Your Wishlist

ทางใครทางมัน! เราหย่ากันแล้ว! [สามบุพเพสกุลซือ] (7:หากข้าเป็นนางมาร)

Author: หานยวี่

#จบแล้วจ้า ข้าจะไม่คิดแค้น...ข้าจะไม่โกรธเคือง..สิ่งที่ท่านทำ ข้าจะไม่เก็บมาเป็นเพลิงสุมใจ ขอให้ระหว่างเรา 'ท่าน' กับ 'ข้า' เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันนับจากนี้...และตลอดไป...

จำนวนตอน : N/A

7:หากข้าเป็นนางมาร

  • 18/04/2564

7

หากข้าเป็นนางมาร

 

“ข้ากำลังจะยกของหวานออกไปให้คุณหนูอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ”

เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องครัวก็เจอชิงปี้ที่กำลังจะยกจานที่มีฝาเหล็กปิดไว้ในมือออกมาพอดี ทำให้เซียวหลินหลิงออกอาการเซ็งเล็กน้อย 

ชิงปี้! ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าอยากเป็นคนทำทุกขั้นตอนด้วยตนเอง ตั้งแต่การเตรียมจาน!

ช่างเถิด... ดีเหมือนกัน คนผู้นั้นจะได้รีบกินแล้วกลับเรือนไปเร็วๆ 

“เอ่อ... แต่ว่าข้าลืมไปว่าคุณหนูบอกว่าอยากทำเองทั้งหมด... ขออภัยเจ้าค่ะ”

ชิงปี้กล่าวหลังจากเพิ่งนึกได้ พร้อมกับค้อมหัวแล้วส่งจานให้เซียวหลิน หลิง ร่างบางรับมาแล้วเอ่ยว่า

“มิเป็นไร ขอบใจเจ้ามาก เจ้าก็เข้ามานั่งด้วยกันกับข้าเถิด”

...จะดีหรือเจ้าคะ บ่าวมิอยากไปรบกวนคุณหนูกับคุณชายสาม”

“ดีสิ”

ข้าก็ไม่อยากอยู่กับบุรุษผู้นั้นตามลำพังหรอก เกรงว่าเขาจะทำอะไรแปลกๆ ให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีก เดี๋ยวกลับไปจวนสกุลเซียวแล้วจะลืมยาก

“เจ้าค่ะ” จากนั้นเซียวหลินหลิงก็เดินนำชิงปี้ออกมาแล้ววางจานขนมลงบนโต๊ะไม้เหลี่ยมที่ตนและซือหยวนซานั่งในตอนแรก

“ของหวานเจ้าค่ะ...” ร่างบางพูด ก่อนที่มือเรียวจะยกฝาเหล็กออก เผยให้เห็นถึงขนมสีขาวพิสุทธิ์ที่ส่องประกายวิบวับยามกระทบกับแสงและมีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดยิ่ง

ทั้งยังมีความสูงที่ผิดไปจากขนมทั่วไปอีกต่างหาก

ข้างๆ ขนมมีช้อนทองเหลืองเล็กๆ วางอยู่หนึ่งคัน

เอ... ดูไปดูมาก็คล้ายกับเนินเขาลูกหนึ่ง... คุ้นๆ แต่นึกมิออกว่าเคยเห็นที่ใด

ซือหยวนซาคิดในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป

“นี่คือยามเมื่อหิมะโปรยปรายเจ้าค่ะ” เซียวหลินหลิงเอ่ยแนะนำชื่อขนม

“คุณหนูตั้งใจทำเป็นพิเศษเลยนะเจ้าคะ เพื่อคุณชายสามโดยเฉพาะ” ชิงปี้ที่นั่งอยู่บนพื้นเปรยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นสายตาคาดโทษของคุณหนูก็รีบหุบยิ้มทันที

