#จบแล้วจ้า ข้าจะไม่คิดแค้น...ข้าจะไม่โกรธเคือง..สิ่งที่ท่านทำ ข้าจะไม่เก็บมาเป็นเพลิงสุมใจ ขอให้ระหว่างเรา 'ท่าน' กับ 'ข้า' เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันนับจากนี้...และตลอดไป...
#จบแล้วจ้า ข้าจะไม่คิดแค้น...ข้าจะไม่โกรธเคือง..สิ่งที่ท่านทำ ข้าจะไม่เก็บมาเป็นเพลิงสุมใจ ขอให้ระหว่างเรา 'ท่าน' กับ 'ข้า' เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันนับจากนี้...และตลอดไป...
4
ยามมีอยู่ไร้อาวรณ์
“คารวะท่านแม่ขอรับ” ซือหยวนซาเอ่ยพลางย่อตัวทำความเคารพสตรีวัยกลางคนตรงหน้า ที่แม้จะอายุเลยเลขห้าไปแล้ว แต่ยังคงมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับบุปผาแรกแย้ม
“มานั่งนี่สิอาซา แม่มีเรื่องจะคุยด้วย” ซือฮูหยินหรือชื่อจริงก็คือ ซือเหลียนฮวา สกุลเดิมคือสกุลฉู่[1]กล่าว
“ขอรับ” ร่างสูงรับคำ แล้วตรงเข้าไปนั่งข้างๆ ผู้เป็นมารดา
“ที่ว่านางยอมลงนามในหนังสือหย่าให้เจ้า... เป็นความจริงหรือ!?” ซือเหลียนฮวาถามด้วยความประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านั้นไม่ว่าบุตรชายคนสุดท้องจะใช้วิธีไหน เซียวหลินหลิงก็ไม่ยอมแม้แต่จะยื่นมือมารับหนังสือหย่าด้วยซ้ำ!
“จริงแท้แน่นอนขอรับท่านแม่” ซือหยวนซาตอบ
“ดียิ่ง! แล้วนี่นางจะไปจากจวนเราวันพรุ่งนี้เลยหรือไม่?” ซือเหลียนฮวาถามต่อพลางยิ้มด้วยความดีใจอย่างไม่ปิดบัง แต่พอเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าก็หุบยิ้มทันที
“นางบอกว่าขอเวลาอยู่ที่นี่อีกเพียงสองราตรีเพื่อเก็บของ... และเมื่อครบกำหนด ข้าก็จะจัดคนไปส่งนางกลับจวนขอรับ...”
“อืม... อาซา...”
“ขอรับท่านแม่”
“แล้วหนังสือหย่าเจ้าได้เอาไปแจ้งแก่ทางการหรือยัง?”
“ข้ายังมิได้ไปดำเนินการขอรับ” สิ้นคำพูดของอีกฝ่าย ซือเหลียนฮวาก็จ้องหน้าซือหยวนซา ก่อนถามด้วยแววตาคาดคั้นว่า
“เจ้ายังมิได้คิดอะไรกับนาง... ใช่หรือไม่?”
“ไม่มีทางขอรับท่านแม่!” ซือหยวนซารีบปฏิเสธทันที แล้วถามต่อ
“ไยท่านแม่สงสัยเช่นนั้นขอรับ!? ลูกไม่มีทางคิดแน่นอน...”
“แม่เพียงแค่กลัวเจ้าจะใจอ่อนให้กับการกระทำของนาง”
จะไม่ให้นางคิดอย่างนั้นได้เช่นไร ถึงนางจะไม่ชอบสะใภ้คนนี้ แต่ ซือเหลียนฮวาก็ยอมรับว่าเซียวหลินหลิงมีใบหน้าที่งดงามหมดจด ทั้งได้ข่าวว่าตลอดสามปีพยายามใช้กลยุทธ์ต่างๆ รบเร้าขอความรักจากซือหยวนซาอยู่ทุกวัน และอาซาของตนก็เป็นคนขี้สงสารเสียด้วย
ซือเหลียนฮวาจึงกลัวว่าร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ จะเกิดใจอ่อนไม่อยากหย่าขึ้นมา
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีทางลืมเรื่องต่ำช้าที่นางทำกับข้าได้หรอกขอรับ”
และไม่มีวันด้วย! ซือหยวนซาตะโกนเสียงดังในใจ
“อืม... แม่เข้าใจ” ซือเหลียนฮวาเอ่ยพร้อมกับใช้มือลูบหัวบุตรชายที่เอนตัวลงมานอนตักนางราวกับเป็นเด็กน้อยเบาๆ
และอีกใจแม่ก็ดีใจที่เจ้าไม่ได้หมั้นกับสตรีนางนั้น... ซือเหลียนฮวาคิดในใจ
ก็มิรู้ว่าซือหยวนซาไปหลงรักเกาเชียนจือ สตรีที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ขนาดนั้นได้อย่างไร ครั้นจะห้ามคงมิฟัง เพราะความรักบังตา
โชคดีเหลือเกินที่เมื่อสามปีก่อนเซียวหลินหลิงดำเนินแผนตัดหน้าทั้งสองคน ซึ่งเพิ่งกำหนดวันหมั้นกันในอาทิตย์หน้า ด้วยหากปล่อยให้หมั้นกันไปแล้วคิดถอนภายหลัง ก็คงลำบากน่าดู...
