เฉินโหรวหยูหายตัวไป!
เฉินโหรวหยูบอกว่ารู้เรื่องราวเหล่านี้ภายหลังจากที่เกาอูหลานหาเธอพบในโรงพยาบาล
เรื่องมีอยู่ว่า ในเมือง C บ้านเกิดของเธอ ฉีนาได้แพร่กระจายข่าวลือพร้อมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเธอ ข่าวลือว่าเธอเป็นพนักงานขายประกันที่ตกอยู่ในความคับแค้นข้องใจ และเธอยังหลอกล่อคนอื่นเพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อคุณพ่อเฉินคุณแม่เฉินได้ยินเช่นนี้ พวกเขาย่อมตกใจเป็นธรรมดา คุณพ่อคุณแม่เฉินพยายามโทรหาเฉินโหรวหยู แต่สัญญาณโทรศัพท์ของเธอถูกระงับไปหลายวันแล้ว หลังจากนั้นก็กลายเป็นหมายเลขที่ไม่สามารถติดต่อได้ คุณพ่อเฉินและคุณแม่เฉินหวาดกลัวมาก กลัวว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับลูกสาว
ในเมื่อคุณพ่อคุณแม่เฉินไม่สามารถติดต่อลูกสาวได้ พวกเขาจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของลูกสาวแทน ดังนั้นหยางหยางจึงติดต่อไปที่ครอบครัวเกาอูหลาน หลังจากได้เบอร์เกาอูหลาน ในที่สุดหยางหยางก็ติดต่อเกาอูหลานได้ เธอได้แต่หวังว่าเกาอูหลานที่อยู่เมือง A จะสามารถช่วยตามหาเฉินโหรวหยูได้
เมื่อเกาอูหลานทราบข่าว เธอตกใจอย่างมาก พวกเธอแค่ไม่ได้ติดต่อกันช่วงหนึ่ง เฉินโหรวหยูถึงกับหายตัวไปเลยเหรอ? ดังนั้นหยินเซ่อ เล่ยเฟิง และเหมิงกู้ก็ทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ทุกคนช่วยกันออกตามหาเฉินโหรวหยูทุกทาง และในที่สุดก็พบว่าเธออยู่โรงพยาบาล
“ฉันเปลี่ยนเบอร์ใหม่และยังไม่มีเวลาบอกทุกคนน่ะ” เมื่อเฉินโหรวหยูแก้ตัวเช่นนี้ เธอรู้สึกผิดมาก ความจริงแล้วเธอยกเลิกเบอร์เก่าสักพักแล้ว จนบริษัทรู้เข้า เธอถึงตัดสินใจซื้อเบอร์ใหม่ บริษัทต่อว่าถ้าเธอไม่มีเบอร์โทรศัพท์ให้ติดต่อ แล้วเธอจะทำงานอย่างไร? เธอจะติดต่อลูกค้าอย่างไร? เธอถูกบริษัทตำหนิ และในที่สุดหลังจากผัดวันประกันพรุ่งเธอก็ตัดสินใจจะไปลงทะเบียนเพื่อรับเบอร์ใหม่ เธอไม่สามารถบอกพวกเขาได้ว่าเธอเป็นโรคหวาดกลัวโทรศัพท์ และลงท้ายด้วยการเป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน
เฉินโหรวหยูรู้สึกเสียใจมาก แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าการตัดขาดการติดต่อกับทุกคนนั้นทำให้เธอกลายเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ แต่เธอก็ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้
จากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันก็สามารถมองข้ามไปได้ถ้าไม่มีเหมิงกู้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งทำให้เธออึดอัดใจเป็นพิเศษ
คราวนี้ความประทับใจของเธอในใจเขาคงจะลดลงฮวบฮาบ
บ้าบิ่น, ตัวป่วน, นิสัยเด็ก, ลูกอกตัญญู, สมองกระทบกระเทือน......อ๊ายยย....ไม่อยากจะคิดเลย
สีหน้าของเหมิงกู้ดูไม่ดี แต่ต่อหน้าเกาอูหลานและหยินเซ่อ เขาไม่ได้พูดจาไม่ดีออกมา เขาเพียงแต่หันไปพูดกับหมอเจ้าของไข้และสอบถามอะไรนิดหน่อย และเมื่อเขาหันกลับมาเขาก็บอกว่าเธอสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
“อ่า แต่คุณหมอเพิ่งบอกฉันว่าให้ออกจากโรงพยาบาลพรุ่งนี้”
“คุณเป็นหมอหรือผมเป็นหมอ?”
“แน่นอนว่าคุณเป็นหมอ”เฉินโหรวหยูยิ้มฝืดๆ แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วย แต่เธอเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นอย่าไปยั่วโมโหเขาจะดีกว่า
"มีการเจรจาทางเทคนิคระหว่างแพทย์สองคนและบทสรุปก็คือ ถ้าคุณยังคงอยู่ในโรงพยาบาลต่อไป คุณจะต้องจ่ายเงินมากขึ้น ดังนั้นคุณจึงสามารถออกจากโรงพยาบาลได้วันนี้ คุณอยากจะออกจากโรงพยาบาลรึเปล่า?"
“ค่ะ ค่ะ” แน่นอนว่าเธออยากออกจากโรงพยาบาล ตอนนี้เธอจนกรอบมาก อะไรที่ประหยัดได้เธอก็อยากประหยัด
ดังนั้นเฉินโหรวหยูจึงได้ออกจากโรงพยาบาล
เหมิงกู้ขับรถไปส่งเกาอูหลานและหยินเซ่อก่อนไปส่งเฉินโหรวหยู
เฉินโหรวหยูประหม่ามาก และไม่กล้าบอกเขาให้ส่งเธอกลับบ้านก่อน
เธอเป็นสาเหตุให้เพื่อนๆวิ่งวุ่นหาเธอกันจ้าละหวั่น เธอรู้สึกผิด ดังนั้นตลอดทางเธอไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว
โชคดีที่เกาอูหลานคุยกับเธอตลอดทาง ทั้งสองพูดกันถึงเรื่องการทำงานหนักเพื่อความเจริญในหน้าที่การงาน อีกด้าน หยินเซ่อก็ประท้วงด้วยการสั่งไม่ให้เกาอูหลานทอดทิ้งเขา คู่รักเริ่มเถียงกันและหยอกเย้ากันไปมาซึ่งทำให้เฉินโหรวหยูยิ้มออกมา ในขณะที่เธอยิ้ม สายตาของเธอก็ประสานกับสายตาของเหมิงกู้ในกระจกมองหลัง เธอหดตัวลงโดยอัตโนมัติ
จากนั้นเหมิงกู้ก็เบนสายตาออก หัวใจของเฉินโหรวหยูเต้นตุ้มๆต่อมๆ
หลังจากที่ส่งเกาอูหลานและหยินเซ่อกลับบ้านแล้ว เขาก็ไม่ได้ขับรถออกไปในทันที เธออยากจะถามเขาว่ากำลังรออะไรอยู่ หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งเธอก็เงียบและนั่งรออยู่บนรถกับเขา
หลังจากนั่งอยู่ในรถสักพัก เหมิงกู้ก็พูดขึ้นว่า “ลงมานั่งข้างหน้า! อะไร? คิดจะให้ผมเป็นคนขับรถของคุณรึไง?”
ทันใดนั้นเธอก็รู้ตัวและหน้าแดง เธอเปิดประตูรถอย่างรวดเร็วและย้ายไปนั่งด้านหน้า
เธอนั่งลงและหลังจากรอเป็นเวลานาน คุณหมอเหมิงก็ยังไม่ยอมขยับรถ
เฉินโหรวหยูรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและแอบมองเขา เธอเห็นเขาจ้องมาที่เธอ “คุณไม่รัดเข็มขัดนิรภัยเหรอ?”
“โอ้ะ โอ้....” เธอรีบรัดเข็ดขัดนิรภัยทันที
แต่เหมิงกู้ก็ยังไม่ขยับรถ เขาล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาและยื่นมาให้เธอ
เธอมองไปที่โทรศัพท์มืถือของเขาอย่างงงวย รับมาก็ดูจะไม่ถูกต้อง แต่ไม่รับมาก็ยิ่งดูไม่ถูกต้อง ในที่สุดเธอก็ถามว่า “ฉันมีโทรศัพท์ของตัวเองค่ะ”
เหมิงกู่ฃ้จ้องหน้าเธอนิ่ง “ผมบอกคุณหรือว่าจะให้โทรศัพท์คุณ?”
เธอหน้าแดงด้วยความอายอีกครั้งและกล่าวว่า “แม้แต่โทรศัพท์ของคุณหมอเหมิงก็เป็นโทรศัพท์ระดับไฮเอนด์” เขายื่นโทรศัพท์ให้และไม่พูดอะไร มีเพียงผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขาต้องการอะไร และเธอก็ได้แค่กล่าวชมเขา
“ขอบคุณ” เหมิงกู้หน้าบึ้ง “กรุณาพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของคุณลงในโทรศัพท์ไฮเอนด์เครื่องนี้ด้วยครับคุณเฉินโหรวหยู”
“ฉันไม่หายตัวไปอีกแล้วค่ะ”
“นั่นถือเป็นเรื่องดี แต่นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่ผมขอเบอร์คุณ” เขาหย่อนโทรศัพท์ลงบนตักของเธอ
เฉินโหรวกัดปากเบาๆ เธอก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือและหยิบมันขึ้นมา หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ ในที่สุดเธอก็ยอมรับว่า “ฉันยังไม่ได้ลงทะเบียนเบอร์ใหม่”
"คุณเก็บอะไรไว้ในหัวแตงโมของคุณบ้าง?" น้ำเสียงที่ดังขึ้นและท่าทีที่ดุร้ายของเขาทำให้เฉินโหรวหยูหน้าเบ้
"มันสมอง, ซีรีเบลลัม และก้านสมอง"
เหมิงกู้ตวัดตามองเธอทันที “มืออาชีพมาก!”
“ธรรมดา”
“มันจะดีกว่านี้มากถ้าคุณทำสิ่งต่างๆโดยใช้สามัญสำนึกของคุณ” เหมิงกู้สตาร์ทรถและขับไปบนถนนสายหลักอย่างรวดเร็ว
เฉินโหรวหยูกัดปากตัวเองไม้ให้โต้เถียงกับเขา เธอต้องฝึกควบคุมตัวเองถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่
เหมิงกู้ปรายตามองเธออีกครั้งและเธออยากจะถลึงตาใส่เขาเหลือเกิน ไม่ได้ๆ เธอต้องควบคุมตัวเองให้ได้
เมื่อเธอเห็นเหมิงกู้ขับรถไปที่ตึกโทรคมนาคม เธอก็ตะลึง
“ฉัน....” ทันทีที่อ้าปาก เธอก็ได้รับสายตาเย็นชาจากเขา
เหมิงกู้จอดรถ เปิดประตูรถฝั่งตัวเองออกและเดินอ้อมมายังฝั่งประตูรถของเธอและเปิดประตูรถฝั่งเธอ “ลงมาและเข้าไปลงทะเบียนเบอร์โทรของคุณให้เรียบร้อย อย่าหาขออ้างและอย่าถ่วงเวลา ลงมา!”
เธอลงจากรถแล้ว แต่เขาก็ยังดุเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกถ้าคุณจะขาดการติดต่อจากเพื่อนของคุณ ขนาดพ่อแม่ของคุณ คุณยังกล้าขาดการติดต่อ คุณเคยคิดถึงพ่อแม่คุณบ้างไหม? ถึงต่อให้คุณอยากซ่อนตัวจากบางอย่างหรือบางคน การยกเลิกเบอร์โทรศัพท์มันช่วยคุณได้จริงๆเหรอ? คุณโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะไม่ใช่เด็ก คุณคิดอะไรอยู่? ไม่ใช่แค่ครอบครัวคุณที่เป็นห่วงคุณ แต่เพื่อนๆของคุณก็ยังเป็นห่วงคุณด้วย คุณทำให้ทุกคนหวาดกลัวไปกันหมด คุณไม่รู้สึกผิดกับเรื่องนี้เลยเหรอ?”
“เพราะฉันรู้สึกผิดไงถึงยืนให้คุณด่าฉันอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันหนีไปนานแล้ว” เสียงของเธอแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ เธอไม่กล้าพูดดัง
“คุณพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันไม่ได้พูดอะไร”
“เฉินโหรวหยู!”
“ฉันพูดว่าคุณหมอเหมิงเป็นคนดีจริงๆ คุณหมอผู้มีจิตใจของความเป็นพ่อเป็นแม่ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ผู้ชายอายุสามสิบปีที่คิดว่าตัวเองเป็นพ่อของเธอ….จู้จี้ ขี้บ่น และจู้จี้ขี้บ่นไม่รู้จบ
เฉินโหรวหยูไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เธอรู้สึกว่าเหมิงกู้จ้องเธอจากด้านบนศีรษะ หลังจากที่เขาจ้องมากพอแล้ว เขาก็พาเธอไปยังตึกโทรคมนาคมเพื่อลงทะเบียนเบอร์โทรศัพท์
เธอยืนอยู่หน้าเค้าเตอร์บริการและยืนฟังเหมิงกู้คุยกับพนักงานขายว่าให้ลงทะเบียนเบอร์โทรให้เธอ เธอไม่ได้พูดอะไรและหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมา จากนั้นหันหน้าไปเผชิญกับพนักงานขาย เธอหยิบเงินทั้งหมดที่เธอมี ยี่สิบเอ็ดจุดห้าหยวน ใบหน้าของพนักงานขายแข็งทื่อและหันไปมองเหมิงกู้ เขาเองก็พูดไม่ออก หยิบบัตรเครดิตออกมายื่นส่งให้พนักงานขายเงียบๆ
“คุณติดเงินผม”
เธอไม่รู้ว่าเธอควรตอบสนองอย่างไร และเธอก็ไม่ได้ตอบสนองใดๆกลับไป
ในที่สุดหมายเลขใหม่ก็ได้รับการลงทะเบียน และโทรศัพท์มือถือระดับไฮเอนด์ของคุณหมอเหมิงกู้ก็ได้บันทึกหมายเลขดังกล่าวไว้ด้วย จากนั้นเขาก็พาเธอกลับไปที่รถอีกครั้ง
“เมื่อคุณกลับไปถึงบ้าน โทรหาครอบครัวคุณซะ เข้าใจไหม?”
“เอ่อ...” เฉินโหรวหยูหน้าบึ้ง เธอไม่รู้จะโทรหาที่บ้านยังไง เมื่อคิดถึงปฏิกิริยาของครอบครัว และการทิ้งระเบิดที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของเธอเริ่มชา
“เลี้ยงข้าวผมพรุ่งนี้ ผมเลิกงานหกโมงเย็น”
ใบหน้าของเธอเปลี่ยนจากความวิตกกังวลกลายเป็นความสยองขวัญทันที
“อะไร? ไม่เต็มใจ? คิดดูสิ คุณแอบหนีออกจากโรงพยาบาลหลังจากที่ผมแสดงความเมตตาต่อคุณ ผมเป็นหมอมาหลายปียังไม่เคยมีคนไข้แอบหนีไปแบบนี้มาก่อน ผมเสียหน้าก็เพราะคุณ อีกอย่างคุณบอกว่าผมเป็นเพื่อนของคุณ คุณปฏิบัติต่อเพื่อนแบบนี้เหรอครับ? หลังจากนั้นก็ไม่รับโทรศัพท์ผม และผมไม่รู้เลยว่าถนนเส้นไหนที่คุณไปจบชีวิตลง คุณหายตัวไปแต่ผมก็ยังหวังที่จะหาตัวคุณ คุณคำนวณดูเอาเองว่าคุณติดหนี้ผมอยู่เท่าไหร่? ว่าไง จะเลี้ยงข้าวผมไหม?”
เฉินโหรวหยูอ้าปากค้างไม่กล้าพูดว่าตัวเองผิด ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “คุณหมอเหมิงคะ ช่วงนี้ฉันจนมากเลย”
“ทำไมคุณถึงจน?”
“ฉันเข้าโรงพยาบาลตั้งสองครั้งและหมดเงินไปเยอะมาก เพราะอุบัติเหตุของลูกค้าฉัน สองเดือนมานี้ฉันปิดยอดประกันไม่ได้สักยอดเลย เงินเดือนก็แทบไม่ได้ ฉันมีเงินเก็บไม่มากแถมยังติดหนี้คนอื่น ตอนนี้ฉันไม่มีเงินจริงๆ กลางคืนฉันได้แต่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฉันจนมากจริงๆค่ะ เพิ่งเปลี่ยนเบอร์โทรใหม่อีก ไหนจะต้องติดต่อลูกค้าทั้งหมด ฉันยุ่งมากจริงๆค่ะ”
“จนงั้นเหรอ? ยุ่งงั้นเหรอ? ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลจากการกระทำคุณทั้งนั้น ไม่มีค่าให้เห็นใจ”
เฉินโหรวหยูถอนหายใจและเริ่มต่อรองกับเขา “หรือไม่ก็รอให้ฉันมีเงินก่อน แล้วฉันจะเลี้ยงอาหารคุณหมอเหมิงอย่างดีเลยค่ะ”
“รอจนกว่าคุณจะมีเงิน? คุณคิดว่าความหวังของคุณจะเป็นจริงในชีวิตนี้รึเปล่า?”
“ฉัน.....”
ควบคุมตัวเองไว้ ควบคุมตัวเองไว้
“รออยู่ที่บ้าน พรุ่งนี้ผมจะไปรับตอนหกโมงเย็น”
"ฉันเป็นโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบ ฉันกินอะไรไม่ค่อยได้ ทำไมเราไม่เปลี่ยนเป็นวันอื่นแทน?"
“คุณไม่ต้องกินหรอก คุณกำลังชวนผมกินข้าว ถ้าคุณท้องไม่ดีก็กินให้น้อยลงสิ”
ฟังเขา! จงฟังเขา! เขาเอาแต่ใจกว่านี้ได้อีกไหม?
“นั่น……หกโมงเย็นเป็นชั่วโมงเร่งด่วน รถติดหนักมาก มารับฉันคงจะไม่สะดวกสำหรับคุณหมอเหมิงเท่าไหร่ ทำไมเราไม่เปลี่ยนเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ แล้วนัดวันอื่นทีหลัง”
“ไม่สะดวกไปรับงั้นเหรอ? ผมไม่รู้ว่าคุณเกรงใจเป็นด้วย งั้นคุณมารับผมแทนแล้วกัน มาเร็วหน่อยก็ดี รอที่ห้องทำงานข้างๆวอร์ดตอนหกโมงเย็น”
นี่มันฆ่าเธอชัดๆ ไม่ใช่ฆ่าเขา!
นี่เขาเป็นคนแบบไหนกัน?!
เฉินโหรวหยูทุกข์ใจ เธอควรทำอย่างไรดี? เธอจะต้องเลี้ยงข้าวเขาจริงๆเหรอเนี่ย?