“อืม... ต้องพิเศษมากแน่ๆ” ซือหยวนซาเอ่ยเสียงเบา

“คุณหนูเซียวเจ้าคะ! ฮูหยินให้เรียกหาเจ้าค่ะ” มิทันที่จะได้เห็นร่างสูงตักขนมของนางเข้าปาก ร่างบางก็ได้ยินเสียงที่มิคิดว่าจะได้ยินในยามนี้ดังมาจากนอกเรือน

เซียวหลินหลิงกับชิงปี้จึงรีบลุกออกไปดูก็พบกับ ‘รั่วเหวิน’ คนรับใช้เก่าแก่จากเรือนเหลียนฮวายืนอยู่ เมื่ออีกฝ่ายเห็นหน้าเซียวหลินหลิงก็โค้งหัวให้แบบขอไปที จากนั้นจึงเอ่ยว่า

“พอดีว่าคืนนี้ฮูหยินอยากจะขอตัวของแม่นางชิงปี้ไปคอยปรนนิบัติที่เรือนเหลียนฮวาน่ะเจ้าค่ะ มิทราบว่าคุณหนูเซียวจะอนุญาตหรือไม่?”

คำพูดของรั่วเหวินทำให้ชิงปี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ส่วนเซียวหลิน หลิงนิ่งไปสักพักก่อนตอบว่า

“ได้สิเจ้าคะ”

นางมีสิทธิ์ตอบว่ามิได้ด้วยหรือ...

อย่างที่นางเคยพูดไป... ดูแล้วผู้เป็นแม่สามีจะชมชอบคนใช้ของนางมากกว่านางเสียอีก!

“เช่นนั้นก็ไปกันเถิดชิงปี้ ฮูหยินรอเจ้าอยู่” รั่วเหวินพูดกับชิงปี้ที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างเจ้านาย เจ้าของชื่อมีท่าทีลังเลราวกับไม่อยากไป ก่อนที่ครู่หนึ่งจะปรับท่าทางกลับมาเป็นปกติ

“เจ้าค่ะ พอดีเมื่อครู่ข้าเผลอเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง ขออภัยคุณหนูกับท่านป้ารั่วเหวินด้วยนะเจ้าคะ” แล้วก็หันมาเอ่ยกับเซียวหลินหลิงว่า

“ดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะคุณหนู ข้าขออภัยที่คืนนี้มิอาจอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูได้”

“มิเป็นไร... ข้าอยู่ได้... เจ้าไปเถิด...” ร่างบางเอ่ยเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายกังวล เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินลับไปแล้วก็หมุนตัวกลับเข้าไปในเรือน...

ก็พบว่าซือหยวนซายังไม่ทันได้แตะต้องยามเมื่อหิมะโปรยปรายบนโต๊ะแต่อย่างใด

“ข้ารอกินต่อหน้าเจ้า” ซือหยวนซาเอ่ยแล้วยิ้มน้อยๆ

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” ร่างบางตอบกลับเสียงเรียบ มิได้แสดงอาการดีใจที่อีกฝ่ายยิ้มให้แต่อย่างใด แม้จะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ตรงข้ามกับใจของนางที่แทบจะละลายอยู่แล้ว

หากเจ้าตัดใจจากข้าได้แล้วจริงๆ มันก็ดี...

ซือหยวนซาที่ลอบสังเกตอาการของอีกฝ่ายคิด ก่อนใช้ช้อนตักขนมคำแรกขึ้นมา แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าภายใต้แป้งสีขาวนั้นยังมีแป้งสีน้ำตาลซ่อนอยู่ข้างใน

...ทว่าทันทีที่ลิ้นของเขาสัมผัสกับขนมก็แทบอยากจะคายทิ้งออกมาทันที รสชาติหวานเลี่ยน ทว่าขณะเดียวกันกลับขมเฝื่อนนี่มันอะไรกัน แต่ร่างสูงก็ยังสะกดกลั้นอาการเหล่านั้นไว้ได้ เพราะไม่อยากให้นางเสียกำลังใจ

ฝีมือการทำของคาวก็ดีอยู่หรอก... ไยถึงทำของหวานได้...

