Your Wishlist

ฮูหยินข้า...ท่านอย่าร้ายนัก (ร่ำรวย รุ่งเรือง)

Author: เฌอตฤณ

เพราะสมรสของนางกับเขาเป็นสมรสพระราชทาน อยากจะหย่าก็ไม่ได้เช่นนั้นหรือ ในเมื่อเขาเห็นนางเป็นเพียงของตาย หย่าขาดจากเขาไม่ได้ก็หนีสิ!!

จำนวนตอน :

ร่ำรวย รุ่งเรือง

  • 14/04/2564

 

 

ร่ำรวย รุ่งเรือง

 

 

สี่ปีผ่านไป ไวดั่งนั่งฟังเรื่องเล่านิทานปรัมปราที่โรงน้ำชาสักแห่งในเมืองหลวง

 

เดิมทีนั้น เถียนฮูหยินไม่คิดมาก่อนว่าบุตรสาวคนเล็กจะกระทำได้อย่างที่เคยบอกตนเอาไว้ ทว่าตอนนี้นางกลับภูมิใจในตัวของเถียนเมี่ยวถิงเหนืออื่นใดทั้งสิ้น จะติดก็แต่บุตรสาวคนเล็กของนางไม่ค่อยจะกระทำตัวคล้ายกุลสตรีเท่าใดนัก ไปเยือนทั้งเหลาสุรา หรือแม้แต่หอคณิกาก็ไม่เว้น ถึงแม้ว่ากิจการทั้งสองอย่างจะเป็นของสกุลเถียนก็เองเถอะ ไหนจะสนิทสนมกับหญิงสาวในหอคณิกาเหมยอวิ๋นยิ่งกว่าเถียนฉีเล่อผู้เป็นพี่ชายที่รับหน้าที่ดูแลหอคณิกาโดยตรงเสียอีก ถึงสตรีในหอเหมยอวิ๋นขายศิลป์ไม่ขายร่างกาย แต่ก็ขึ้นชื่อว่าหอคณิกา ผู้เป็นมารดาอย่างนางย่อมกังวลว่าบุตรสาวอาจไม่ได้ออกเรือนในภายหน้า หากเกิดข่าวลือเสียหายขึ้นมาจริง ๆ

 

ระยะเวลาช่วงสี่ปีที่ผ่านมาวิชาต่าง ๆ ของสตรีที่ตนและอาจารย์ที่จ้างมาคอยพร่ำสอน บุตรสาวของนางเองก็ฝึกไม่เคยขาด แต่เถียนฮูหยินย่อมรู้ดีว่าเถียนเมี่ยวถิงชื่นชอบการทำอาหารและการกินเป็นชีวิตจิตใจ ทว่าเรื่องค้าขายก็มิได้ด้อยไปกว่ากัน

บุตรสาวของนางคิดค้นอาหารชนิดใหม่ขึ้นมา รวมไปถึงสุราชนิดใหม่ ๆ ออกมาขายจนกิจการทั้งสามของสกุลเถียนรุ่งเรืองกว่าเมื่อก่อนมากนัก แม้ว่าปัจจุบันกิจการทั้งสามอย่างของสกุลเถียนจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวงแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวยุ่งยังคงไม่พอใจ ทุกวันนี้ยังขยันเดินทางออกจากจวนบ่อยครั้ง จนตัวนางผู้เป็นมารดาคร้านจะเอ่ยปรามขึ้นมาบ้างแล้ว

 

“ท่านแม่เจ้าคะ….” เสียงหวานเอ่ยเรียกมารดาอย่างออดอ้อน เถียนฮูหยินได้ยินเสียงแว่วเข้ามา ตั้งแต่ตัวคนยังไม่พ้นขอบประตูเรือน ก็พึมพำภายในใจว่า นึกถึงโจโฉ โจโฉก็มา

“ลูกจะไปที่ใดอีกแล้วละ” เถียนฮูหยินวางสดึงในมือ แล้วเอ่ยถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่พอใจเท่าใดนัก ใบหน้าคนก็บึ้งตึง