อย่างไรก็ตาม... ซือเหลียนฮวาไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่เซียวหลินหลิงใช้วิธีสกปรกรวบหัวรวบหางบุตรชายของตน ทั้งที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจและยังเป็นการทำผิดธรรมเนียมอีก!
นางยังไม่ทันจะได้มีสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รอง ก็มีสะใภ้สามเข้ามาอยู่ในจวนเสียแล้ว... แถมพ่วงมาด้วยความร้ายกาจและเสแสร้งที่ทำให้หลายๆ คนสุดระอา...
บางทีซือเหลียนฮวาก็นึกสงสัยว่าสตรีผู้นั้นไปกินดีหมีมาหรือว่าอย่างไร!? ไยจึงกล้าทำเช่นนี้
นางแทบมิอยากจะเชื่อว่าย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน ตนเองเคยรู้จักและเคยรับเด็กน้อยคนนี้เข้ามาอยู่ในจวน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงอาทิตย์ ตอนนั้นเซียวหลินหลิงเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ซ้ำยังเข้ากับบุตรชายทั้งสามได้เป็นอย่างดี
แต่ใครเล่าจะคิดว่าดรุณีน้อยผู้น่ารักในวันนั้นจะเติบโตมาเป็นสตรีเจ้ามารยาในวันนี้!
ซือเหลียนฮวาและทุกคนในจวนสกุลซือจึงมึนตึงใส่ ด้วยหวังว่าจะทำให้นางสำนึกในความผิดของตนแล้วลงนามหย่า กลับจวนสกุลเก่าไปแต่โดยดี
ทว่า... ดูเหมือนเซียวหลินหลิงหาคิดได้ไม่ ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในจวนสกุล ซือตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่เรียกหน้าด้านแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร!?
ครั้นจะใช้กฎ 7 ขับไล่[2]ให้นางออกไป นางก็ไม่ได้ทำผิดสักข้อ... พวกเขาจึงทำได้เพียงอดทน
หากมิติดว่าท่านพี่เกิดเมตตาเซียวหลินหลิงขึ้นมา ก็อย่าหวังเลยว่านางจะยอมรับการคารวะจากสตรีพรรค์นี้ ในสายตาของนาง ชิงปี้ที่เป็นสาวใช้ยังน่าเอ็นดูกว่าด้วยซ้ำ
พลันซือหยวนซาก็เปรยขึ้นมาว่า
“ที่ข้าวางแผนว่าจะเอาหนังสือหย่าไปแจ้งหลังส่งนางกลับถึงจวนสกุลเซียว เพราะข้ายังมิใคร่เชื่อนักขอรับ มิใคร่เชื่อว่านางยอมหย่ากับข้าด้วยความเต็มใจ... นางอาจจะวางแผนอะไรไว้ก็ได้ ท่านแม่ก็รู้ว่านางน่ะร้ายกาจขนาดไหน”
ท้ายประโยคน้ำเสียงของซือหยวนซาดูอ่อนลงคล้ายลังเลในความคิดของตน...
“ถูกของเจ้า...” ซือเหลียนฮวาเอ่ย จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก
“แม่สบายใจขึ้นแล้วล่ะ เจ้ามีงานอะไรก็ไปทำเถิด”
“ขอรับ เช่นนั้นข้าขอกลับไปวาดภาพต่อก่อนนะขอรับ” ซือหยวนซาเอ่ยก่อนลุกขึ้นทำความเคารพผู้เป็นมารดาแล้วเดินออกไป
หลังบุตรชายคนสุดท้องออกไปแล้ว ซือเหลียนฮวาที่นั่งอยู่คนเดียวก็ยิ้มออกมา ด้วยนางเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องดีเกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง...
เพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เกาเชียนจือ คนรักเก่าของบุตรชายนั้นเพิ่งแต่งไปเป็นอนุสิบสี่ของสือหลี่ม่อ ดังนั้นเมื่อเซียวหลินหลิงหย่ากับซือหยวนซาแล้ว...
นางก็ไม่ต้องมานั่งกังวลใจว่าบุตรชายของนางจะหวนกลับไปหาเกาเชียนจือ...
หรือต่อให้อยากหวนกลับไปก็มิอาจทำได้...
เซียวหลินหลิง ขอบใจมากที่เจ้าเพิ่งยอมลงนามหย่าให้วันนี้
หลังจากซือหยวนซาและพวกข้าเฝ้ารอมาถึงสามปี...
---------------------------------------------------------------------
“คารวะคุณชายสามขอรับ” ขณะที่ซือหยวนซากำลังจะเดินเข้าไปในเรือนของตน ก็พบกับ ‘จิ้งเกา’ บ่าวประจำตัวของซือหยินซูรอพบเขาอยู่
“มีอะไรหรือจิ้งเกา?”
“คุณชายรองฝากสิ่งนี้มาให้ขอรับ” จิ้งเกาเอ่ยก่อนจะยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลที่ถูกปิดผนึก และหน้าซองเขียนไว้ด้วยลายมือที่คุ้นเคยว่า ‘จากพี่รอง ถึงน้องสาม’ ให้ผู้เป็นน้องชายของเจ้านาย
“ขอบใจมากจิ้งเกา” ร่างสูงกล่าว หลังจากรับไว้ก็เดินเข้าไปในเรือนของตน เมื่อเห็นจุ้นเผิงเดินตามเข้ามาก็หันไปบอกว่า
“เจ้าช่วยออกไปอยู่ข้างนอกสักครู่ได้หรือไม่?” ซือหยวนซาถามด้วยความเกรงใจปนเก้อเขิน
“ขอรับ ขออภัยที่ข้าน้อยเสียมารยาท” จุ้นเผิงเอ่ย เพราะเขาลืมไปว่าตั้งแต่เล็กจนโตทุกครั้งที่คุณชายใหญ่หรือคุณชายรองฝากจดหมายมาให้ คุณชายสามจะห้ามทุกคนเข้ามาในเรือน จนกว่าจะได้เปิดดูว่าเนื้อความที่คุณชายทั้งสองฝากมาให้คืออะไร เสมือนว่าเป็นความลับระหว่างพี่น้อง แต่เขาก็ดันลืมซะนี่!
“มิเป็นไรๆ” ซือหยวนซาเอ่ย หลังจากปิดประตูแล้วก็แกะผนึกออกจากซองทันทีด้วยความอยากรู้ว่าพี่ชายจะฝากข้อความอะไรมาให้ ก็พบกับกระดาษสีแดงที่เอาไว้ทำโคมไฟในเทศกาลโคมไฟ และมีคำกลอนเขียนอยู่
ซือหยวนซาเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะอ่านเนื้อหาที่พี่รองเขียน
ยามมีอยู่ไร้อาวรณ์ ยามเสียไปนอนอาลัย
ยามอยู่ใกล้ไม่สนใจ ยามอยู่ไกลคะนึงหา
ตรึกตรองใจให้ดี ทบทวนจิตให้ถี่
เวลาและวารี มิอาจหวนย้อนคืน
คล้ายพี่รองกำลังท้าให้เขาเล่นปริศนาโคมไฟ
เอ่อ... ขอโทษนะท่านพี่ แค่เขียนใส่กระดาษทำโคมไฟส่งมาแบบนี้ก็ได้หรือขอรับ...
หากดูเผินๆ เหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ซือหยวนซารู้ดีว่าซือหยินซูหมายถึงอะไร
ท่านพี่มีตาทิพย์หรือไรนี่... ถึงรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากครุ่นคิดสักพัก ซือหยวนซาก็หยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มน้ำหมึกแล้วเขียนโต้ตอบลงไป
เมื่อไป่เคยมี ไฉนเลยจะเสีย
เมื่อไป่เคยมี จะให้อาลัยสิ่งใด
เมื่อไป่เคยมี จะต้องไตร่ตรองอะไร
เวลาและวารี หาได้มีผลอันใดไม่
จากนั้นก็รอน้ำหมึกแห้งแล้วพับใส่ซอง ปิดผนึกเตรียมส่งคืนให้พี่รอง...
“ไว้พรุ่งนี้ข้าค่อยส่งคืนท่านละกัน”
ร่างสูงพึมพำก่อนจะใส่ซองลงไปในลิ้นชัก แล้วเอ่ยเรียกบ่าวคนที่สนิทที่รออยู่ข้างนอกให้เข้ามา
“จุ้นเผิง!! เข้ามาได้แล้วล่ะ”
“ขอรับ” ไม่กี่อึดใจ จุ้นเผิงก็เดินเข้ามาราวกับรอเวลานี้มานาน ส่วน ซือหยวนซาก็นั่งทำงานต่อ เหลืออีกเพียงไม่กี่ภาพ ผลงานชุดนี้ก็พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าแล้ว ใช้เวลาถึงยามซวีก็น่าจะวาดเสร็จหมด จากนั้นก็ไปร่วมมื้อค่ำกับนางตามที่ได้รับปากเอาไว้...
[1] สมมติว่าให้สมัยก่อนมีการเปลี่ยนนามสกุลสำหรับผู้ที่เป็นฮูหยินเอกนะเจ้าคะ
[2] กฎ 7 ขับไล่ = กฎของจีนโบราณที่อนุญาตให้ฝ่ายชายมีสิทธิ์หย่าขาดจากฝ่ายหญิงได้ ถ้าฝ่ายหญิงทำความผิดหนึ่งในเจ็ดข้อที่มีกฎบัญญัติไว้ แม้ฝ่ายหญิงจะไม่ยินยอม นอกจากนี้ยังมีกฎ 3 ไม่หย่าที่ไม่ว่าจะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ห้ามไม่ให้สามีหย่าภรรยาอย่างเด็ดขาด! ยกเว้นทั้งสองฝ่ายจะเต็มใจ