เอ่อ... ข้าไม่พูดดีกว่า

จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินต่อไปเพราะทดสอบแล้วไม่พบพิษแสดงว่ากินได้ไม่ตาย สมุนไพรต้านยาปลุกกำหนัดและยาถ่ายก็กินมาแล้ว มิมีอันใดต้องระแวงมากมาย

เซียวหลินหลิงนั่งมองยามเมื่อหิมะโปรยปรายที่ตอนนี้ยอดเนินเขาถูกกินมาเรื่อยๆ จนเกือบถึงครึ่งหนึ่งแล้วคิดในใจ

เมื่อท่านเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้เนินเขาลูกนั้น... แม้ท่านมิรักข้า

แต่พนันได้เลยว่าชั่วชีวิตของท่านจะไม่มีวันลืมข้าลง...

แกร๊ง~

ทว่าอยู่ๆ ช้อนทองเหลืองก็ร่วงจากมือของซือหยวนซาลงไปที่พื้น ก่อนที่แววตาของร่างสูงจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“คุณชายสาม!!” เซียวหลินหลิงร้องด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ บุรุษตรงหน้าก็พุ่งเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว แล้วคว้าร่างของนางมากอดไว้แน่น พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนร่างบางสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของอีกฝ่ายที่เป่ารดหน้าของตน

“อื้อ...”

วินาทีที่ริมฝีปากสีแดงได้รูปจะประทับลงมาที่ใบหน้าหวาน เซียวหลิน หลิงก็รีบยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากอีกฝ่ายไว้

บัดนี้เซียวหลินหลิงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น!

นี่ไม่ใช่ซือหยวนซา!! ...ไม่ใช่ซือหยวนซาที่นางรู้จัก

แต่... เป็นไปได้อย่างไรกัน!? สิ่งนั้นมาจากที่ใด!?

ไม่ใช่จากนางแน่ๆ เพราะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรนางก็มิคิดจะใช้มัน!

ช้าก่อน! ตอนนี้นางต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ก่อน แล้วค่อยคิดหาสาเหตุ มิเช่นนั้นเขาจะต้องหาว่าเป็นฝีมือนางแน่ๆ

“จุ้นเผิง!!!” ร่างบางตะโกนเรียกบ่าวชายของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจุ้นเผิงจะยังไม่กลับมา... ซ้ำเรือนของนางยังตั้งอยู่ท้ายจวนห่างไกลจากชาวบ้านชาวช่องเสียด้วย

มารดามันเถอะ!

“คุณชายสาม ท่านเกลียดข้านะเจ้าคะ เกลียดจนไม่อยากเฉียดเข้ามาใกล้แม้แต่ปลายเล็บด้วยซ้ำ ท่านลืมแล้วหรือ!?” เซียวหลินหลิงพยายามพูดเตือนสติ

“งั้นหรือ!?”

ซือหยวนซาเอ่ยพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะดันร่างของนางลงไปนอนหงายที่พื้นแล้วล้มตัวลงคร่อมอยู่ด้านบน เมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาจากร่างบางก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชวนหลงใหล

“ไยข้ามิเคยรู้มาก่อนว่าตัวของเจ้า... หอมขนาดนี้”

เซียวหลินหลิงพยายามใช้ทั้งมือและเท้าดันร่างของอีกฝ่ายออกไป แต่ก็ถูกฝ่ามือหนารวบข้อมือทั้งสองข้างของนางไว้อย่างง่ายดาย ก่อนที่บุรุษตรงหน้าจะประทับริมฝีปากลงมาอีกรอบ แต่นางเบี่ยงหน้าหลบทำให้สันจมูกโด่งของซือ หยวนซาฝังลงไปที่ซอกคอขาวแทน มืออีกข้างหนึ่งก็เริ่มยุ่มย่ามไปทั่วเรือนร่างของนาง พร้อมกับพยายามดึงสาบเสื้อของนางออก

สัมผัสวาบหวามที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ทำให้เซียวหลินหลิงถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว

แม้ใจจะนึกเคลิ้มกับการกระทำของเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้เริ่มขึ้นสีกับนัยน์ตาเรียวสีนิลทรงเสน่ห์ตรงหน้า แต่มิว่าอย่างไรนางก็ไม่ยอมง่ายๆ หรอก

ข้าจะยอมก็ต่อเมื่อท่านเต็มใจเท่านั้น! มิใช่แบบนี้!

โอกาสของท่านหมดไปตั้งแต่ตอนที่ข้ายื่นหนังสือหย่าให้ท่านแล้ว!

คิดได้ดังนั้นเซียวหลินหลิงจึงรวบรวมแรงทั้งหมดกระชากมือตนเองออกมาจนหลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แล้วรีบใช้มือข้างนั้นควานไปตามพื้นเผื่อจะเจออะไรสักอย่างที่พอจะช่วยนางได้

ในที่สุดก็คว้าได้ช้อนทองเหลืองที่ซือหยวนซาทำตกเมื่อครู่

ปึก! ช้อนทองเหลืองถูกฟาดลงกลางหัวของซือหยวนซาอย่างแรง

“คุณชายสาม!! ตั้งสติเจ้าค่ะ!!” เมื่อเห็นคนตรงหน้ายังไม่หาย

ปึกๆๆ

นางก็ฟาดลงไปอีกสองสามครั้ง

เบื้องบนโปรดอภัยให้ข้าด้วยหากคุณชายสามผู้นี้สมองฝ่อ ข้าน้อยเซียวหลินหลิงเพียงป้องกันตัวเท่านั้น มิได้มีเจตนาอยากทำร้ายอีกฝ่ายแต่อย่างใด

“จำได้หรือไม่เจ้าคะ!? ข้าคือนางมารจอมสร้างภาพลวงโลก เสแสร้งทำมารยา โหดร้าย หน้าด้านไร้ยางอาย ท่านเกลียดข้ายิ่งกว่า... หนอนที่ขึ้นอยู่บนโครงกระดูกในสุสานนะเจ้าคะ!!!!”

อา... นี่ข้าด่าตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

……” ซือหยวนซานิ่งไปสักพักคล้ายคนสะลึมสะลือ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ร่างสูงรีบคลานออกจากตัวนางอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกมึนหัวและหมดแรง

อา... ขนาดฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดยังพ่ายต่อความเกลียดชังที่ท่านมีให้ข้าเลย...

ส่วนเซียวหลินหลิง หลังจากเป็นอิสระก็รีบถอยไปอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง จัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่เข้าทางแล้วหันไปเอ่ยกับคนที่กำลังหอบด้วยความเหนื่อย

“ตั้งสติ... หายใจเข้าออกลึกๆ นะเจ้าคะ จะได้ดีขึ้น”

“จ... เจ้า!!” ซือหยวนซาเค้นเสียงออกมาพร้อมกับยกนิ้วชี้ไปที่ใบหน้างาม

“ข้ากล้าสาบานต่อหน้าฟ้าดิน! ไม่ใช่ฝีมือข้านะเจ้าคะ!” เซียวหลินหลิงชิงปฏิเสธ นางขัดขืนขนาดนั้น ยังคิดว่านางเป็นคนทำอีกหรือ!?

สมองมีก็ใช้ตรองเสีย... ถ้านางทำจริงต้องยินดีปรีดาร่วมอภิรมย์ด้วยแล้ว!

“หึ!” ซือหยวนซายิ้มหยัน ด้วยไม่เชื่อที่อีกฝ่ายพูดแม้แต่น้อย

สุดท้ายเขาก็หลงกลนางอีกจนได้... สมกับเป็นนางมารจริงๆ สามารถใช้ยาที่ทำให้ยาต้านของเขาสลายไปได้ ที่โบราณกล่าวไว้ว่านิสัยเปลี่ยนได้ แต่สันดานเปลี่ยนไม่ได้ เขาแจ้งกับตัวแล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สันดานน่ารังเกียจของนางก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม!

“คำสาบานของเจ้าหาเคยใช้ได้ไม่ ข้าพลาดเองที่เผลอนึกเมตตาเจ้า”    ซือหยวนซาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง แววตาฉายความเย็นชาและชิงชังออกมาอย่างชัดเจนกว่าเมื่อก่อนถึงหลายส่วน ร่างบางอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยวาจาโต้ตอบ

“หากข้าเป็นคนวางยาท่านจริง มีหรือจะผลักไสท่าน!?”

“เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องที่ข้าได้รับยาอย่างไรกัน!?”

“ข้ามิใช่คนวางยาท่าน ข้าจะไปตอบได้ฤา ไหนๆ ข้าก็ตัดสินใจลงนามหย่าให้แล้ว จะต้องการมีสัมพันธ์กับท่านไปด้วยเหตุอันใดอีก”

“เจ้าแจ้งเหตุผลนั้นอยู่แก่ใจ ยังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ สามปีก่อนเจ้าทำไปแล้วครั้งนึง ไยเจ้าจะมิกล้าทำอีก...” แล้วซือหยวนซาก็พูดต่อ

“ครานี้เจ้ามิได้วางยาเพื่อให้ข้าร่วมหลับนอน แต่เจ้าอยากเห็นข้านั่งทรมานเช่นนี้ใช่หรือไม่!?”

เพ่ย!!! ไปกันใหญ่แล้ว ความคิดสร้างสรรค์สมกับเป็นจิตรกรจริงๆ ขนาดข้ายังคิดมิได้ถึงขั้นนี้เลย นับถือๆ

อีกอย่าง... เมื่อสามปีก่อนข้าไม่ได้ใช้ยาปลุกกำหนัดกับท่านเสียหน่อย

แค่ยานอนหลับในสุรา!

“แล้วไยท่านคิดว่าคนที่เคยทำผิดจะกลับตัวกลับใจมิได้!?”

“ข้ามิเคยคิดเช่นนั้น จนกระทั่งมาเจอเจ้า... ผู้ที่เสแสร้งได้เก่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาในชีวิต ทั้งชำนาญการเล่นงิ้วจนแม้แต่นางต๋าจี[1]ยังอาย”

“ข้าก็บอกว่าข้า...”

“หยุด!! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น!! ข้าไม่อยากฟังคำโกหกจากเจ้าอีกแล้ว!!” ซือหยวนซาตะโกนเสียงดังด้วยความเกรี้ยวกราด ก่อนหอบเสียงดังอย่างแรง    บ่งบอกถึงความทรมานได้เป็นอย่างดี

“แฮกๆ สมใจเจ้าแล้วใช่หรือไม่ เชิญดูสภาพของข้าให้เต็มตา ถือเสียว่าเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเจ้า!”

ยาปลุกกำหนัดที่กำลังตีกับสมุนไพรต้านในยามนี้ทำให้ร่างกายของเขารวนไปหมด และสภาพของเขาก็แย่ยิ่งกว่าตอนแรกเสียอีก!

“คำก็ว่าโกหก! สองคำก็ว่าเสแสร้ง! คุณชายสาม... ท่านเคยลองวางอคติแล้วเปิดใจมองข้าในด้านดีบ้างหรือไม่เจ้าคะ!? เวลาเกิดเรื่องต่างๆ ท่านเคยฟังความข้างข้าบ้างหรือไม่!? ข้ามิเคยคิดเลยว่าความผิดพลั้งของข้าแค่ครั้งเดียว จะทำให้ท่านผู้มีสติปัญญาและจิตใจอ่อนโยนกลายเป็นคนหูเบาได้ถึงเพียงนี้”

เซียวหลินหลิงตะโกนกลับไปอย่างตัดพ้อ นัยน์ตาคู่สวยเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าออกมา มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น พร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดที่อกซ้ายราวกับมีอะไรมาบีบรัดหัวใจ

ทั้งที่อีกไม่นานข้าก็จะไปจากที่นี่อยู่แล้ว... ข้าหวังเพียงอยากสร้างความทรงจำดีๆ ให้ตนเองเป็นครั้งสุดท้าย... แต่ทุกอย่างกลับเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม...

ทำไมกัน!? ข้าไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเลยหรือ!?

“ยังจะบีบน้ำตาอีกหรือ!? เลิกเล่นละครเสียที ข้าจับทางนางมารเช่นเจ้าได้หมดแล้ว...”

ปึก! ช้อนทองเหลืองในมือเซียวหลินหลิงถูกเหวี่ยงออกไปกระแทกอกของซือหยวนซาทำให้เขารู้สึกจุกจนพูดไม่ออก

“หากข้าเป็นนางมาร สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือใช้อิทธิฤทธิ์บันดาลให้ท่านหลงรักหัวปักหัวปำ ไม่มาเสียเวลาหน้าด้านอยู่รับคำด่าที่นี่ถึงสามปีหรอกเจ้าค่ะ!”

แล้วเซียวหลินหลิงก็พูดต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้ซือหยวนซาเลยแม้แต่น้อย

“ข้าจะออกไปให้พ้นจากระยะสายตาของท่าน ดีขึ้นเมื่อไรก็รีบกลับเรือนไปเสีย! คืนนี้ข้าจะเร่งเก็บของให้เสร็จแล้วไปจากที่นี่วันพรุ่งนี้เลย อย่าลืมเตรียมรถกับคนให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ”

ปัง!

ร่างบางเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูเสียงดังใส่ ทิ้งให้อีกฝ่ายอยู่ในเรือนคนเดียว

 

 

[1] นางต๋าจี = สาวงามผู้หนึ่งที่ถูกวิญญาณของจิ้งจอกเก้าหางสิงร่าง เพื่อมาจัดการพระเจ้าอินโจวที่ทำการลบหลู่เจ้าแม่หนี่หวา ด้วยการใช้รูปร่างหน้าตามารยายั่วยวนให้พระเจ้าอินโจวลุ่มหลงจนไม่เป็นอันทำการทำงาน บ้านเมืองระส่ำระส่าย ท้ายที่สุดก็ทำให้ราชวงศ์ชางล่มสลาย (เหมือนซือหยวนซาต้องการด่านางเอกว่ายั่วยวนเสแสร้งเก่งเกินหน้าเกินตานางต๋าจี แต่ถูกเขาจับไต๋ได้ ไม่ตกหลุมพรางเหมือนพระเจ้าอินโจว กระนั้นเซียวหลินหลิงก็ยังดันทุรังทำต่อไป)

 

 

Writer: Fc.หลินหลิง น้องเก่งมากลูก สตรองไว้ๆ 

ละอิตาสามทำเป็นมาโบ้ยให้น้อง ไม่ใช่ว่าจุ้นเผิงมันซื้อมาผิด จากสมุนไพรต้านย้าปลุกกำหนัดเป็นยาปลุกกำหนัดเพรียวๆ จากนั้นเอ็งก็เซ่อกินเข้าไปเองหรอกเรอะ! ดูด่าน้อง... น่าจับฟาดด้วยไม้แขวนเสื้อจริงๆ แล้วเหล่ารีดเดอร์ทั้งหลายคิดเห็นกันอย่างไรบ้างคะ

ปล.บรรยายฉากประมาณนี้ไม่ค่อยเก่ง แต่จะพัฒนาต่อไปนะคะ TwT

ร่วมพูดคุยกันได้ที่ Han Yu หานยวี่ น้า ระหว่างนี้ขอฝากนิยายแนวกำลังภายในไว้ให้ไปอ่านเล่นกันพลางๆ เน้อ ยุทธภพไร้ใจ แต่ตัวข้าไม่ไร้รัก (ตอนนี้ก็กำลังเพิ่มเติมเนื้อหาอยู่)

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป