Your Wishlist

ฮูหยินข้า...ท่านอย่าร้ายนัก (ข่าวลือ)

Author: เฌอตฤณ

เพราะสมรสของนางกับเขาเป็นสมรสพระราชทาน อยากจะหย่าก็ไม่ได้เช่นนั้นหรือ ในเมื่อเขาเห็นนางเป็นเพียงของตาย หย่าขาดจากเขาไม่ได้ก็หนีสิ!!

จำนวนตอน :

ข่าวลือ

  • 14/04/2564

 

ข่าวลือ

 

 

“ว่ากันว่า ท่านเสนาบดีกรมการคลังคนใหม่สกุลมู่หรงนั้นเป็นต้วนซิ่ว [1] วยปีนี้เขามีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงยังไม่มีเลยสักคน วัน ๆ หนึ่งนั้น ทำงานร่วมกันแต่กับเหล่าบุรุษทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ผู้คนก็มิได้สนใจมากท่าใดนัก

แต่เพราะเขารับตำแหน่งเสนาบดีมาได้สองปีแล้ว อนาคตของเขายังเติบโตได้อีกมาก ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา พวกขุนนางเฒ่าหลายคนต่างต้องการเกี่ยวดองด้วยทั้งสิ้น ทว่าเจ้าตัวนั้นปฏิเสธไปรอบแล้วรอบเล่า ไม่ว่าสกุลใดก็ไม่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย จนตกมาปีนี้ก็ยังคงไม่ได้ตบแต่งสตรีใดเข้าสกุลมู่หรงเลยสักนาง” เยี่ยนจือเอ่ยเล่าด้วยท่าทีกระซิบกระซาบ

“แล้วเขาเป็นจริง ๆ หรือไม่เจ้าคะ”

“เรื่องนี้ข้าเองก็มิทราบได้ แต่ว่าเขาไม่เคยมาเที่ยวที่หอคณิกาเลยนะเจ้าคะ ไม่ใช่แค่หอคณิกาของเราเท่านั้น ทว่าเขาไม่ไปสักที่เลย แต่เรื่องนี้ท่านอย่าได้เล่าลือออกไปเล่า อย่างไรเสีย สกุลมู่หรงก็เป็นสกุลเก่าของฟางเสียนเฟย ฮ่องเต้ยังโปรดปรานพระนางเป็นอย่างมาก ฟางเสียนเฟยเองก็เอ็นดูท่านเสนาบดีกรมการคลังมากด้วย เพราะเขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่”

“สกุลมู่หรงเหลือเขาเพียงคนเดียวหรือ?” เถียนเมี่ยวถิงถามอย่างไม่มั่นใจ ไฉนจึงน่าสงสารนัก ชวนให้นางนึกถึงตัวเองในชาติภพที่แล้วจริง ๆ

“เจ้าค่ะ ราวสิบกว่าปีก่อน บิดามารดาของท่านเสนาบดีกรมการคลังเสียชีวิตลงในขบวนเดินทาง เนื่องจากถูกโจรป่าดักปล้น เหลือรอดเพียงบุตรชายคนเดียวของบ้าน ซึ่งก็คือท่านเสนาบดี จะว่าไปชีวิตของเขาก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย เสียดายก็แต่ ถ้าเขาเป็นต้วนซิ่วจริง ๆ สกุลมู่หรงคงถึงคราวสิ้นสุดแล้ว”

ฟังเยี่ยนจื่อเล่าจบ เถียนเมี่ยวถิงพลันตบมือลงบนหน้าขา กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

“หากเขาแต่งให้ข้า รับรองว่าไม่เกินสิบวันเขาจะเปลี่ยนใจกลับมาชมชอบสตรีอย่างแน่นอน”

“ท่านมั่นใจถึงเพียงนั้นเชียว? ร่ำเรียนวิชาจากพวกข้าไปมากหรือ” เยี่ยนจือปิดปากขำ “เขาจะแต่งให้ท่านได้อย่างไร มีแต่ท่านต้องแต่งให้เขา มีบุรุษคนใดแต่งเข้าบ้านสตรี”

“อ่า... เป็นข้าเองที่ลืมไป” แต่ถ้านางเอ่ยขอบิดา ก็มิใช่ว่าจะไม่มีหนทางสักหน่อย

“คุณหนู ข้าจดรายการฝากซื้อของจากเหล่าพี่สาวเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ซินฉายร้องบอก

เถียนเมี่ยวถิงยืนขึ้นทันที “ถ้าเช่นนั้นวันนี้ข้าคงต้องลาพวกพี่สาวแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำของมามอบให้พวกท่านนะเจ้าคะ”

“ขอบพระคุณเถ้าแก่เนี้ยมากเจ้าค่ะ ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ”

เถียนเมี่ยวถิงโบกมือลาเหล่าพี่สาวทั้งหลาย ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ด้านหลังหอคณิกา เดินทางมุ่งหน้ายังเมืองท่าต่อไป

 

 

 

เถียวเมี่ยวถิงเดินทางถึงเมืองท่าก็เป็นเวลาในช่วงสายของวันแล้ว ชีวิตของนางช่วงนี้ออกจะวุ่นวายอยู่สักหน่อย เพราะต้องคอยค้นหาสินค้าเพื่อนำมาต่อยอดกิจการของสกุลเถียนในภายหน้า

แม้ว่าตอนนี้กิจการทั้งสามจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง แต่ใช่ว่าจะคงอยู่ตลอดไป การแข่งขันทางธุรกิจนั้นมีมากมายหลายวิธีการ ไม่แน่ว่าพอกิจการของสกุลเถียนรุ่งเรืองเข้ามาก ๆ อาจมีผู้ไม่หวังดีรอคว้าผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังก็ได้ ดังนั้นจึงมิอาจประมาทแม้แต่ก้าวเดียว

“เร็วเข้าซินฉาย ข้าคุณชายจะเร่งไปดูสินค้า”

“คุณหนู เอ้ย! คุณชายเจ้าคะ ท่านมาที่เมืองท่าแห่งนี้ก็หลายปีแล้ว คิดหรือว่าคนแถวนี้จะจดจำท่านไม่ได้” ซินฉายเอ่ยบอกอย่างอ่อนใจ นางอยากจะกล่าวเหลือเกินว่า ที่แต่งชุดบุรุษมานั้นไม่เห็นจะมีประโยชน์แต่อย่างใด คุณหนูของนางซื้อขายกับพวกเถ้าแก่ในเมืองท่าแห่งนี้ก็หลายหน หากพ่อค้าเหล่านั้นจำลูกค้ารายใหญ่เช่นคุณหนูของนางไม่ได้ ก็ไม่ต้องซื้อขายกันต่อแล้ว!

“เอาน่า... ล้วนเป็นความสบายใจของข้า ชุดของบุรุษสบายกว่าชุดของสตรีตั้งมากมาย ไม่ต้องคอยยกแขนเสื้อรุ่ยร่ายให้มากเรื่องเวลากินอาหาร”

ซินฉายหลุดขำ สุดท้ายคุณหนูของนางนั้นก็ยังคงกังวลเรื่องกินเป็นลำดับแรกอยู่ดี

“โอ้! นั่นมิใช่คุณหนูเถียนหรอกหรือ”

เถียนเมี่ยถิงหันตามเสียงทัก “สายันต์สวัสดิ์เถ้าแก่ซ่งเจ้าค่ะ”

“ยินดี ๆ ขอรับ มิทราบว่าวันนี้ท่านสนใจสิ่งของใดเป็นพิเศษหรือไม่ หากคุณหนูเถียนต้องการสิ่งใด ข้าน้อยนั้นยินดีจัดหาให้โดยด่วน”

เถียนเมี่ยวถิงรวบพัด “ไม่รีบ ๆ ขอข้าเดินดูอีกสักรอบสองรอบก่อนเจ้าค่ะ”

“ได้ ๆ ท่านอย่าลืมแวะมาที่ร้านของข้าน้อยนะขอรับ”

“ไม่ลืมแน่นอน ไปกันต่อเถอะซินฉาย”

เดินมาจนถึงท่าลงของ เถียนเมี่ยวถิงก็ยังไม่เจอสินค้าชนิดใดที่ถูกใจเลยสักชิ้น นางจึงตัดสินใจชวนสาวใช้คนสนิทไปนั่งพักที่ร้านน้ำชา เพื่อฆ่าเวลารอเรือลำอื่นสักหน่อย

นั่งไปได้สักพัก ซินฉายก็ขออนุญาตออกไปสอบถามผู้คนในละแวกนี้ ด้วยกลัวว่าจะมีเรื่องที่พวกตนนั้นพลาดไป

เถียนเมี่ยวถิงเอ่ยอนุญาตอย่างยินดี นับวันซินฉายยิ่งมีฝีมือ และรับรู้ความต้องการของนาง น่ายินดี น่ายินดี!

 

ไม่นานนัก ซินฉายก็กลับมาพร้อมกับข่าวสารที่ตนได้ไปสอบถามมา

“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวได้ยินว่าทางทิศเหนือมีเรือสินค้าใหม่มาเทียบท่าลงสินค้า ไม่ทราบว่าท่านสนใจหรือไม่”

“หืม.. เรือใหม่มาลงสินค้าอีกลำแล้วหรือ ไปสิไป” แน่นอนว่าก่อนหน้านี้นางก็แวะไปดูเรือใหม่ที่เทียบท่าของวันนี้มาแล้วหลายลำ ทว่าสิ่งของพวกนั้นนางมีมันจนหมดแล้ว หาได้มีสิ่งใดแปลกใหม่เลย

ซินฉายเรียกหาเสี่ยวเอ้อร์มาเก็บเงินค่าขนมและน้ำชา ก่อนเดินตามผู้เป็นนายออกไป คุณหนูของนางช่างรวดเร็วจนน่าตกใจยิ่ง ยังฟังความจากนางไม่ทันครบถ้วน ตัวคนพลันหายไปจากสายตาเสียแล้ว

“คุณหนู ท่านเดินให้ช้าลงหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ถนนแถวนี้ทั้งรถทั้งม้า ไหนจะเกวียนขนสินค้าวิ่งผ่านไปมาอยู่มาก ประเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุได้นะเจ้าคะ”

“ไม่เป็นอะไรหรอกน่า หากมัวชักช้าประเดี๋ยวของดี ๆ ก็หมดก่อนพอดีน่ะสิ”

ซินฉายถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นางก็เห็นว่าคุณหนูเป็นเช่นนี้ทุกทีที่ทราบว่ามีเรือสินค้าใหม่มาเทียบท่าเรือ บ่นไปก็เท่านั้น

เถียนเมี่ยวถิงไม่คิดสนใจซินฉายอีก ยามนี้นางต้องการชมดูสินค้าจากเรือใหม่ที่เข้ามาเทียบท่าใหม่เท่านั้น นานมาแล้วที่ไม่มีเรือใหม่เข้ามาภายในแคว้น ที่ไปดูมาก่อนหน้าก็มีแต่สิ่งของทั่วไป เรือที่ขนสินค้ามาล้วนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ค้าระหว่างแคว้นแล้ว สินค้าจึงมีแต่ของเดิม ๆ ไม่มีของแปลกใหม่ให้เลือกหาแต่อย่างใด

“เร็วเข้าสิซินฉาย” เถียนเมี่ยวถิงไม่วายหันมาเร่งเร้าคนด้านหลัง นางรีบเดินกระทั่งลืมมองทางหรือสนใจสิ่งหรือเสียงรอบข้างโดยสิ้นเชิง

“คุณหนูระวังเจ้าค่ะ!!” ซินฉายร้องบอกเสียงดังเมื่อได้ยินเสียงเกือกม้าดังใกล้เข้ามา คุณหนูหันกลับมาสนทนากับนางเช่นนี้ หนทางยังไม่ชายตาแล ฝีเท้าม้ายังเร่งรีบ เกรงว่าคนข้างหน้าคงหลบไม่ทันแล้ว

 

 

ฮี่ ๆ!!

 

“ซิน...กรี๊ดดด!!” เถียนเมี่ยวถิงเรียกชื่อสาวใช้คนสนิทได้เพียงคำเดียวเท่านั้น ร่างของนางก็ลอยลิ่วเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษผู้หนึ่งแทบจะทันที แถบผ้าที่ผูกผมยาวสลวยเอาไว้เลื่อนหลุดออก ไปเพราะไม่ได้ผูกให้แน่นตั้งแต่แรก ผมยาวสีดำขลับของหญิงสาววัยสิบหกปีกว่าสยายเต็มแผ่นหลัง ทั้งยังสิ่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมวลบุปผา ออกมาให้คนที่อยู่ใกล้ได้กลิ่น

ร่างบอบบางที่ตกใจกลัว สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม แม้ยามนี้ตนจะอยู่ในอ้อมแขนแกร่งที่แสนปลอดภัยแล้วก็ตาม

ในใจของเถียนเมี่ยวถิงยิ่มนึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อครู่นี้ม้าตัวใหญ่จะวิ่งชนนางอยู่แล้วเชียว

“เจ้า! ... ท่านเป็นสตรี” มู่หรงเซียวเหยาเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตกใจ เมื่อพินิจคนในอ้อมแขนอย่างชัดเจน แม้ใจอยากจะเอ่ยด่าสักหลายประโยค ก็คิดหาคำด่าไม่ออกแล้ว

โทสะที่มี ล้วนถูกกลืนลงท้องไปจนสิ้น!

วันนี้เขาช่างดวงซวยจริง ๆ !

 

ได้ยินน้ำเสียงทุ้มดังขึ้นด้านบนศีรษะ เถียนเมี่ยวถิงจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียงและอ้อมแขนแกร่งนี้ ฉับพลันเถียนเมี่ยวถิงก็ถลึงตาโตอย่างตะลึงลาน

“หล่อมากแม่” หญิงสาวเผลอเอ่ยความคิดภายในใจของตนออกมาอย่างไม่อาจห้าม ความกลัวที่เคยมีก่อนหน้านี้ มิรู้ว่าหดหายไปที่ใดแล้ว

ว่าแต่นางยังแสร้งทำเป็นอ่อนแอต่อได้หรือไม่?

มู่หรงเซียวเหยาหาได้สนใจคำเอ่ยใด ๆ ของสตรีในอ้อมแขน เขาคลายอ้อมแขนออกจากร่างของนาง หลังเห็นว่าคนสามารถยืนโดยไม่ซวนเซแล้ว ก่อนจะถอดอาภรณ์ตัวนอกของตนเองออกเพื่อใช้คลุมศีรษะของสตรีตรงหน้า พลางลอบบ่นด้วยความหงุดหงิดภายในใจว่า นางยังไม่รู้ตัวใช่หรือไม่ว่าตนเองได้สยายผมต่อหน้าบุรุษที่มิใช่สามี หากยังไม่ออกเรือนแล้วจะมีบุรุษใดยินดีแต่งกับนางอีกกัน!

แม้มู่หรงเซียวเหยาจะโมโหที่ถูกขวางทางในขณะที่ตนกำลังเร่งรีบไปราชการต่างเมือง แต่ยามนี้เขากลับรู้สึกโมโหสตรีตรงหน้ามากกว่า ช่างมิรู้จักรักษาตนเองให้ดีเลยสักนิด นางเป็นดรุณีน้อยจวนใดกัน ช่างน่าจับมาตีก้นลงโทษเสียเหลือเกิน!

 

เห็นคนตัวเล็กยังคงเหม่อลอยคล้ายคนไร้สติ มู่หรงเซียวเหยาจึงกระแอมไอ ก่อนจะเอ่ยกับนางว่า

“แม่นาง เรื่องในวันนี้ข้าจะรับผิดชอบต่อท่านอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ข้ามีกิจสำคัญที่จะต้องเดินทางอย่างเร่งด่วน ไม่ทราบว่าท่านพอจะบอกชื่อแซ่ของท่านแก่ข้าได้หรือไม่”

“ขะ ข้าแซ่ะเถียน นามเมี่ยวถิงเจ้าค่ะ” เถียนเมี่ยวถิงตอบออกไปทั้งที่สายตามิได้ละออกจากใบหน้าคมของเขาแม้แต่น้อย เขาช่างหล่อเหลามากจริง ๆ

เมื่อถูกจ้องจากสตรีอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ มู่หรงเซียวเหยาก็รู้สึกเก้อกระดาษอยู่บ้าง

“อืม... คุณหนูเถียน พอเสร็จจากกิจราชการในวันนี้แล้ว ข้าผู้แซ่มู่หรงจะไปขอโทษท่านถึงจวนสกุลเถียนอย่างแน่นอน” เขาเอ่ยพลางยื่นมือมากระชับอาภรณ์ที่คุมศีรษะให้นางอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่านางจะไม่ยืนซื่อบื้ออยู่ตรงนี้จนทำเสื้อหลุดออกไป จนปล่อยผมสยายต่อหน้าบุรุษอื่นอีกเป็นครั้งที่สองดอกหนา

‘บรรพบุรุษน้อย ช่างเป็นตัวโง่งมเสียจริง’ แม้จะคิดเช่นนั้น แต่มุมปากของมู่หรงเซียวเหยากลับยกยิ้มอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นบนหลังม้า ออกเดินทางต่อในทันที

เถียนเมี่ยวถิงพยักหน้ารับคำราวไก่จิกข้าวสาร เมื่อครู่นี้เขาบอกว่าจะไปหานางที่จวนด้วยแหละ เขากำลังตกหลุมความงดงามของนางใช่หรือไม่ หญิงสาวคิดเข้าข้างตัวเองอย่างโง่งม จนอีกคนควบม้าหายไปจากสายตา เถียนเมี่ยวถิงก็ยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ที่เก่า

 

 

เห็นผู้เป็นนายยังไม่ขยับกาย ซินฉายก็ให้ร้อนรนอยู่เล็กน้อย

“คุณหนู คุณหนู ท่านเจ็บที่ใดหรือไม่เจ้าคะ”

“อะ เอ่อ ไม่ ๆ” เถียนเมี่ยวถิงตอบสาวใช้คนสนิทออกไป เมื่อสติของนางกลับมาบ้างแล้ว

“ซินฉาย ซินฉาย เมื่อครู่นี้เขาบอกว่าเขาแซ่อะไรนะ”

“แซ่มู่หรงเจ้าค่ะ”

“ระ หรือว่าเขาคือมู่หรงเซียวเหยา บุรุษที่มีข่าวลือว่าเป็นต้วนซิ่วผู้นั้นกัน”

“เจ้าค่ะ คนผู้นั้นคือท่านเสนาบดีกรมการคลังคนปัจจุบัน นามว่า มู่หรงเซียวเหยา”

“ไม่ว่าเขาจะเป็นต้วนซิ่วจริงหรือไม่ หากหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ข้าก็ยินดีแต่ง” เถียนเมี่ยวถิงยังคงรู้สึกคล้ายตกอยู่ในภวังค์

“คุณหนูท่านเป็นสตรี” ซินฉายเตือน

“เป็นสตรีแล้วขอบุรุษแต่งงานบ้างมิได้หรือ”

“มันไม่งามเจ้าค่ะ”

“ข้างาม” หญิงสาวเอ่ยเถียง แล้วเชิดหน้าเดิน โดยไม่สนใจคนสนิทอีก

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ”

 

 

 

 


[1] ต้วนซิ่ว 斷袖 แปลกตรงตัวได้ว่า ตัดแขนเสื้อ มาจากสำนวนจีน ต้วนซิ่วจือผี่ (斷袖之癖) แปลว่า พิศวาสจนตัดแขนเสื้อ ซึ่งมีความหมายเปรียบเปรยถึงคนรักร่วมเพศ ส่วนมากใช้กับบุรุษที่รักชอบไม้ป่าเดียวกัน หรือ ชายรักชาย

 

 

 

########

น้องเมี่ยวจะจีบอิพี่ไม่ได้นะคะ  ยุคนี้น้องแต่งผู้ชายไม่ได้ค่ะลูก!!

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า