หลังจากนั้นเฉินโหรวหยูก็ไม่ได้พบกับเหมิงกู้อีกเลย เหลียงซีซีช่วยเธอชำระเงินที่โรงพยาบาล เมื่อเธอได้ยินมาว่าเหมิงกู้อารมณ์ไม่ดี เธอกลัวมากจนไม่กล้าแม้แต่จะออกไปนอกบ้าน
การหลบซ่อนตัวสักพักบางทีก็มีประโยชน์ ต่อมาเมื่อเธอออกไปข้างนอกอีกครั้ง เธอก็ไม่ได้พบกับ 'ความบังเอิญที่โรแมนติก' อีกเลย เธอไม่ได้ไปโรงพยาบาล ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือคาเฟ่
อันที่จริงเฉินโหรวหยูรู้สึกว่าเหมิงกู้พูดถูกต้อง พวกเธอไม่เหมาะสมกันจริงๆ
เขาใจเย็นและสุขุม เข้าใจสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
ส่วนเธอตาบอดและสับสนในตัวเอง เพิ่งรู้สึกถึงความเจ็บหลังจากวิ่งชนกำแพงมาพักใหญ่
ช่องว่างระหว่างพวกเธอเหมือนถูกคั่นด้วยมหาสมุทร ไม่เพียงแต่วงจรชีวิตต่างกัน นิสัยก็ต่างกันมาก ยังรวมถึงพฤติกรรมที่น่าขายหน้าทั้งหลายแหล่ของเธอที่ยิ่งทำให้เธอกับเขาแยกออกจากกัน
เขารู้ว่าการที่เธอตามจีบเขาไม่ใช่เพราะว่าเธอชอบเขา และยังรู้อีกว่าเธอมีตัวเลือกระหว่างเขาและเล่ยเฟิง เนื่องจากเล่ยเฟิงมีแฟนอยู่แล้ว เธอเลยเลือกเขา ฟังดูเหมือนเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ใส่ใจความรู้สึก สนใจแต่การกระทำเท่านั้น นี่ทำให้เฉินโหรวหยูรู้สึกอับอายขายหน้ามาก
เธออยากจะบอกว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น ไม่ใช่คนที่มีมาตรฐานสูงแต่มีคุณสมบัติเพียงน้อยนิด และไม่ใช่คนโลเลในเรื่องความรัก เธอหวังเพียงได้พบผู้ชายที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมและมีชีวิตที่สงบสุขด้วยกัน ไม่ผิดที่จะหวังแบบนั้น คนที่ไม่เคยพบผู้ชายที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม ผิดตรงไหนที่จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน?
เรื่องนี้ก็เหมือนกับการนัดบอดนั่นแหละ ในการพบกันครั้งแรกบางทีก็ไม่ได้ชอบกันตั้งแต่แรกเห็น แต่ถ้าอีกฝ่ายมีคุณสมบัติเพียบพร้อมและเต็มใจจะเป็นคู่ชีวิตที่ดี อยากเรียนรู้ซึ่งกันและกัน นี่ไม่ใช่เรื่องเดียวกันเหรอ?
ความรู้สึกสามารถพัฒนาได้นี่นา
ใช่ เธอยอมรับว่าการโต้แย้งนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่ก็อ่อนปวกเปียกไปหน่อย เช่นเดียวกับตอนที่เธอถูกจับได้คาหนังคาเขาตอนที่เธอปากไม่ดีเรื่องเขากับคนอื่น
เธอต้องทำให้เขาประทับใจว่าเธอเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร
ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธเธออย่างชัดเจน และบอกว่าเขาเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น
แต่เธอไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเขานี่ เธอชอบเขาและไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้ และไม่ต้องการทำแบบนั้นด้วย หลังจากที่เธอทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเธอชอบเขาจริงๆ เธอไม่อยากทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้จริงๆ
ไหนๆเรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว มีแต่ต้องเผชิญหน้ากับมันเท่านั้น เธอต้องตัดอารมณ์และความรู้สึกให้หมด และต้องดับเปลวไฟแห่งรักเล็กๆ ที่เพิ่งจุดชนวน
ดังนั้นเธอจึงตั้งใจที่จะไม่พบเขาอีก เธอต้องการที่จะใช้ชีวิตธรรมดาและวุ่นวายของเธอต่อไป บางทีหลังจากนั้นเธออาจพบคู่ชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเอง พูดคุยเกี่ยวกับความรัก และวางแผนแต่งงาน
แต่ก่อนอื่นเธอต้องดึงตัวเองกลับมาและก้าวผ่านเหตุการณ์ที่โชคร้ายที่เกิดขึ้นนี้เสียก่อน
ทว่าโชคชะตาของเฉินโหรวหยูนั้นเลวร้ายมาก จนไม่สามารถเลวร้ายไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
โชคร้ายเรื่องแรกที่เกิดขึ้นคือ คนชั่วสองคนที่ทำร้ายเธอไม่ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล ก่อนหน้านั้นพวกเขาตกลงที่จะจ่ายค่าชดเชย แต่ตอนนี้กลับไม่เต็มใจจ่าย แม้ว่าเฉินโหรวหยูจะเป็นคนขี้ขลาดและไม่ชอบมีปัญหากับใคร แต่เธอก็บ้าบิ่นพอสมควรในบ้างครั้ง เธอวิ่งร้องหาความยุติธรรมด้วยร่างกายที่ยังบาดเจ็บ วิ่งโร่ไปสถานีตำรวจและปรึกษาทนายความ หากจำเป็นจริงๆ เธอก็พร้อมขึ้นศาล
เฉินโหรวหยูมองเหลียงซีซีและจับมือของหล่อนไว้ “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน ฉันคงต้องพึ่งเธอจัดการเรื่องต่างๆให้ฉัน ช่วยแจ้งครอบครัวของฉันว่าฉันซื้อประกันชีวิตให้ตัวเอง และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์คือแม่ของฉัน ส่วนบัญชีธนาคารมีเงินไม่มาก อ้อ ยังมีเพื่อนที่แสนดีของฉันอีกคน เกาอูหลาน หากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับฉันจริงๆ ต้องบอกเธอในนาทีสุดท้ายเท่านั้น”
“ได้ ได้” เหลียงซีซีพูดขัดขึ้นมาก่อน “กรุณาอย่าฝากความรับผิดชอบที่หนักอึ้งนี้ให้ฉัน ดูแลตัวเองให้ดี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอจริงๆ หลังจากที่เธอพบว่าฝากฝังเรื่องไว้ผิดคน ถึงตอนนั้นก็นอนตายตาไม่หลับแล้ว”
“ฉันหวังว่าเธอจะจัดการได้อย่างดีเยี่ยม”
“เธอควรจะเพลาๆลงบ้างนะ เธอทำดีที่สุดแล้ว และไอ้ชั่วสองคนนั่นก็ไม่ใช่คนดี”
เฉินโหรวหยูพยักหน้า ถึงแม้จะกลัวแค่ไหน เธอก็ไม่คิดจะหันหลังกลับ เธอเป็นคนขี้ขลาดและกลัวการเผชิญหน้ากับปัญหามาโดยตลอด มีเพียงเรื่องนี้ที่เธอกล้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น มันเป็นผลประโยชน์ของเธอล้วนๆ ดังนั้นเธอจึงยังยืนกรานเดินหน้าต่อ
อย่างน้อยลูกค้าของเธอก็ได้รับเงินชดเชยจากประกันเต็มจำนวน ซึ่งทำให้เธอสบายใจได้บ้าง
แต่ผลกระทบจากอุบัติเหตุครั้งนี้ยังไม่จบ บริษัทของเธอไม่พอใจกับการกระทำของเธอ ผู้บริหารบางคนในบริษัทบอกว่าการกระทำของเธอทำให้บริษัทเกิดความระส่ำระสาย ไม่เพียงแต่สร้างปัญหา เธอยังไม่คำนึงถึงประโยชน์ของบริษัท โชคดีสำหรับเฉินโหรวหยูที่หัวหน้ายังสนับสนุนเธออยู่ แต่วันต่อๆมาเมื่อเธอเข้าบริษัท เธอต้องเข้าประชุมและเผชิญกับการถูกตำหนิอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เธอเหนื่อยล้าทั้งจิตใจและร่างกาย
ช่วงนี้เหมิงกู้โทรหาเธอสองครั้ง แต่เธอไม่กล้ารับ เธอมองหน้าจอที่แสดงชื่อเหมิงกู้จนหน้าจอกลายเป็นสีดำและเสียงเรียกเข้าก็หยุดลงในที่สุด
ครอบครัวของเฉินโหรวหยูก็โทรศัพท์หาเธอหลายครั้ง บอกเธอว่าญาติคนหนึ่งจะมาที่เมือง A และเตือนให้เธอไปรับเขาและเลี้ยงรับรองเขาด้วย ยังถามว่าจะให้เขาพักอยู่กับเธอสักสองสามวันได้หรือไม่ และอยากให้เธอพาญาติไปเยี่ยมที่บริษัทของเธออีกด้วย
นี่กะจะเอาชีวิตกันเลยใช่ไหม? อพาร์ทเมนต์ที่เธอเช่าอยู่เล็กมากจนไม่มีที่ว่างเพียงพอให้ใครอยู่เพิ่ม ต่อให้มีพื้นที่เธอก็ไม่มีวันปล่อยให้ญาติของเธอมาอยู่ด้วยแน่ๆ เธอจะยอมให้ญาติผู้ชายมาเบียดตัวอยู่ในห้องเช่าเล็กๆที่มีหญิงสาวสองอยู่ได้อย่างไร? บางครั้งเฉินโหรวหยูก็ไม่เข้าใจว่าครอบครัวของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ และเธอต้องพาญาติไปเยี่ยมที่บริษัทของเธอด้วย ทัศนคติที่แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ใจเช่นนี้ทำให้เธออับอายมาก นอกจากนี้เธอไม่สามารถแนะนำบริษัทของเธอกับครอบครัวได้ เธอจะบอกครอบครัวของเธอได้อย่างไรว่าเธอขายประกัน?
เฉินโหรวหยูแก้ตัวหลายครั้งเพื่อปฏิเสธคำขอของครอบครัว ซ้ำยังโกหกว่าเธอออกจากเมืองเพื่อไปทำธุระเรื่องงาน โดยไม่ได้คาดคิดว่างานของเธอในฐานะพนักงานขายประกันจะถูกเปิดโปง
วันนั้นเธอมีประชุมกับผู้จัดการและลูกค้าในร้านกาแฟ หลังจากลูกค้าออกไป ผู้จัดการก็นั่งให้คำแนะนำกับเธออย่างอดทนเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เขาสอนเธอถึงวิธีปฏิบัติตนและจัดการกับลูกค้าด้วยความเข้าใจ เธอไม่เถียง ก้มหน้ารับฟัง เมื่อผู้จัดการออกจากร้านกาแฟ เธอพบเพื่อนของเพื่อนเก่า ‘ฉีนา’ จากบ้านเกิดนั่งอยู่ที่โต๊ะถัดไป เธอจำเขาได้และแน่นอนเขารู้ว่าเธอเป็นใคร ใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าเต็มไปด้วยความสนใจ และเธอรู้ว่าเขามีความสุขมากกับการนินทาที่เห็นว่าเธอถูกหัวหน้าดุด่าว่ากล่าว
เฉินโหรวหยูเดินจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ในใจของเธอรู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่กดทับลงมาที่เธออย่างหนัก ทำให้เธอหูอื้อตาลาย
เขาต้องบอกฉีนาแน่นอน ตั้งแต่ที่ฉีนาไม่พอใจเธอ ฉีนาจะต้องกระจายข่าวนี้แน่ เธอยังสงสัยว่าฉีนาจะเดินทางไปบ้านเกิดเพื่อบอกแม่และญาติๆของเธอหรือไม่ และแสดงความเห็นใจและเสียใจต่อความล้มเหลวของเฉินโหรวหยูในฐานะลูกสาวหรือเปล่า?
ความโชคร้ายที่ประดังประเดเข้ามา ทำให้เฉินโหรวหยูรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ย่อยยับ
เธอเพิ่งสูญเสียความรักไป และทำให้คนที่เธอชอบไม่พอใจ เธอหลอกลวงครอบครัวของเธอและกำลังจะถูกเปิดเผยในไม่ช้า อีกไม่นานเธอจะกลายเป็นตัวตลกในวงสังคมเล็กๆแห่งนั้น เธอถูกทำร้ายร่างกาย แต่ผู้กระทำผิดยังไม่ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ชีวิตของเธอยังคงตกอยู่ในอันตราย งานของเธอก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกัน และผู้บังคับบัญชาของเธอก็คอยจับตาดูเธออย่างใกล้ชิด…….
ระยะนี้เฉินโหรวหยูไม่มีแม้แต่จิตวิญญาณที่จะถอนหายใจ
โทรศัพท์มือถือของเธอยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ชายชั่วทั้งสองได้โทรมาข่มขู่และสาปแช่งด้วยถ้อยคำหยาบคายและเตือนให้เธอระวังตัวเอาไว้ แม่ของเธอโทรมาถามเธอว่าจะกลับเมืองเอเมื่อไหร่ และบอกกับเธอว่าญาติกำลังจะมาที่เมืองเอ ‘หยางหยาง’ หนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนของเธอที่ยังคงติดต่อกันอยู่ ได้บอกเธอว่าฉีนาเพิ่งแพร่กระจายข่าวลือที่สร้างความเสียหายเกี่ยวกับเธอ หยางหยางบอกให้เธอเตรียมตัวเอาไว้ เตรียมตัวเอาไว้? เธอควรเตรียมตัวยังไงล่ะ?
ทุกครั้งที่โทรศัพท์ดัง เธอจะตัวสั่นด้วยความกลัว
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ว่าจะไม่สนใจอีกต่อไป เนื่องจากเงินในมือถือของเธอถูกใช้หมดแล้ว เธอจึงไม่คิดจะเติมเงินและปล่อยให้สัญญาณโทรศัพท์ถูกระงับ หลังจากแสร้งทำเป็นตายไปสองสามวัน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจยกเลิกเบอร์โทรศัพท์ เธอต้องการกันตัวเองออกจากปัญหาเหล่านี้และต้องการเริ่มต้นใหม่
เธอไม่เชื่อว่าเธอจะโชคร้ายเช่นนี้ตลอดไป เธอไม่เชื่อว่าจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่โชคร้ายยิ่งไปกว่านี้
แต่เธอคิดผิด
โชคร้ายที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ต่างหาก
เธอเป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน และต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้ง!
เธออารมณ์ไม่ดีจึงดื่มเบียร์หนึ่งกระป๋องและกินซุปเผ็ดหนึ่งชาม ซึ่งทำให้เธอป่วยเป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที เฉินโหรวหยูที่กำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลรู้สึกอยากร้องไห้
ข่าวดีอย่างเดียวก็คือเธอมีสติพอที่จะเลือกโรงพยาบาลที่เธอเข้ารับการรักษา โรงพยาบาลตั้งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลที่เหมิงกู้ทำงานอยู่ และห่างไกลจากคนที่เธอรู้จัก
เธอต้องการอยู่ตามลำพัง
อย่างไรก็ตามการอยู่ตามลำพังไม่ได้ทำให้อารมณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด เธออ่อนไหวมากขึ้นและรู้สึกเศร้ามาก เธออยากซ่อนตัวอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเธอจริงๆ สิ่งที่เฉินโหรวหยูไม่รู้ก็คือ ตอนที่เธอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล กลุ่มเพื่อนของเธอกำลังตามหาเธอให้วุ่นวาย