ทุกวันนี้ ในจวนอันเสี่ยงปั๋วช่างเงียบเหงาเสียเหลือเกิน ทุกคนต่างก็มีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น สามีของนางรับราชการวันหยุดพักผ่อนต่อเดือนมีเพียงไม่กี่วันเท่านั้น บุตรชายคนโตและบุตรสาวคนเล็กนั้นต่างช่วยกันดูแลกิจการของครอบครัวอยู่ไม่เว้นวัน ส่วนตัวนางก็ดูแลเรื่องภายในจวนรอพวกเขากลับจวนมาหลังงานเสร็จสิ้น

แม้ในจวนแห่งนี้จะมีบ่าวไพร่มากมายให้เรียกหา ทว่าบางครั้งนางเพียงต้องการให้บุตรชายบุตรสาวอยู่สนทนากับตนให้นานขึ้นอีกสักหน่อยเท่านั้น แต่พวกเขากลับไม่รับรู้เสียนี่!

เห็นกิริยาของมารดา เถียนเมี่ยวถิงก็พอคาดเดาได้อยู่บ้าง หญิงสาวขยับกายเข้าไปกอดเถียนฮูหยิน เอ่ยขึ้นเสียงอ่อนหวานว่า

“โถ่... ท่านแม่เจ้าคะ เมี่ยวเอ๋อร์ไปที่เมืองท่าเพียงไม่นานก็กลับมาแล้ว วันนี้มีเรือลำใหม่จากต่างแคว้นมาจอดเทียบท่า หากเมี่ยวเอ๋อร์ไปถึงล่าช้า ประเดี๋ยวสินค้าก็หมดพอดีน่ะสิเจ้าคะ”

“เมืองท่าอีกแล้วหรือ? มิสู้ลูกย้ายไปอยู่ที่เมืองนั้นเสียเลยละ” ใช้เวลาไม่นานหรือ? จากเมืองหลวงไปเมืองท่า ใช้เวลาเดินทางตั้งชั่วยามครึ่ง ไปกลับร่วมสามชั่วยาม นางย่อมต้องทานมื้อเที่ยงคนเดียวเช่นเก่าแล้ว ยิ่งคิดเถียนฮูหยินยิ่งหดหู่ พวกเขายิ่งโตยิ่งห่างจากนางมากจริง ๆ

“ได้หรือเจ้าคะ? !” เถียนเมี่ยวถิงโพล่งถามด้วยความดีใจยิ่ง ทั้งยังคิดว่าความคิดของมารดานั้นไม่เลวเลย แต่พอเห็นใบหน้างอง้ำของมารดาจึงเอ่ยปัดไปว่า

“เมี่ยวเอ๋อร์เพียงล้อท่านแม่เล่นเท่านั้นเจ้าค่ะ เพียงล้อเล่น”

“รีบไปรีบมาเสียละ อย่าได้ปล่อยให้คนแก่ที่จวนคอยนานรู้หรือไม่”

“ท่านแม่หรือเจ้าคะที่แก่ ไม่เลยสักนิด ท่านพ่อทั้งรักทั้งหลงมากขนาดนี้ ท่านจะแก่ได้อย่างไรกัน”

เพี๊ยะ!

“เจ้าลูกคนนี้ เป็นสาวเป็นแส้ยังไม่ออกเรือน ไฉนจึงแก่นแก้ว กล่าววาจาสัปดนไม่สมเป็นสตรียิ่งนัก” ต้องเป็นเพราะเมื่ยวเอ๋อร์ไปเยือนหอคณิกาเหมยอวิ๋นบ่อยแน่ ๆ ไม่ได้การแล้ว นางจะต้องพูดคุยเรื่องนี้กับท่านพี่ให้รู้เรื่อง จะมาตามใจลูกแบบนี้ไม่ได้!

