Your Wishlist

ฮูหยินข้า...ท่านอย่าร้ายนัก (เปลี่ยนแปลง)

Author: เฌอตฤณ

เพราะสมรสของนางกับเขาเป็นสมรสพระราชทาน อยากจะหย่าก็ไม่ได้เช่นนั้นหรือ ในเมื่อเขาเห็นนางเป็นเพียงของตาย หย่าขาดจากเขาไม่ได้ก็หนีสิ!!

จำนวนตอน :

เปลี่ยนแปลง

  • 14/04/2564

 

เปลี่ยนแปลง

 

 

เดิมเถียนเมี่ยวถิงตั้งใจจะนอนพักเพียงไม่กี่ชั่วยาม [1] เท่านั้น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะหลับไปจนยามเช้าของอีกวัน หลังอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จสิ้น หญิงสาวก็เดินมุ่งหน้าไปยังเรือนพักของมารดาทันที เพราะตอนที่อาบน้ำอยู่นั้น นางได้ให้คนมาแจ้งแล้วว่า เช้านี้จะกินอาหารพร้อมกับทุกคนในครอบครัว

ร่างดรุณีน้อยวัยสิบสองปีเดินเข้าไปในเขตเรือนของผู้เป็นมารดาอย่างร่าเริง บ่าวรับใช้ที่ได้พบเห็นระหว่างทางต่างลอบยิ้มให้กับกิริยาของนางด้วยกันทั้งสิ้น คุณหนูของพวกนางได้เปลี่ยนไปแล้ว นับว่าจวนอันเสี่ยงปั๋วมีโชคในคราวเคราะห์แล้วจริง ๆ

เถียนเมี่ยวถิงเข้ามาภายในเรือนก็เห็นว่าคนในครอบครัวนั้นมากันครบแล้ว หรือว่านางจะอาบนานเกินไปนะ?

“อรุณสวัสดิ์ทุกคนเจ้าค่ะ ลูกมาสาย ทำให้ทุกคนต้องรอเสียแล้ว” นางกล่าวพร้อมยิ้มแย้มอย่างรู้สึกยินดี มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริง ๆ ในที่สุดตนสามารถมีครอบครัวเหมือนคนอื่นได้เสียที

เถียนฮูหยินเห็นอาการป่วยของบุตรสาวดีขึ้น เถียนเมี่ยวถิงยังมีท่าทางร่าเริงแจ่มใสกว่าแต่ก่อนก็ยิ้มตามนางอย่างวางใจ ก่อนจะเอ่ยสนทนากับผู้เป็นบุตรสาวคนเล็กอย่างกระตือรือร้น

“ไม่สายหรอก รีบเข้ามาด้านในเร็วเมี่ยวเอ๋อร์ อย่ายืนอยู่ตรงประตูนานนักเลย อากาศในปลายฤดูใบไม้ร่วงเย็นลงมากแล้ว ประเดี๋ยวจะล้มป่วยลงได้อีกนะลูก”

 

เถียนเมี่ยวถิงถอดเสื้อกันลมตัวนอกออก แล้วส่งให้สาวใช้ในเรือนมารดานำไปแขวน ก่อนจะเดินไปนั่งข้างมารดาในทางด้านซ้ายของโต๊ะอาหาร ซึ่งมีบิดานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ และพี่ชายนั่งอยู่ทางฝั่งขาว

เมื่อนั่งที่ของตนเองแล้วนางก็สำรวจอาหารบนโต๊ะทันที จานเนื้อมีสี่จานด้วยกันคือ หมูสามชั้นน้ำแดงใส่เกาลัด น้ำแกงปลาผักดอง น้ำแกงไก่ตุ๋นโสม และเนื้อไก่ผัดเม็ดมะม่วง ส่วนจานผักมีสองจานคือ มะเขือยาวผัด และหลัวฮั่นไจ [2]

ไม่นาน อาหารเช้ามื้อนี้ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

เถียนเมี่ยวถิงกินอาหารไปสักพักก็รับรู้ถึงสายตาที่มองมายังตนอยู่ไม่ห่าง นางเงยหน้าขึ้นมองหาที่มา ก่อนจะพบว่าเป็นสายตาของเถียนฉีเล่อ

“พี่ใหญ่ไม่หิวข้าวหรือเจ้าคะ?”

“อ่อหิว... หิว เจ้าก็กินด้วยสิ” เถียนฉีเล่อตอบน้องสาวอย่างกระอึกกระอัก ก่อนจะคีบหมูสามชั้นน้ำแดงใส่เกาลัดให้ผู้เป็นน้องสาว แล้วลอบมองอาหารที่ตนวางในจานของเถียนเมี่ยวถิงอย่างเป็นกังวล ด้วยกลัวว่าน้องสาวจะไม่กินอาหารที่ตนคีบให้

เถียนเมี่ยวถิงอยากจะหัวเราะให้กับท่าทางเคอะเขินและไม่มั่นใจของพี่ชายยิ่งนัก คงจะตกใจมากสินะที่นางเอ่ยพูดคุยกับเขาก่อน ยังมีกิริยาท่าทางร่าเริงจนน่าตกใจ ทั้งที่เพิ่งหายจากอาการป่วยแท้ ๆ

และยังกินอาหารที่เขาคีบให้อีกต่างหาก ไม่ตกใจก็แปลกคนแล้ว!

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มพลางกล่าวขอบคุณพี่ชาย หลังส่งชิ้นเนื้อเข้าปากแล้ว จากนั้นนางจึงเห็นเถียนฉีเล่อสลับคีบอาหารให้บิดาบ้าง มารดาบ้าง และนางบ้าง จนจบมื้ออาหาร ใบหน้าของพี่ชายยังยิ้มด้วยความพึงพอใจ คล้ายคนบ้าอยู่เต็มทีแล้ว

 

หลังจากสาวใช้ยกจานอาหารบนโต๊ะออกไปจนหมด ไม่นานแม่นมโจวก็เดินถือถาดเล็กเข้ามา ภายในถาดมีถ้วยวางอยู่สองถ้วย ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งถ้วยนั้นเป็นยารสชาติแสนแย่ของนางอย่างแน่นอน

เถียนเมี่ยวถิงลอบเบ้ปากอย่างเสียกิริยา นางขยาดกับรสชาติยาเหลือแสน

แม่นมโจววางถาดลง ก่อนจะส่งถ้วยให้กับเถียนฮูหยิน

“เมี่ยวเอ๋อร์ กินรังนกตุ๋นสักหน่อยนะลูก จะได้บำรุงร่างกายให้แข็งแรงไว ๆ”

เถียนเมี่ยวถิงถอนหายใจออกมาเสียงดังจนทุกคนหลุดหัวเราะไปทั้งห้อง ที่แท้มิใช่ยาขมชนิดอื่นที่เพิ่มมา แต่เป็นอาหารบำรุงร่างกายนางนี่เอง!

หญิงสาวยิ้มแย้มจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พร้อมรับถ้วยมาจากมือของมารดา

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” อืม... สงสัยต้องให้รางวัลกับแม่ครัวสักหน่อยแล้ว อาหารแต่ละอย่างที่ขึ้นโต๊ะมาในวันนี้มีรสชาติดีจริง ๆ

หลังกินรังนกตุ๋นในถ้วยจนหมด เถียนเมี่ยวถิงก็ดื่มยาต้มแสนขมตามลงไปทันที พร้อมกับรับลูกพลับตากแห้งจากแม่นมโจวมาอมลดความขมของยาต้ม

เมื่อทุกคนเห็นยาในถ้วยหมดลงก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง เช้านี้พี่ใหญ่มีตรวจบัญชีที่เหลาอาหารไห่เสียงอวิ๋น ส่วนบิดายังคงต้องไปตรวจดูความเป็นอยู่ชาวเมืองในทางทิศใต้ของเมืองหลวง

เถียนเมี่ยวถิงอยู่พูดคุยกับมารดาต่อราวครึ่งชั่วยาม [3] จึงได้เอ่ยลากลับเรือนของตนไป

 

 

 

 

สิบวันต่อมา ทุกคนในจวนลวนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของบุตรสาวคนเล็กจวนอันเสี่ยงปั๋วได้อย่างชัดเจน แรก ๆ นั้นเถียนฮูหยินก็เป็นกังวลจนต้องให้ผู้เป็นสามีอย่างเถียนมู่เค่อปลอบอยู่เป็นวัน แต่ไม่นานนักก็คุ้นชินกับนิสัยแปลกใหม่ของบุตรสาวตนได้ในที่สุด

“ไม่ดีหรืออย่างไรที่ลูกเราไม่เก็บตัวเช่นแต่ก่อนแล้ว”

“ดีก็ดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่การที่เมี่ยวเอ๋อร์ต้องการศึกษาเรื่องค้าขายแทนการเรียนศาสตร์และศิลป์ของสตรีชั้นสูงนี่ออกจะมากไปสักหน่อย”

“โอ้... มิใช่ว่าตอนที่ลูกมาขอร้อง เจ้าเองก็เห็นชอบไปกับนางแล้วหรอกหรือ” เถียนมู่เค่อถามภรรยาด้วยความฉงน นี่ภรรยาเขาคงไม่ได้ตอบออกไป เพื่อเอาใจบุตรสาวคนเล็กหรอกกระมัง

“หากเจ้าไม่สบายใจก็ลองยื่นข้อเสนอกับลูกดูสิ อย่างเช่นวันนี้นางไปศึกษาเรื่องค้าขายกับอาเล่อ ส่วนวันต่อมาก็ให้นางเรียนเรื่องของสตรีกับเจ้าและอาจารย์ที่น้องหญิงหามาเป็นอย่างไร”

“ความคิดนี้ของท่านพี่ดียิ่งเจ้าค่ะ” เถียนฮูหยินยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะหอมแก้มสามีเพื่อให้รางวัล

กิริยานี้ของนางทำเถียนมู่เค่อใจสั่น ลมหายใจของเขากระชั้นชิดขึ้นมาอย่างมิอาจห้าม

“อ้อนพี่เช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะไม่ได้นอนหรือน้องหญิง หืม?” เถียนมู่เค่อกล่าววาจา พร้อมช้อนคางของภรรยาขึ้นสบสายตาตน

ใบหน้าของเถียนฮูหยินแดงระเรื่ออย่างน่ามอง แม้นางจะเขินอายกับถ้อยคำของสามีมากเพียงใด ทว่าในค่ำคืนนั้นนางก็มอบรางวัลให้ผู้เป็นสามีไปทั้งคืน

 

 

เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน เถียนฮูหยินก็ได้ตกลงเรื่องการศึกษากับบุตรสาวคนเล็กในทันที โดยนางยื่นข้อเสนอให้เถียนเมี่ยวถิงออกไปศึกษาเรื่องค้าขายกับบุตรชายได้เพียงเดือนละสิบวันเท่านั้น ส่วนวันอื่น ๆ ที่เหลือ ก็ให้เถียนเมี่ยวถิงร่ำเรียนวิชาของสตรีที่ตนจัดตารางเอาไว้ให้

เถียนเมี่ยวถิงไม่ได้ปฏิเสธข้อตกลงของผู้เป็นมารดา นางยิ้มแย้มรับคำ ทั้งยังให้คำมั่นกับมารดาว่าจะปฏิบัติตามอย่างมิขาดตกบกพร่องเลยสักนิดเดียว

แม้เถียนฮูหยินจะไม่มั่นใจว่าบุตรสาวคนเล็กจะทำได้อย่างที่ตนคาดหวังนัก ขอเพียงแค่บุตรสาวไม่เอ่ยปฏิเสธ นางก็คล้ายความกังวลในใจลงไปหมดแล้ว

 

 

 

 

วันแล้ววันเล่าที่ไหลผ่านไร้การสิ้นสุด

จากฤดูใบไม้ร่วง เลยเข้าสู่ฤดูหนาว วนกลับมาเริ่มต้นที่ฤดูใบไม้ผลิอีกหน ผู้คนในเมืองหลวงก็ยังคงวุ่นวายไปกับการจัดการสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของตนเองอยู่ไม่ห่าง ซึ่งครอบครัวของสกุลเถียนเองก็เช่นกัน ทว่าความวุ่นวายของคนในสกุลเถียนนั้นเกิดจากบุตรสาวคนเล็กของบ้าน หาใช่ปัญหาเรื่องการดำรงชีพแต่อย่างใด

“เมี่ยวเอ๋อร์ นั่นน้องจะไปที่ใด” เถียนฉีเล่อเอ่ยถามอย่างจนใจ มีวันใดที่นางไม่ออกจากจวนบ้างเล่า

เถียนเมี่ยวถิงหันกลับไปฉีกยิ้มให้พี่ชาย เอ่ยตอบเขาเสียงดังฟังชัดว่า

“ไปหอคณิกาเหมยอวิ๋นเจ้าค่ะ”

เถียนฉีเล่อนิ่งงันเพราะคำตอบของน้องสาวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะสนทนาต่อ “น้องจะไปทั้งเช่นนี้ไม่ได้” นี่มันเพิ่งจะหัววัน เด็กคนนี้ช่าง...

ใบหน้าเถียนเมี่ยวถิงงอง้ำ “ทำไมหรือเจ้าคะ นั่นมันกิจการของบ้านเรานี่น่า”

“จะอย่างไรก็ไปทั้งเช่นนั้นไม่ได้” เถียนฉีเล่อตอบอย่างอ่อนใจ ไม่ได้การแล้ว เขาจะต้องรีบไปพูดคุยเรื่องนี้กับบิดามารดาให้เข้าใจ ไม่เช่นนั้นเด็กคนนี้คงมีข่าวลือเสียหายในภายหน้าอย่างแน่นอน

เถียนเมี่ยวถิงมองสำรวจอาภรณ์ของตนเองก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นพี่ชาย

“อ่อ... ที่แท้พี่ใหญ่ต้องการให้ข้าเปลี่ยนชุดบุรุษก่อนใช่หรือไม่” เอ่ยจบร่างเล็กก็โบกมือเล็กไปมา ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายว่า

“พี่ใหญ่สบายใจได้ เมี่ยวเอ๋อร์ให้ซินฉายเตรียมชุดของบุรุษเอาไว้เปลี่ยนในรถแม้แล้วเจ้าค่ะ น้องไปก่อนนะเจ้าค่ะ บ๊ายบาย...”

“เถียน-เมี่ยว-ถิง!!” เถียนฉีเล่อตะโกนไล่หลังน้องสาวด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ

ถึงอย่างนั้น คนต้นปัญหากลับไม่อยู่ให้เขาบ่นเสียแล้ว

เรื่องราวในสกุลเถียนก็ดำเนินไปเช่นนี้ จนปัจจุบันคนในบ้านไร้ถ้อยคำจะปรามคุณหนูรองจวนอันเสี่ยงปั๊วแล้ว

 

 

 

 

 

 


[1] ชั่วยาม 时辰 คือหน่วยนับเวลาแบบโบราณของจีน หนึ่งชั่วยาม เท่ากับเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หรือ 8 เค่อ

[2] หลัวฮั่นไจ 罗汉斋 คือ เมนูอาหารกวางตุ้งที่เป็นมังสวิรัติ โดยใช้เต้าหู้หรือฟองเต้าหู้และวุ้นเส้นผัดกับผักและเห็ดนานาชนิด

[3] ครึ่งชั่วยาม 半个时辰 คือหน่วยนับเวลาแบบโบราณของจีน เท่ากับเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป