รักนรินทร์เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย
รักนรินทร์เกิดมาพิการขาเดินไม่ได้แต่กลับยินยอมแต่งงานกับธนัตถ์ชายหนุ่มผู้แสนเย็นชาแต่ปากร้าย
บทนำ
แสงตะวันสีทองสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ในห้องหนังสือ ผ้าม่านเนื้อบางปลิวตามกระแสลมเย็นอ่อนๆ ที่พัดผ่านตามมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
ก๊อก ก๊อก...
"น้ำชายามบ่ายครับคุณรัก"
เสียงเคาะดังขึ้นหน้าประตูสีขาว ตามด้วยเสียงอันอบอุ่นของชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุมอย่างเรียบร้อย กางเกงสแล็คสีดำยาวจนถึงข้อเท้า รองเท้าหนังมันวาวเข้าชุด พร้อมกับถือชุดถ้วยชากระเบื้องลายสวยงามนำมาให้แก่คนในห้อง
"ขอบคุณครับอาชัช" คนถูกทักตอบกลับชายที่อาวุโสกว่าตนด้วยความนอบน้อม เขาระบายยิ้มน้อยๆ เมื่อได้กลิ่นชาฝรั่งที่ลอยอบอวลไปทั่วห้อง ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกผ่อนคลายไปในตัว
รัก หรือ รักนรินทร์ เป็นคุณชายคนเล็กของบ้านอธิพัฒน์มนตรี อายุ 23 ปี ทำงานเป็นนักเขียนอิสระ รูปร่างค่อนไปทางผอมแต่ไม่มากจนเกินไป ผมดำขลับซอยสั้นให้เข้ากับโครงหน้าสวยของเจ้าตัว ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผิวพรรณขาวเนียนตามประสาคนไม่ค่อยออกแดด จมูกได้รูปสวยรับกับริมฝีปากบาง
กล่าวได้ว่ารักนรินทร์เป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งอาจจะติดตรงที่ตัวเล็กไปเสียหน่อย แต่ทว่าการวางตัวก็ยังสุภาพเรียบร้อยสมกับเป็นคุณชายของตระกูลเก่าแก่
ส่วนอาชัชหรือชัชวาลที่รักนรินทร์เรียกนั้น เป็นคนดูแลส่วนตัวของเขามาตั้งแต่เด็ก อันที่จริงชัชวาลทำงานให้กับตระกูลอธิพัฒน์มนตรีมาตั้งแต่เขายังอายุยังน้อย คอยรับใช้ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ อยู่ตลอด รักนรินทร์จึงรักและให้ความเคารพชัชวาลเหมือนคนในครอบครัว
"ดาร์จีลิงสินะครับ" รักนรินทร์เอ่ยขึ้นพร้อมส่งยิ้มให้ชัชวาล
รักนรินทร์มักจะทำงานเขียนในห้องหนังสือ เพราะที่นี่มีหนังสือหลากหลายเรื่องราวและหลากหลายแขนงถูกรวบรวมไว้ตั้งแต่สมัยต้นตระกูลของเขา ถึงแม้บางเล่มจะเก่าจนถูกโละทิ้งหรือหน้าหนังสือหายไปบ้างแต่เขาก็ชอบที่จะหาแรงบันดาลใจหรือข้อมูลอ้างอิงจากที่นี่ รักนรินทร์เขียนบทความและนิยายมามากมาย ในโลกของงานวรรณกรรมเขามีชื่อเสียงอยู่พอสมควร ทั้งยังเคยได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย
ส่วนชัชวาลก็มักจะยกน้ำชาอุ่นๆ มาให้รักนรินทร์ในช่วงบ่ายแบบนี้เสมอ เจ้านายตัวน้อยชอบหมกตัวทำงานจนไม่ค่อยให้เวลาพักกับตัวเอง เขาจึงต้องคอยดูแลรักนรินทร์ไม่ให้ฝืนตัวเองจนเกินไป
"ครับ เห็นคุณรักอยู่ในห้องหนังสือมาตั้งแต่เช้า งานคงเคร่งเครียดน่าดู ผมเลยคิดว่ามันน่าจะช่วยให้คุณผ่อนคลายนะครับ" ชัชวาลตอบพร้อมรินน้ำชาสีน้ำตาลทองสว่างให้แก่คุณชายของตน
รักนรินทร์ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างใจเย็น รสชาติของชาอุ่นๆ ซึมซาบไปทั่วลิ้น กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ก็ช่วยให้เขารู้สึกมีความสุข รักนรินทร์ชอบชายามบ่ายของอาชัชมากๆ
" งานเขียนของคุณรักเป็นอย่างไรบ้างครับ"
" ยังมีส่วนที่รักรู้สึกตันๆ อยู่บ้างครับ... แต่อาชัชรู้ไหมเขาว่ากันว่าไอเดียมักจะมาตอนเราไม่คาดคิดเสมอแหละครับ" เจ้านายน้อยตอบพร้อมทำหน้าอย่างมั่นใจ
" งั้นก็ดีแล้วครับ เป็นไปได้อย่าหักโหมอีกนะครับ เดี๋ยวจะไข้ขึ้นแบบวันนั้นอีก" ชัชวาลกล่าวพร้อมยิ้มเอ็นดู
" แหะๆ รักจะไม่หักโหมอีกแน่นอนครับอาชัช" เจ้าตัวหัวเราะแห้งอย่างจำนน
กับงานเขียนครั้งก่อนเป็นช่วงใกล้ปิดต้นฉบับรักนรินทร์จึงฝืนตัวเองหักโหมทำงานถึงดึกดื่นหลายคืนจนไข้ขึ้น ทำเอาคนในบ้านตกใจต้องรีบพาส่งโรงพยาบาลกันอย่างชุลมุน
โดยเฉพาะป้าบัวแม่นมของรักนรินทร์ รายนั้นน่ะอายุหกสิบห้าแล้วแถมสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ตอนรู้ว่ารักนรินทร์ไข้ขึ้นจนเป็นลมเธอแทบจะล้มตามไปอีกคน เกิดป้าบัวหัวฟาดพื้นเพราะเขาเป็นต้นเหตุเขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
"ขอให้จริงแบบที่พูดนะครับคุณรัก" ชัชวาลพูดหยอก
"อาชัชเห็นรักเป็นคนไม่รักษาคำพูดเหรอครับ รักน้อยใจนะเนี่ย" รักนรินทร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดงอนเล็กน้อย อาชัชนี่ยังไงกันไม่เชื่อเขาเลย เขาเคยโกหกที่ไหนกัน น่าน้อยใจเสียจริง
"คนรักษาคำพูดคนไหนกันนะที่โหมงานจนไข้จับมาสี่ห้ารอบแล้ว" พ่อบ้านผู้อาวุโสหัวเราะเล็กน้อย
"โถ่ อาชัช รักยอมแพ้แล้วก็ได้ ครั้งนี้รักพูดจริงแล้ว รักจะไม่ฝืนตัวเองอีกแล้ว ขอสัญญาด้วยเกียรติของรักนรินทร์ผู้น่ารักคนนี้เลย! " คนตัวเล็กพูดพร้อมตบอกตัวเองดังปึ่ก อย่างกับนกตัวเล็กที่กำลังยืดอกอย่างไรอย่างนั้น
"ฮ่าๆ!! ตามพี่ไม่ทันหรอก"
"อย่าหนีนะพี่ไม้!! "
คุยกับอาชัชได้ไม่เท่าไหร่ก็มีเสียงคนดังมาทางหน้าต่าง รักนรินทร์พลันหันมองลงไปก็เห็นเด็กน้อยสองคนกำลังวิ่งไล่จับกันอยู่อย่างสนุกสนาน ดูแล้วน่าจะอยู่ประมาณชั้นประถมกันทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายที่กำลังวิ่งนำ อีกคนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงกำลังวิ่งตามเด็กชายคนนั้น แต่ดูเหมือนฝีเท้าเล็กๆ นั้นจะวิ่งตามไม่ทันเสียที วิ่งกันจนหน้าดำหน้าแดงขนาดนั้นเกรงใจไม่สบายเอาได้
"นั่นหลานพี่เฟืองใช่ไหมครับอาชัช" รักนรินทร์จำได้ว่าพี่เฟืองหนึ่งในคนดูแลบ้านมาขออนุญาตจากเขาเรื่องที่จะพาหลานสองคนมาดูแลสักสองสามวัน และแน่นอนว่ารักนรินทร์อนุญาต พี่เฟืองเองก็คอยดูแลทุกอย่างได้เป็นอย่างดี อีกทั้งที่นี่ก็ไม่ได้คับแคบเสียจนจะไม่มีพื้นที่พอให้เด็กน้อยสองคนมาพักพิงเสียหน่อย
"ครับ เจ้าไม้กับเจ้ารุ้ง.. นี่เล่นกันจนเสียงดังมาถึงตรงนี้เลยหรือ ผมจะไปตักเตือนให้นะครับคุณรัก" ชัชวาลคิ้วขมวดเล็กน้อย ถึงแม้จะได้รับการอนุญาตให้มาพักได้แต่อย่างไรก็ควรรักษามารยาทในระหว่างอยู่ที่นี่
"ไม่เป็นไรเลยครับอาชัช รักไม่ถือสาพวกเขาหรอก ให้พวกเขาวิ่งเล่นแบบนี้ดีแล้วครับ" รักนรินทร์รีบปรามผู้ดูแลของตน เขารู้ดีอาชัชคงไม่อยากให้ใครมารบกวนตอนเขาทำงาน แต่ยกเว้นน้ำชายามบ่าย อันนี้เขายอมให้รบกวนทั้งวันเลย
อะ.. แต่ลืมบอกไป อาชัชน่ะเห็นใจดีแบบนี้แต่เวลาดุเนี่ย ดุมากๆ เลย
"จะดีหรือครับคุณรัก คุณรักจะไม่มีสมาธิเอานะครับ" ชัชวาลถามเพื่อความแน่ใจ
"ดีแล้วครับอาชัช ยังไงตอนนี้รักก็คิดอะไรไม่ออกอยู่ดี ดูพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันอาจจะนึกอะไรออกก็ได้" เขาพูดพลางยิ้มไปทางพวกเด็กๆ
"ใจดีสมเป็นคุณรักเลยนะครับ"
รักนรินทร์พลันนิ่งไปนิด
ใจดี...
งั้นเหรอ
"รักไม่ได้ใจดีหรอกครับอาชัช..."
"..."
"รักแค่คิดเอาเองว่าพวกเขากำลังเล่นในส่วนของรักอยู่"
"คุณรัก..."
"เล่นในส่วนที่รักทำไม่ได้ เดินหรือวิ่งแบบพวกเขาไม่ได้"
ใช่...
รักนรินทร์ไม่สามารถเดินหรือวิ่งแบบใครได้ แม้แต่ยืนยังทำไม่ได้ เพราะเขาเกิดมาพิการขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ มันไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย นี่เป็นสาเหตุที่ชัชวาลมาเป็นผู้ดูแลส่วนตัวให้แก่เขา
รักนรินทร์จึงปรารถนาที่จะสามารถยืนหรือย่างกรายไปทุกๆ ที่เสมอเวลาเห็นผู้คนได้เดินหรือวิ่งไปอย่างอิสระ
ต่างจากเขาที่ต้องนั่งอยู่บนรถเข็น
ไปทั้งชีวิต...
เสียงรถเลี้ยวข้ามผ่านประตูรั้วเข้ามายังคฤหาสน์หลังใหญ่ เมื่อคนขับจอดรถนิ่งสนิทเขารีบลงมาเปิดประตูหลังรถ ร่างกำยำของชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งก็ก้าวขาลงมา
"นั่นรถคุณแม่? " ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองพลางเดินเข้าบ้านไป
ขายาวก้าวมาถึงห้องโถงใหญ่ ตาคมพลันเหลือบไปเห็นมารดาของตนที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวสีทองปักลายอย่างงดงาม ในมือถือนิตยสารเกี่ยวกับแฟชั่นสมัยใหม่ดวงตาก็จับจ้องอย่างสนใจ
"คุณแม่กลับมาตั้งแต่ตอนไหนครับ? " เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้น
"อ้าวธนัตถ์ แม่มาถึงช่วงบ่ายๆ นี่แหละจ้ะ " คุณหญิงอรุณีตอบกลับลูกชายพลางส่งยิ้มไปให้
ธนัตถ์ วรภัทรสิริกุล ลูกชายของเจ้าสัวไพศาล และคุณหญิงอรุณี วรภัทรสิริกุล เป็นประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ธนัตถ์มีชื่อเสียงมากในแวดวงนักธุรกิจ เพราะนอกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้วเขายังมีธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การขนส่งข้ามประเทศและการผลิตเครื่องยนต์ พูดได้เลยว่าใครได้ทำการค้าร่วมกับธนัตถ์นั้นถือว่าโชคดีมากๆ
ส่วนเจ้าสัวไพศาลผู้เป็นบิดาของธนัตถ์นั้นสิ้นใจไปเมื่อสิ้นปีก่อนด้วยโรคมะเร็งปอด ธนัตถ์ไม่แปลกใจเท่าไรเพราะรู้ว่าพ่อของตนสูบบุหรี่จัดมาก และเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เขาจำความได้ ครอบครัวของธนัตถ์จึงเหลือเพียงคุณหญิงอรุณีผู้เป็นมารดา เธอทำธุรกิจทอผ้าอยู่ที่ฝรั่งเศส และเธอมักจะบินไปจัดการด้วยตัวเองเสมอนั่นทำให้เธอไม่ค่อยได้กลับบ้าน
แต่ปกติถ้าจะกลับคงไม่ใช่เวลานี้ นี่คุณหญิงกลับมาก่อนกำหนด คงต้องมีอะไรแน่ๆ ...
"พึ่งเลิกงานเหรอจ๊ะ กลับซะค่ำเชียว" คนเป็นแม่ถามลูกชายด้วยน้ำเสียงห่วงใย ลูกชายเขาขึ้นชื่อเรื่องบ้างานจะตาย ดูสิเนี่ยหน้าดำคร่ำเครียดตลอด ดูท่าจะทำงานหนักเกินไป
"ครับ พอดีมีเอกสารที่ต้องจัดการ.. ว่าแต่ทำไมคุณแม่กลับบ้านมาเร็วกว่ากำหนดล่ะครับ มีอะไรหรือเปล่า? " ธนัตถ์ตอบและถามกลับมารดา มือหนายกขึ้นรูดเนกไทด์สีน้ำเงินเข้มออกแล้วปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุด ถึงเขาจะเป็นประธานบริษัทเขาก็ยังต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเป็นแบบอย่าง ไม่อย่างนั้นอาจโดนคำครหาได้
"มีสิจ้ะ แล้วยังสำคัญมากซะด้วย"
"อะไรสำคัญครับ" ธนัตถ์ขมวดคิ้วสงสัย
คุณหญิงอรุณีมองหน้าลูกชายของตนก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยตอบไป
"ก็เรื่องพ-"
"คุณหญิงกลับมาแล้วเหรอครับ? "
นายหญิงใหญ่ของบ้านยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงเล็กแทรกอย่างไม่ได้ตั้งใจเข้ามาเสียก่อน ธนัตถ์พลันตวัดสายตาไปมองทางผู้มาใหม่ทันที
มองด้วยสายตาเกลียดชัง
"ไร้มารยาท ไม่เห็นหรือไงว่าคุณแม่กำลังคุยกับฉันอยู่" ธนัตถ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น มันกล้าดียังไงเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของเขากับแม่
"ผมขอโทษครับพี่ธนัตถ์ ผมไม่ได้ตั้งใจ" คนที่เผลอมาขัดจังหวะรีบยกมือไหว้แล้วกล่าวขอโทษทันที เขาไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย เห็นรถคุณหญิงอรุณีจอดหน้าบ้านก็แปลกใจที่กลับมาช่วงนี้ทั้งๆที่กำหนดกลับมันเดือนหน้า พอเดินเข้ามาไม่ทันได้สังเกตว่าเธอกำลังคุยอยู่กับใครปากเจ้ากรรมจึงเผลอส่งเสียงทักไป
"เรียกฉันว่าอะไรนะ" ธนัตถ์ถามเสียงเข้มขึ้น
"อะ..เอ่อ" คนถูกถามเลิ่กลั่กไม่กล้าจะตอบ เขาลืมตัวเผลอเรียกคนสูงกว่าว่าพี่ ทั้งๆที่เขาถูกห้ามไม่ให้ใช้คำนั้น แต่เพราะความเผลอตัวอีกแล้ว
"เคยบอกไปแล้วไมใช่เหรอว่าฉันไม่ใช่พี่ชายของแก อย่ามาเรียกฉันว่าพี่ แกไม่เคยจำใส่สมองเลยหรือไงพริสา"
"ผมขอโทษครับคุณธนัตถ์ ผมไม่ได้ตั้งใจ คราวหลังผมจะระวังครับ..." พริสากล่าวขอโทษอีกครั้ง คนตัวเล็กก้มหน้าลง มือสองข้างกุมกันไว้อย่างทำตัวไม่ถูก
"พริสายืนทำอะไร.. ไอ้ธนัตถ์มึงทำอะไรน้องกู! " ไม่ทันไรก็มีเสียงชายหนุ่มอีกคนดังขึ้น เขาเห็นพริสายืนก้มหน้า ไหล่เล็กห่อลีบโดยมีธนัตถ์ยืนกอดอกมองหน้าน้องชายเขาอยู่ไม่ไกล
สัญชาตญาณพี่ชายมันตื่นขึ้นทันที สัมผัสได้ว่าไอ้จอมเย่อหยิ่งที่เขาเกลียดขี้หน้ามันต้องรังแกน้องเขาแน่ๆ
ร่างกายวิ่งเข้าไปหมายจะซัดหน้าไอ้เวรนี่ให้หลาบจำ หมัดหนักถูกปล่อยออกไปแต่ธนัตถ์กลับเบี่ยงตัวหลบได้ทันจึงส่งหมัดคืนไปให้อีกฝ่ายแต่คนเริ่มก่อนก็สามารถหลบได้เช่นกันทำให้ทั้งสองรีบถอยมาตั้งหลักทันที
"มาถึงก็ใช้กำลัง สมแล้วที่แกเป็นพวกชั้นต่ำ ไอ้ภู" คำพูดดูถูกเหยียดหยามของธนัตถ์ยิ่งสุมให้ไฟพิโรธของอีกฝ่ายโหมแรงมากขึ้น
"ถ้าวันนี้กูไม่ได้เอาเลือดมึงมาล้างตีนก็อย่าเรียกกูว่าภูวนาถเลย!" ภูวนาถตอกกลับพร้อมกำหมัดวิ่งเข้าใส่ธนัตถ์ทันที
"หึ ไอ้ลูกเมียน้อยแน่จริงก็เข้ามา! " ธนัตถ์แสยะยิ้มสะใจ
"มึง!!! "
ซ่า...
เสียงน้ำถูกสาดใส่คนทั้งสองที่กำลังมีเรื่องกัน หมัดหนักหยุดนิ่งลอยค้างกลางอากาศ น้ำเย็นดึงสติคนสองคนกลับมาทันที
"หยุดได้แล้วทั้งสองคน!" นายหญิงของบ้านตวาดกร้าว เธอทนดูมาสักพักแล้วจนความอดทนสิ้นสุดลงเลยสั่งให้คนไปเอาน้ำเย็นมาสาดคนสองคนที่กำลังจะมีเรื่องกัน ช้ากว่านี้คงได้เลือดตกยางออกแน่
"นี่เห็นแม่เป็นหัวหลักหัวตอกันหรืออย่างไร เกรงใจกันบ้างสิ อายุก็26กันแล้วนะ ทั้งธนัตถ์ทั้งภูเลย" คุณหญิงอรุณีตำหนิออกมา
ธนัตถ์และภูวนาถต่างมองหน้ากันอย่างไม่ลดละความชิงชัง คุณหญิงเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย สองคนนี้เห็นหน้ากันก็จะกินหัวอีกฝ่าย จะญาติดีกันบ้างไม่ได้เลยหรือ?
"คุณหญิงก็เห็นว่ามันข่มเหงรังแกพริสา จะให้ผมทนเฉยได้ยังไง!" ภูวนาถเลือดขึ้นหน้า ก็เห็นๆกันอยู่ว่าน้องชายเขากลัวไอ้เวรนี่จะตายถ้าจะให้เขามองผ่านคนอย่างภูวนาถคงทำไม่ได้
"ใจเย็นก่อนสิภู แม่เข้าใจ แต่ภูเองก็เป็นฝ่ายจะต่อยธนัตถ์ก่อนนะ" เธอรีบปราม
"แต่ก็เพราะมันที่รังแกน้องผมก่อน! ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต่อยใครง่ายๆหรอกนะ" ภูวนาถแค้นใจ คุณหญิงเธอช่างไร้ความยุติธรรม
"รังแก? แกใช้คำผิดไปหน่อยนะไอ้ภู ฉันไม่ได้รังแกพริสา ก็แค่... " ธนัตถ์กล่าวแล้วเว้นคำพูดไว้
"ก็แค่อะไร!! "
"ก็แค่เตือนความจำมันเอาไว้ว่าอย่าเอาตัวมาเทียบชั้น ฉันไม่มีรสนิยมมานับญาติกับไอ้ลูกเมียน้อยแบบพวกแก" คนปากร้ายพูดแล้วยิ้มเยาะออกมา
ธนัตถ์มีครอบครัวที่เหลือคนเดียวคือคุณหญิงอรุณี ส่วนไอ้พวกลูกเมีนน้อยอย่างภูวนาถและพริสาเขาไม่ขอนับพวกมันมาอยู่ในวงตระกูลแน่
เขาเองบางครั้งก็นึกชิงชังไพศาลแม้จะถูกคลุมถุงชนกับแม่ของเขาแต่ก็ควรจะให้เกียรติกันบ้าง นอกจากจะไม่ได้รักกันก็ยังไปมีเมียเก็บที่ไหนไม่รู้ คงรักกันมาก่อนจะแต่งงานกับคุณหญิงอรุณี แต่ดันมีลูกพร้อมๆกัน เขาและภูวนาถถึงได้อายุเท่ากัน ส่วนผู้หญิงที่เป็นแม่มันก็น่ารังเกียจ มีภูวนาถเป็นลูกแล้วก็ยังจะมีพริสามาให้ธนัตถ์และแม่ต้องเจ็บใจอีก พ่อเขาก็รักใคร่เอ็นดูมันสองคนเหลือเกิน ส่วนเขาต้องรับภาระหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่ยังเด็ก เรียนทุกอย่างเพื่อให้มาถึงจุดนี้ แล้วรู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ยินดีที่มีมันสองคนร่วมบ้าน พ่อก็ยังให้มันมาอยู่บ้านใหญ่ แต่ยังดีที่แม่มันเจียมตัวอยู่เรือนเล็กอีกหลังที่ไกลออกจากบ้านใหญ่ ขืนมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเขาคงรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นแน่
"ไอ้ธนัตถ์!!"
"พอๆๆ ถ้าคราวนี้ทะเลาะกันอีกอย่าหาว่าแม่ไม่เตือนนะ"
ธนัตถ์ไม่พูดอะไรทำเพียงแค่มองหน้าภูวนาถนิ่งๆ
"อรไปเอาผ้าขนหนูมาให้สองคนนี้ที ส่วนพริสามานั่งกับแม่ก่อนมา" คุณหญิงอรุณีหันไปบอกเด็กรับใช้ให้นำผ้าขนหนูมาให้ชายสองคนที่ตัวเปียกจากการโดนน้ำเย็นสาดเรียกสติ พลันหันกลับมาเรียกคนที่เงียบไปได้สักพักให้มานั่งข้างตน
พริสาไม่กล้าไปนั่งข้างคุณหญิง เขาเห็นสายตาของธนัตถ์ที่มองมา พริสาจึงขืนตัวเอาไว้ในขณะที่คุณหญิงเธอกำลังจับแขนให้มานั่งด้วยกัน
"คุณหญิงครับผมนั่งพื้นได้ไม่เป็นไรครับ" ถึงจะมีโซฟาตัวอื่นว่างอยู่แต่ขืนไปนั่งคงโดนธนัตถ์ด่าว่าไม่เจียมตัวอีกแน่ๆ
"ได้ยังไงกันล่ะพริสา มานั่งกับแม่เถอะ"
"แต่ว่่า เอ่อ.." พริสาให้ตายก็ไม่กล้าพูด ทำไมเขาถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ
"แม่เข้าใจแล้ว งั้นหนูนั่งโซฟาตัวนั้นก็ได้จ้ะ" คุณหญิงรับรู้แล้วว่าเป็นเพราะลูกชายตัวดีที่กดดันพริสา เธอจึงเลิกคะยั้นคะยอเด็กน้อยทันที
ถึงจะเห็นใจแต่คุณหญิงอย่างไรก็เข้าข้างลูกชายเธออยู่แล้ว เธอเองก็รับไม่ได้ที่สามีมีเมียน้อยแต่สำหรับเด็กที่เกิดมาพวกเขาไม่ได้ผิดอะไร
"แม่มีธุระจะคุยกับผมไม่ใช่เหรอ จะให้คนนอกมานั่งฟังด้วยทำไมครับ" ธนัตถ์พูดไปพลางหันไปรับผ้าขนหนูจากเด็กรับใช้ขึ้นมาซับหน้าซับตาตัวเอง
"งั้นเชิญคุณหญิงเลยนะครับผมกับพริสาขอตัวก่อน" ภูวนาถเองก็ไม่ได้อยากอยู่ตรงนั้นจึงได้ทีขอตัวทั้งเขาและพริสากลับขึ้นห้อง
พริสาได้ยินแบบนั้นจึงคิดจะลุกเดินไปหาพี่ชาย
"พวกเธอเองก็ต้องอยู่ฟังเหมือนกัน"
"แต่ว่า.." พริสางุนงง ทำไมเขาและพี่ชายต้องอยู่ด้วย มันจะมีเรื่องอะไรสำคัญที่พวกเขาต้องรู้ด้วยหรือ
"เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับธนัตถ์ ภูและพริสา ทั้งสามคนเลยจ้ะ" เธอพูดและระบายยิ้มเล็กน้อย
"เรื่องอะไรกันแน่ครับคุณหญิง"
คุณหญิงอรุณีพลันเก็บใบหน้าอารมณ์ดีของเธอแล้วเงยมองทั้งสามคนนิ่งๆก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"พินัยกรรมของคุณไพศาล"
ยังไม่ได้ตรวจคำผิดและจัดหน้านะคะ