เถียนฮูหยินคิด แต่ก็หลงลืมไปว่า เรื่องเหล่านี้ทั้งตนและผู้เป็นสามีได้เอ่ยกับบุตรสาวหลายหนแล้ว ทว่าเถียนเมี่ยวถิงก็ยังคงไปเยือนที่หอคณิกาเหมยอวิ๋นเช่นเก่า

เถียนเมี่ยวถิงยิ้มล้อเลียนมารดา นางกล่าวว่า

“เมี่ยวเอ๋อร์พูดจริงนะเจ้าคะ เช่นนั้นลูกเดินทางก่อนนะเจ้าคะท่านแม่” สิ้นประโยคเถียนเมี่ยวถิงก็ก้มหอมแก้มของเถียนฮูหยินด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหลบออกจากเรือนของผู้เป็นมารดาไปอย่างเร่งรีบ ขืนอยู่นานกว่านี้หูของนางต้องชาแน่ ๆ

เถียนฮูหยินได้แต่ทอดสายตาตามหลังร่างของบุตรสาวไปอย่างกังวล ปีนี้เถียนเมี่ยวถิงมีอายุสิบหกปี ฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงก็สิบเจ็ดปีแล้ว ทว่ากลับไม่มีบุรุษหรือแม่สื่อคนใดย่างกรายเข้าประตูจวนอันเสี่ยวปั๋วมาสอบถามการหมั้นหมายเลยสักคน ในใจผู้เป็นมารดาเช่นนางก็ให้นึกสับสน หรือเมี่ยวเอ๋อร์ของนางจะกลายเป็นสาวเทื้ออย่างที่สามีและบุตรชายของนางต้องการไปเสียแล้วเล่า

 

 

 

เถียนเมี่ยวถิงไม่ได้ตรงไปยังเมืองท่าในทันที นางแวะที่หอคณิกาเหมยอวิ๋นสอบถามเหล่าพี่สาวเสียก่อนว่าต้องการสิ่งใดจากเมืองท่าหรือไม่ ปรกตินั้น พี่สาวเหล่านี้ไม่ค่อยออกไปเที่ยวที่ด้านนอกกันเท่าใดนัก อีกอย่างตอนที่สร้างหอคณิกาเหมยอวิ๋นแห่งนี้ใหม่ ๆ บิดาของนางได้สร้างสวนดอกไม้ขนาดกลางเอาไว้ที่ด้านหลังหอคณิกาเหมยอวิ๋นแล้ว สถานที่พักผ่อนของบรรดาพี่สาวทั้งหลายในหอคณิกาจึงเป็นสวนดอกไม้ด้านหลังแห่งนี้แทน

อีกอย่างเมื่อสามปีที่แล้วนางยังสั่งให้สร้างร้านน้ำชาขนาดเล็กที่ด้านในสวนเพิ่มอีกด้วย

หาใช่เฉพาะเหล่าพี่สาวในหอคณิกาเหมยอวิ๋นที่ชื่นชอบบรรยากาศของสวนดอกไม้แห่งนี้ ตัวของนางเองยังชื่นชอบมานั่งชมนกชมสวนอยู่บ่อยครั้ง ยังคิดสร้างห้องทำงานสักห้องเอาไว้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ถูกมารดาขัดเอาไว้เสียก่อนล่ะนะ

“อ่าว! เถ้าแก่เนี้ยมาแล้วหรือ ไฉนวันนี้จึงมาตั้งแต่หัววันเล่าเจ้าคะ” เยี่ยนจือกล่าวถามอย่างดีใจ

“พอดีข้าแวะมาเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนจะออกเดินทางเจ้าค่ะพี่เยี่ยนจือ ยังคิดมาสอบถามด้วยว่า พวกท่านต้องการสิ่งของใดจากเมืองท่าหรือไม่”

“ท่านไปเมืองท่าอีกแล้วหรือ ไฉนจึงเดินทางท่องเที่ยวบ่อยเสียจริง” เยี่ยนจือเอ่ยเย้า “เอ้าสาว ๆ ฟังทางนี้กันก่อน เถ้าแก่เนี้ยจะไปเยือนเมืองท่าในวันนี้ หากพวกเจ้าต้องการสิ่งใดให้รีบมาบอกกล่าวกับแม่นางซินฉาย อย่าได้ทำให้เถ้าแก่เนี้ยเสียเวลาหาเงินหาทองเชียว”

ได้ยินพี่สาวเยี่ยนจื่อกล่าวเช่นนั้น เถียนเมี่ยวถิงก็ฝากฝังให้เยี่ยนจือและซินฉายเป็นผู้จดรายการฝากซื้อของเหล่าพี่สาวในหอคณิกาทั้งหลายแทน ส่วนตัวของนางนั้นขึ้นไปเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดของบุรุษที่ห้องพักด้านบนแทน

 

 

ราวหนึ่งเค่อ [1] ต่อมา ร่างสง่างามดุจหนุ่มน้อยเจ้าสำราญก็เดินลงมาจากด้านบน

เยี่ยนจือจุ๊ปากด้วยท่าทางมีจริต พลางกล่าวเย้าเถียนเมี่ยวถิงว่า “หากท่านเป็นบุรุษย่อมงดงามกว่าพี่ชายของท่านเป็นแน่”

“พี่ใหญ่ข้าต้องหล่อเหลาสิเจ้าคะ คำว่างดงามนั้นใช้กับสตรีเจ้าค่ะ” แม้จะตอบไปเช่นนั้น แต่เถียนเมี่ยวถิงก็เห็นด้วยกับเยี่ยนจืออย่างยิ่ง ผู้ใดใช้ให้บิดามารดาของนางรูปงามกันเล่า ส่วนพี่ใหญ่น่ะหรือ เขาเอาความงดงามของท่านทั้งสองมาไว้ที่ตนเองจนหมดเปลือก จากความหล่อเหลาองอาจเยี่ยงบุรุษ จึงกลายเป็นงดงามประดุจนางจิ้งจอก จนสตรีแท้จริงยังต้องอับอาย เฉกเช่นพี่สาวในหอคณิกากล่าวอย่างมิผิดเพี้ยน

เยี่ยนจือหัวเราะ “แหม๋... เถ้าแก่เนี้ยอย่าบอกว่าไม่เห็นด้วยกับข้าเลยเจ้าค่ะ เป็นท่านเองนะเจ้าคะที่เคยบอกว่านายน้อยงดงามจนสตรีอย่างเรายังต้องอับอาย”

เถียนเมี่ยวถิงได้ยินเยี่ยนจื่อกล่าวประโยคต้องห้ามก็หันซ้ายแลขวาอย่างเป็นกังวล หากพี่ใหญ่มาได้ยินประโยคนี้เข้า เขาจะต้องสั่งให้นางงดมาเยือนหอคณิกาเหมยอวิ๋นสักระยะเป็นแน่

หญิงสาวยิ้มแหย ๆ “เอาเถิด ๆ เรื่องนี้ให้ผ่านไปเสีย ว่าแต่ช่วงนี้มีข่าวใดหรือไม่เจ้าคะ”

“ข่าวหรือ? เรื่องให้กังวลนั้นไม่เจ้าค่ะ แต่เรื่องขบขันก็พอมีให้ได้ยินอยู่บ้าง”

เถียนเมี่ยวถิงยิ้มประจบ “พี่สาวเยี่ยนจือเล่าให้ข้าฟังสักหลายคำเถิด” ตั้งแต่มาอยู่ภพนี้ นอกจากเรื่องอาหารการกิน และทำมาค้าขายหารายได้เข้ากระเป๋าแล้ว เรื่องชาวบ้านก็คล้ายว่านางนั้นจะใคร่รู้อยู่มากจริง ๆ

 

 

 

 

 

 


[1] เค่อ 刻 คือหน่วยนับเวลาแบบโบราณของจีน หนึ่งเค่อ 一刻 เท่ากับเวลาประมาณ 15 นาที

 

 

 

 

 
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป