่อคนขับจอดรถนิ่งสนิทเขารีบลงมาเปิดประตูหลังรถ ร่างกำยำของชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งก็ก้าวขาลงมา

 

"นั่นรถคุณแม่? " ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองพลางเดินเข้าบ้านไป

 

ขายาวก้าวมาถึงห้องโถงใหญ่ ตาคมพลันเหลือบไปเห็นมารดาของตนที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวสีทองปักลายอย่างงดงาม ในมือถือนิตยสารเกี่ยวกับแฟชั่นสมัยใหม่ดวงตาก็จับจ้องอย่างสนใจ

 

"คุณแม่กลับมาตั้งแต่ตอนไหนครับ? " เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้น

 

"อ้าวธนัตถ์ แม่มาถึงช่วงบ่ายๆ นี่แหละจ้ะ " คุณหญิงอรุณีตอบกลับลูกชายพลางส่งยิ้มไปให้

 

ธนัตถ์ วรภัทรสิริกุล ลูกชายของเจ้าสัวไพศาล และคุณหญิงอรุณี วรภัทรสิริกุล เป็นประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ธนัตถ์มีชื่อเสียงมากในแวดวงนักธุรกิจ เพราะนอกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้วเขายังมีธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การขนส่งข้ามประเทศและการผลิตเครื่องยนต์ พูดได้เลยว่าใครได้ทำการค้าร่วมกับธนัตถ์นั้นถือว่าโชคดีมากๆ

 

ส่วนเจ้าสัวไพศาลผู้เป็นบิดาของธนัตถ์นั้นสิ้นใจไปเมื่อสิ้นปีก่อนด้วยโรคมะเร็งปอด ธนัตถ์ไม่แปลกใจเท่าไรเพราะรู้ว่าพ่อของตนสูบบุหรี่จัดมาก และเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เขาจำความได้ ครอบครัวของธนัตถ์จึงเหลือเพียงคุณหญิงอรุณีผู้เป็นมารดา เธอทำธุรกิจทอผ้าอยู่ที่ฝรั่งเศส และเธอมักจะบินไปจัดการด้วยตัวเองเสมอนั่นทำให้เธอไม่ค่อยได้กลับบ้าน

 

แต่ปกติถ้าจะกลับคงไม่ใช่เวลานี้ นี่คุณหญิงกลับมาก่อนกำหนด คงต้องมีอะไรแน่ๆ ...

 

"พึ่งเลิกงานเหรอจ๊ะ กลับซะค่ำเชียว" คนเป็นแม่ถามลูกชายด้วยน้ำเสียงห่วงใย ลูกชายเขาขึ้นชื่อเรื่องบ้างานจะตาย ดูสิเนี่ยหน้าดำคร่ำเครียดตลอด ดูท่าจะทำงานหนักเกินไป

 

"ครับ พอดีมีเอกสารที่ต้องจัดการ.. ว่าแต่ทำไมคุณแม่กลับบ้านมาเร็วกว่ากำหนดล่ะครับ มีอะไรหรือเปล่า? " ธนัตถ์ตอบและถามกลับมารดา มือหนายกขึ้นรูดเนกไทด์สีน้ำเงินเข้มออกแล้วปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุด ถึงเขาจะเป็นประธานบริษัทเขาก็ยังต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเป็นแบบอย่าง ไม่อย่างนั้นอาจโดนคำครหาได้

 

"มีสิจ้ะ แล้วยังสำคัญมากซะด้วย"

 

"อะไรสำคัญครับ" ธนัตถ์ขมวดคิ้วสงสัย

 

คุณหญิงอรุณีมองหน้าลูกชายของตนก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยตอบไป

 

"ก็เรื่องพ-"

 

"คุณหญิงกลับมาแล้วเหรอครับ? "

 

นายหญิงใหญ่ของบ้านยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงเล็กแทรกอย่างไม่ได้ตั้งใจเข้ามาเสียก่อน ธนัตถ์พลันตวัดสายตาไปมองทางผู้มาใหม่ทันที

 

มองด้วยสายตาเกลียดชัง

 

"ไร้มารยาท ไม่เห็นหรือไงว่าคุณแม่กำลังคุยกับฉันอยู่" ธนัตถ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น มันกล้าดียังไงเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของเขากับแม่

 

"ผมขอโทษครับพี่ธนัตถ์​ ผมไม่ได้ตั้งใจ" คนที่เผลอมาขัดจังหวะ​รีบยกมือไหว้แล้วกล่าวขอโทษ​ทันที​ เขาไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย​ เห็นรถคุณหญิงอรุณีจอดหน้าบ้านก็แปลกใจที่กลับมาช่วงนี้ทั้งๆที่กำหนดกลับมันเดือนหน้า​ พอเดินเข้ามาไม่ทันได้สังเกตว่าเธอกำลังคุยอยู่กับใครปากเจ้ากรรมจึงเผลอส่งเสียงทักไป

 

"เรียกฉันว่าอะไรนะ" ธนัตถ์ถามเสียงเข้มขึ้น

 

"อะ..เอ่อ" คนถูกถามเลิ่กลั่ก​ไม่กล้าจะตอบ​ เขาลืมตัวเผลอเรียกคนสูงกว่าว่าพี่​ ทั้งๆที่เขาถูกห้ามไม่ให้ใช้คำนั้น​ แต่เพราะความเผลอตัวอีกแล้ว

 

"เคยบอกไปแล้วไมใช่เหรอ​ว่าฉันไม่ใช่พี่ชายของแก​ อย่ามาเรียกฉันว่าพี่​ แกไม่เคยจำใส่สมองเลยหรือไงพริสา"

 

"ผมขอโทษ​ครับคุณธนัตถ์​ ผมไม่ได้ตั้งใจ​ คราวหลังผมจะระวังครับ..." พริสากล่าวขอโทษ​อีกครั้ง​ คนตัวเล็กก้มหน้าลง​ มือสองข้างกุมกันไว้อย่างทำตัวไม่ถูก​

 

"พริสา​ยืนทำอะไร.. ไอ้ธนัตถ์มึงทำอะไรน้องกู! " ไม่ทันไรก็มีเสียงชายหนุ่มอีกคนดังขึ้น​ เขาเห็นพริสายืนก้มหน้า​ ไหล่เล็กห่อลีบ​โดยมีธนัตถ์ยืนกอดอกมองหน้าน้องชายเขาอยู่ไม่ไกล​

 

สัญชาตญาณ​พี่ชายมันตื่นขึ้นทันที​ สัมผัสได้ว่าไอ้จอมเย่อหยิ่ง​ที่เขาเกลียดขี้หน้ามันต้องรังแกน้องเขาแน่ๆ​ 

 

ร่างกายวิ่งเข้าไปหมายจะซัดหน้าไอ้เวรนี่ให้หลาบจำ​ หมัดหนักถูกปล่อยออกไปแต่ธนัตถ์กลับเบี่ยงตัวหลบได้ทัน​จึงส่งหมัดคืนไปให้อีกฝ่ายแต่คนเริ่มก่อนก็สามารถหลบได้เช่นกัน​ทำให้ทั้งสองรีบถอยมาตั้งหลักทันที

 

"มาถึงก็ใช้กำลัง​ สมแล้วที่แกเป็นพวกชั้นต่ำ​ ไอ้ภู" คำพูดดูถูกเหยียดหยามของธนัตถ์ยิ่งสุมให้ไฟพิโรธของอีกฝ่ายโหมแรงมากขึ้น

 

"ถ้าวันนี้กูไม่ได้เอาเลือดมึงมาล้างตีนก็อย่าเรียกกูว่าภูวนาถเลย!" ภูวนาถตอกกลับพร้อมกำหมัดวิ่งเข้าใส่ธนัตถ์ทันที

 

"หึ ไอ้ลูกเมียน้อยแน่จริงก็เข้ามา! " ธนัตถ์แสยะยิ้มสะใจ

 

"มึง!!! "

 

 

ซ่า... 

 

เสียงน้ำถูกสาดใส่คนทั้งสองที่กำลังมีเรื่องกัน​ หมัดหนักหยุดนิ่งลอยค้างกลางอากาศ​ น้ำเย็นดึงสติคนสองคนกลับมาทันที​

 

"หยุดได้แล้วทั้งสองคน!" นายหญิงของบ้านตวาดกร้าว​ เธอทนดูมาสักพักแล้วจนความอดทนสิ้นสุดลงเลยสั่งให้คนไปเอาน้ำเย็นมาสาดคนสองคนที่กำลังจะมีเรื่องกัน​ ช้ากว่านี้คงได้เลือดตกยางออกแน่

 

"นี่เห็นแม่เป็นหัวหลักหัวตอกันหรืออย่างไร​ เกรงใจกันบ้างสิ​ อายุก็26กันแล้วนะ​ ทั้งธนัตถ์ทั้งภูเลย" คุณหญิงอรุณีตำหนิออกมา

 

ธนัตถ์และภูวนาถต่างมองหน้ากันอย่างไม่ลดละความชิงชัง คุณหญิงเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย​ สองคนนี้เห็นหน้ากันก็จะกินหัวอีกฝ่าย​ จะญาติดีกันบ้างไม่ได้เลยหรือ? 

 

"คุณหญิงก็เห็นว่ามันข่มเหงรังแกพริสา​ จะให้ผมทนเฉยได้ยังไง!" ภูวนาถเลือดขึ้นหน้า​ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าน้องชายเขากลัวไอ้เวรนี่จะตาย​ถ้าจะให้เขามองผ่านคนอย่างภูวนาถคงทำไม่ได้

 

"ใจเย็นก่อนสิภู​ แม่เข้าใจ​ แต่ภูเองก็เป็นฝ่ายจะต่อยธนัตถ์ก่อนนะ" เธอรีบปราม

 

"แต่ก็เพราะมันที่รังแกน้องผมก่อน!​ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต่อยใครง่ายๆหรอกนะ" ภูวนาถแค้นใจ​ คุณหญิงเธอช่างไร้ความยุติธรรม​

 

"รังแก? แกใช้คำผิดไปหน่อยนะไอ้ภู​ ฉันไม่ได้รังแกพริสา​ ก็แค่... " ธนัตถ์กล่าวแล้วเว้นคำพูดไว้

 

 

"ก็แค่อะไร!! "

 

 

"ก็แค่เตือนความจำมันเอาไว้ว่าอย่าเอาตัวมาเทียบชั้น​ ฉันไม่มีรสนิยม​มานับญาติกับไอ้ลูกเมียน้อยแบบพวกแก" คนปากร้ายพูดแล้วยิ้มเยาะออกมา

 

ธนัตถ์มีครอบครัวที่เหลือคนเดียวคือคุณหญิงอรุณี​ ส่วนไอ้พวกลูกเมีนน้อยอย่างภูวนาถและพริสาเขาไม่ขอนับพวกมันมาอยู่ในวงตระกูลแน่

 

เขาเองบางครั้งก็นึกชิงชังไพศาลแม้จะถูกคลุมถุงชนกับแม่ของเขาแต่ก็ควรจะให้เกียรติ​กันบ้าง​ นอกจากจะไม่ได้รักกันก็ยังไปมีเมียเก็บที่ไหนไม่รู้​ คงรักกันมาก่อนจะแต่งงานกับคุณหญิงอรุณี​ แต่ดันมีลูกพร้อมๆกัน​ เขาและภูวนาถถึงได้อายุเท่ากัน​ ส่วนผู้หญิงที่เป็นแม่มันก็น่ารังเกียจ​ ​มีภูวนาถเป็นลูกแล้วก็ยังจะมีพริสามาให้ธนัตถ์และแม่ต้องเจ็บใจอีก​ พ่อเขาก็รักใคร่เอ็นดูมันสองคนเหลือเกิน​ ส่วนเขาต้องรับภาระหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่ยังเด็ก​ เรียนทุกอย่างเพื่อให้มาถึงจุดนี้​ แล้วรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ยินดีที่มีมันสองคนร่วมบ้าน​ พ่อก็ยังให้มันมาอยู่บ้านใหญ่​ แต่ยังดีที่แม่มันเจียมตัวอยู่เรือนเล็กอีกหลังที่ไกลออกจากบ้านใหญ่​ ขืนมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเขาคงรู้สึกสะอิดสะเอียน​เป็นแน่

 

"ไอ้ธนัตถ์!!" 

 

"พอๆๆ​ ถ้าคราวนี้ทะเลาะกันอีกอย่าหาว่าแม่ไม่เตือนนะ" 

 

ธนัตถ์ไม่พูดอะไรทำเพียงแค่มองหน้าภูวนาถนิ่งๆ

 

"อรไปเอาผ้าขนหนูมาให้สองคนนี้ที ส่วนพริสามานั่งกับแม่ก่อนมา" คุณหญิงอรุณีหันไปบอกเด็กรับใช้ให้นำผ้าขนหนูมาให้ชายสองคนที่ตัวเปียกจากการโดนน้ำเย็นสาดเรียกสติ​ พลันหันกลับมาเรียกคนที่เงียบไปได้สักพักให้มานั่งข้างตน

 

พริสาไม่กล้าไปนั่งข้างคุณหญิง​ เขาเห็นสายตาของธนัตถ์ที่มองมา​ พริสาจึงขืนตัวเอาไว้ในขณะที่คุณหญิงเธอกำลังจับแขนให้มานั่งด้วยกัน

 

"คุณหญิงครับผมนั่งพื้นได้ไม่เป็น​ไรครับ" ถึงจะมีโซฟาตัวอื่นว่างอยู่แต่ขืนไปนั่งคงโดนธนัตถ์ด่าว่าไม่เจียมตัวอีกแน่ๆ

 

"ได้ยังไงกันล่ะพริสา​ มานั่งกับแม่เถอะ" 

 

"แต่ว่่า​ เอ่อ.." พริสาให้ตายก็ไม่กล้าพูด​ ทำไมเขาถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ

 

"แม่เข้าใจแล้ว​ งั้นหนูนั่งโซฟาตัวนั้นก็ได้จ้ะ​" คุณหญิงรับรู้แล้วว่าเป็นเพราะลูกชายตัวดีที่กดดันพริสา​ เธอจึงเลิกคะยั้นคะยอ​เด็กน้อยทันที

 

ถึงจะเห็นใจแต่คุณหญิงอย่างไรก็เข้าข้างลูกชายเธออยู่แล้ว​ เธอเองก็รับไม่ได้ที่สามีมีเมียน้อยแต่สำหรับเด็กที่เกิดมาพวกเขาไม่ได้ผิดอะไร

 

"แม่มีธุระจะคุยกับผมไม่ใช่เหรอ​ จะให้คนนอกมานั่งฟังด้วยทำไมครับ" ธนัตถ์พูดไปพลางหันไปรับผ้าขนหนูจากเด็กรับใช้ขึ้นมาซับหน้าซับตาตัวเอง

 

"งั้นเชิญคุณหญิงเลยนะครับผมกับพริสาขอตัวก่อน" ภูวนาถเองก็ไม่ได้อยากอยู่ตรงนั้นจึงได้ทีขอตัวทั้งเขาและพริสากลับขึ้นห้อง

 

พริสาได้ยินแบบนั้นจึงคิดจะลุกเดินไปหาพี่ชาย

 

"พวกเธอเองก็ต้องอยู่ฟัง​เหมือนกัน" 

 

"แต่ว่า.." พริสางุนงง​ ทำไมเขาและพี่ชายต้องอยู่ด้วย​ มันจะมีเรื่องอะไรสำคัญที่พวกเขาต้องรู้ด้วยหรือ

 

"เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับธนัตถ์​ ภูและพริสา​ ทั้งสามคนเลยจ้ะ" เธอพูดและระบายยิ้มเล็กน้อย

 

"เรื่องอะไรกันแน่ครับคุณหญิง"

 

คุณหญิงอรุณีพลันเก็บใบหน้าอารมณ์​ดีของเธอแล้วเงยมองทั้งสามคนนิ่งๆก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

"พินัยกรรมของคุณไพศาล" 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ยังไม่ได้ตรวจคำผิดและจัดหน้านะคะ

 

 

 

 

N/A
กลับหน้าหลัก ตอนถัดไป