Your Wishlist

ทางใครทางมัน! เราหย่ากันแล้ว! [สามบุพเพสกุลซือ] (3:สตรีโง่งมกับบุรุษตาบอด)

Author: หานยวี่

#จบแล้วจ้า ข้าจะไม่คิดแค้น...ข้าจะไม่โกรธเคือง..สิ่งที่ท่านทำ ข้าจะไม่เก็บมาเป็นเพลิงสุมใจ ขอให้ระหว่างเรา 'ท่าน' กับ 'ข้า' เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันนับจากนี้...และตลอดไป...

จำนวนตอน : N/A

3:สตรีโง่งมกับบุรุษตาบอด

  • 14/04/2564

3

สตรีโง่งมกับบุรุษตาบอด

 

ข้ายอมรับว่าทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำ...

พรากความรักผู้อื่น เป็นสตรีที่เห็นแก่ตัว...

หากข้ารักเขาจริง ข้าควรจะยินดีกับความรักของเขา และปล่อยให้ ซือหยวนซาได้มีความสุขกับเกาเชียนจือ ตามนิยามที่ว่ารักแท้คือการเสียสละ...

อยากจะด่าอะไรข้าก็เชิญ แต่...

ถ้าพวกเจ้าจะยอมใจเย็นๆ แล้วฟังข้าสักหน่อย ก็จะรู้ว่าที่ทำไปน่ะมีเหตุผล...

หากคุณชายสามได้พบรักกับสตรีดีๆ ที่รักเขาจริง พร้อมปรนนิบัติดูแล ซื่อสัตย์ต่อซือหยวนซาไปชั่วชีวิต ข้าก็จะยอมยืนมองเขามีความสุขจากในเงา

ทว่า… ข้ายอมให้เขาลงเอยกับเกาเชียนจือผู้นี้มิได้จริงๆ

สำหรับบุรุษน่ะมองเนื้อในสตรีที่อยู่ตรงหน้าตนไม่ออกหรอก แต่สตรีด้วยกันมองออก ดังที่โบราณกล่าวว่าผีเห็นผีอย่างไรเล่า!

ทั้งก่อนหน้านั้นยังเคยให้คนไปสืบข่าวของคู่แข่งทางหัวใจ จึงทำให้ข้าปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้... ซึ่งเริ่มจาก…

ข้อแรก... ที่ข้ายอมรับว่าใบหน้าของนางงามกว่าข้า...

เชื่อหรือไม่ว่าถ้าเช็ดเครื่องประทินผิวทั้งหลายออก พวกเราก็งามพอกัน เพียงแต่นางทั้งผัดหน้าผัดคอจนขาวซีดราวคนป่วย ทั้งยังเขียนคิ้วทาปากจนสำหรับข้านางดูแก่เกินวัย ซึ่งประการนี้ข้าก็ไม่ได้อะไรมาก

ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง เป็นเรื่องปกติ ทั้งคนเรารักกันควรรักที่ใจหาใช่หน้าตา...

ข้อที่สอง... ไอ้เรื่องกิริยาความเรียบร้อย ข้าก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ข้าทำตามกาลเทศะ เวลาไหนควรทำก็ทำ ไม่ได้ตลอดเวลาแบบนางเสียหน่อย อยากถามเสียจริงว่าเหนื่อยหรือไม่ ที่ต้องฝืนทำเช่นนี้...

อ้อ! ตัวจริงเกาเชียนจือน่ะทำงานบ้านงานเรือนไม่เป็นด้วยซ้ำ แค่ซักเอ่อ... ผ้าเปื้อนระดูของตัวเองยังมิยอมทำเลย! ไม่อายหรือไงที่ต้องให้พวกบ่าวรับใช้ซักให้

สรุปว่าสองข้อแรกที่ข้ากล่าวมานั้นแค่อยากเล่าสู่กันฟัง ตามประสาคนที่รู้ไส้รู้พุง (จากการไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน) ส่วนเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้ข้ายอมรับในตัวนางไม่ได้น่ะ… อยู่ที่สองข้อหลังต่างหาก...

ข้อที่สาม... ตระกูลเกาที่ว่าดำเนินกิจการอัญมณีร่ำรวยมีเงินทองมากมายมหาศาลนั้น ข้าแอบรู้มาว่าความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะผู้นำคนปัจจุบันติดการพนันงอมแงม จนเอารายได้ยันเงินทุนไปเล่นการพนันจนหมดตัว ตอนนี้ก็มีหนี้ท่วมหัว แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ว่ายังมีฐานะต่อหน้าผู้อื่น เช่นนั้นจุดประสงค์ที่เกาเชียนจือเข้าหาคุณชายสามนั้น คงไม่ต้องพูดถึง

อ้อ... เผื่อคิดว่าเรื่องฐานะทางบ้านนางเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวกับความรักที่นางกับซือหยวนซามีให้กัน...

งั้นเจอข้อที่สี่เป็นอย่างไร! ข้อนี้ข้าได้ยินมากับหู!

…หลังงานเลี้ยงยามราตรีคืนแรกจบลง ข้าก็ได้เห็นเกาเชียนจือและสาวใช้ประจำตัว กำลังยืนคุยอะไรบางอย่างขณะที่ยืนรอรถม้าประจำจวนมารับ ด้วยความอยากรู้จึงแอบฟัง ได้ความว่า...

“คุณชายสามช่างอ่อนต่อโลกจริงๆ แค่เจอข้าออดอ้อนนิดหน่อย ก็ยอมข้าหมดทุกอย่างแล้ว” เกาเชียนจือเอ่ยกับบ่าวรับใช้ประจำตัวของตนด้วยความภูมิใจ

“ดูท่าแล้วคุณชายกำลังตกหลุมรักคุณหนูอย่างหัวปักหัวปำเลยล่ะเจ้าค่ะ” ชุนชุนพูดจีบปากจีบคอ

“ก็ดี ขอให้เป็นเช่นนี้นานๆ จนกว่าข้าจะได้แต่งเข้าจวนสกุลซือละกัน”

“ว่าแต่บ่าวขอถามอะไรหน่อยได้ไหมเจ้าคะ... คุณหนูเคยมีใจให้คุณชายสามบ้างหรือไม่?”

“หึ...” เกาเชียนจือยิ้มมุมปาก ก่อนส่ายหน้า

“บุรุษน่าเบื่อเช่นนี้ จะมาอยู่ในใจข้าได้อย่างไร...”

ทันทีที่คนตรงหน้าพูดจบ เซียวหลินหลิงที่แอบฟังอยู่ก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

“ยังไงหรือเจ้าคะ!?” ชุนชุนถามด้วยความแปลกใจ

“ทั้งหัวโบราณไม่ยอมทำนั่นทำนี่กับข้า เพราะกลัวผิดธรรมเนียม ไปเจอหน้าทีไรก็เห็นแต่วาดภาพ แถมสุภาพเกินไป แม้แต่กับบ่าวไพร่ ข้าไม่ชอบ!”

แต่นางยอมรับก็ยอมรับว่า... ข้อดีในตัวของเขาที่นางชอบคือใบหน้าอันหล่อเหลา

สตรีใดบ้างเล่าไม่ชมชอบบุรุษหน้าตาดี!?

สวรรค์นี่ก็เหลือเกิน... จะสร้างคนหล่อทั้งที ไยสร้างมาเสียเปล่า!?

หากมิติดว่าสถานการณ์บีบบังคับ นางจะไม่หลวมตัวไปสานสัมพันธ์กับคนผู้นี้เด็ดขาด แค่ยั่วยวนให้อยากแล้วจากไป ส่วนตัวนางก็ยังคงครองความโสด เที่ยวไปวันๆ เจอใครถูกใจก็ชวนกันไปสานสัมพันธ์ต่อสักคืนก่อนจะจบกันไป

...เว้นเสียแต่จะเจอราชสีห์บ้าระห่ำสุดผยองที่คู่ควรจะยืนเคียงข้างกับนางสิงห์เช่นเชียนจือคนนี้ และต้องกล้ายกย่องนางเป็นฮูหยินเอกออกหน้าออกตาด้วย มิใช่เป็นแค่อนุ

ซึ่ง... สำหรับนางแล้ว จิตรกรหนุ่มเช่นซือหยวนซาก็เป็นแค่เต่ารักสงบตัวหนึ่ง ที่ไม่คิดแข่งบารมีกับใคร ไม่มีค่าพอให้นางมอบความรักให้

ทว่าในเมื่อตอนนี้นางไม่มีทางเลือกมากนักด้วยหนี้สินที่เกิดจากท่านพ่อผู้ติดการพนัน หากนางไม่เลือกซือหยวนซา นางก็ต้องแต่งเป็นอนุคนที่สิบสี่ให้แก่สือหลี่ม่อ เสนาบดีกรมโยธาวัยห้าสิบเศษ ผู้ขึ้นชื่อด้านความโหดร้ายบนเตียง ที่มาถูกใจในรูปโฉมของนาง

“อืม... แต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันที่เขาทั้งรักทั้งตามใจข้าทุกอย่าง ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นช้างเท้าหลังที่ต้องคอยตามสามีแบบท่านแม่” เกาเชียนจือเอ่ยพลางนึกถึงชีวิตอันแสนรันทดของผู้เป็นมารดา

“แต่ข้าก็สงสารคุณชายอยู่นะเจ้าคะ หากรู้ความจริงว่าคุณหนูไม่ได้มีใจให้ คุณชายจะเสียใจขนาดไหนกัน...” ชุนชุนเอ่ยพลางแววตาหม่นลง

“เจ้าเป็นบ่าวของใครกันแน่?” เกาเชียนจือหรี่ตาพร้อมกับจ้องไปที่ใบหน้าของสาวใช้อย่างคาดคั้น

“ข้ารู้สึกว่าเจ้าช่างเทิดทูนเขาเหลือเกินนะชุนชุน หรือว่าเจ้าจะ...”

“อ... เอ่อ... บ่าว…” ชุนชุนก้มหน้าลงด้วยความเอียงอาย

“เช่นนั้น... หลังข้าแต่งเข้าจวน เจ้าก็มาเป็นอนุปรนนิบัติเขาแทนข้าละกัน ข้าจะได้มีเวลาไปหาความสำราญจากคนอื่น”

ให้นางยอมทิ้งคนเป็นร้อยเพื่อมารับใช้บุรุษน่าเบื่อเพียงคนเดียวไม่เอาด้วยหรอก

ยกให้คนที่เขาต้องการละกัน ทำบุญทำทาน~

“คุณหนูช่างใจกว้างดั่งแม่น้ำแยงซีเกียงเจ้าค่ะ ทั้งชีวิตบ่าวสาบานจะมีคุณหนูเป็นนายแค่คนเดียว” ชุนชุนเอ่ยด้วยความดีใจ

พลันรถม้าก็มาถึงพอดี สองนายบ่าวจึงพากันก้าวเท้าขึ้นไปนั่งข้างใน

เมื่อรถม้าสกุลเกาออกตัวไปไกลจนลับสายตา เซียวหลินหลิงจึงออกมาจากที่ซ่อน พร้อมกับมองตามด้วยดวงตาวาวโรจน์ แล้วคิดแผนขึ้นมา...

หากเจ้าคิดจะรับคุณชายสามของข้าไปทิ้งๆ ขว้างๆ ข้าก็จะไม่ยอมยกเขาให้เจ้าเด็ดขาด!

นางจึงตัดสินใจวางยาคุณชายสามเพราะเหตุนี้...

แม้รู้อยู่เต็มอกว่าจะต้องถูกคุณชายสามเกลียด ก็ยังดีกว่าปล่อยให้คนที่นางรักตกหลุมพรางสตรีร้ายกาจเช่นนั้น...

ซึ่งหลังจากเกิดเรื่อง ไม่ได้มีแค่คุณชายสามที่เกลียด แต่ยังรวมไปถึงประมุขสกุลซือและฮูหยินด้วย... ถือว่าเป็นของแถมละกัน

ยังดีที่พวกเขายังให้ซือหยวนซาแต่งงานกับนางเพื่อรักษาเกียรติ ดังนั้นเมื่อได้เข้ามาอยู่ในจวน เซียวหลินหลิงจึงตั้งใจว่าจะใช้ความดีและความสามารถของนางเอาชนะใจคนในจวนให้จงได้…

“ท่านประมุข ท่านฮูหยิน หลินหลิงขอฝากเนื้อฝากตัวกับพวกท่านด้วยนะเจ้าคะ” ร่างบางเอ่ยพลางย่อตัวทำความเคารพคนทั้งสองด้วยความนอบน้อม ที่นางไม่เรียกท่านพ่อท่านแม่ เพราะคิดว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

เมื่อไม่มีเสียงตอบรับนางก็หันไปพูดกับคุณชายใหญ่และคุณชายรองต่อ

“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง...”

“มิต้องมากพิธีหรอกน้องสะใภ้ ต่อไปก็เรียกข้าว่าพี่ใหญ่แบบที่อาซาเรียกเถอะ” มิทันขาดคำ คุณชายใหญ่ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน

“ส่วนข้าก็คือพี่รองของเจ้า ยินดีต้อนรับสู่สกุลซือของเรานะ… หลินเอ๋อร์” คุณชายรองกล่าวบ้าง ซึ่งคำพูดของทั้งสองคนสร้างความฉงนให้ประมุขกับฮูหยิน และสร้างความไม่พอใจให้แก่คุณชายสามเป็นอย่างมาก

ไยพี่ชายของข้าถึงดูชื่นชมนางนัก!?

ทั้งที่นางได้แต่งเข้ามาก็เพราะใช้วิธีต่ำช้าแท้ๆ

พวกท่านเป็นพี่ชายใครกันแน่!

“เจ้าค่ะ” เซียวหลินหลิงคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนย่อตัวให้ทั้งคู่

อย่างน้อยท่ามกลางพนาอันเคว้งคว้างนี้ ก็ยังมีพฤกษาสองต้นที่พอจะเป็นที่พักพิงให้แก่นางได้...

‘ซือหยางซี’ พี่ใหญ่ผู้เจนสนามรบ มีรูปร่างสูงกำยำ ผิวคล้ำเข้มตามประสาคนที่อยู่กลางแจ้งบ่อย เจ้าของใบหน้าคม รับกับดวงตาเหยี่ยวสีเทาเข้มซึ่งเห็นความตายในสนามรบมานับไม่ถ้วน แม่ทัพใหญ่คุมกองกำลังประจำการที่ชายแดนทางทิศตะวันออก

ส่วน ‘ซือหยินซู’ พี่รองผู้มีรูปร่างที่เตี้ยกว่าพี่ใหญ่และน้องสาม แต่มีใบหน้ารูปไข่และเครื่องหน้าที่หวานยิ่งกว่าอิสตรี ผิวขาวราวหิมะ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่ส่องประกายขี้เล่นตลอดเวลา มีศักดิ์เป็นถึงองครักษ์เสื้อแพร ที่มีหน้าที่อารักขาองค์รัชทายาทตงจวิ้นหวง ซึ่งตอนนี้หลายมาเป็นฮ่องเต้ของแคว้นอย่างใกล้ชิด

นี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้กัน แต่อาจมีอะไรมากกว่านั้นก็เป็นได้…

ทว่าก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่วันเดียว...

ใช่... ฟังมิผิดหรอก แค่วันเดียวหลังจากที่เพิ่งพบหน้ากัน!

ทั้งพี่ใหญ่พี่รองต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน

ซือหยางซีเดินทางกลับไปยังชายแดนทิศตะวันออก...

ซือหยินซูเดินทางเข้าวังหลวงเมืองฉางอันตามรับสั่งของฮ่องเต้…

แต่เซียวหลินหลิงก็หาได้รู้สึกอ้างว้างไม่ เพราะทำใจไว้แล้วว่าต้องเจอเช่นนี้ เพียงแค่ตอนแรกนึกดีใจที่อย่างน้อยก็ยังมีคนยอมญาติดีกับนาง ดังนั้นทุกวัน นางก็จะเริ่มปฏิบัติภารกิจพิชิตใจทุกคนทันที...

เริ่มจาก... ตื่นมาตั้งแต่ยามเหม่า[1]เพื่อมาทำธุระส่วนตัวแล้วตรงไปยังเรือนของพ่อแม่สามีเพื่อทำความเคารพ ซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมาจะมีเพียงความเย็นชา...

แต่ไม่เป็นไร... นางเข้าใจว่าพวกเขายังโกรธอยู่

ล่วงยามสายก็ให้ชิงปี้ไปตลาด ซื้อวัตถุดิบมาแล้วเข้าครัวทำขนมไปแจกจ่ายให้ทุกคนในจวน ถึงท่านประมุขกับซือฮูหยินจะไม่รับ หรือคุณชายสามให้จุ้นเผิงรับมาเททิ้ง อย่างน้อยก็มีบรรดาบ่าวที่เอาขนมของนางไปกิน (แม้หลังจากนั้นพวกเขาจะมึนตึงใส่นางก็เถอะ เซียวหลินหลิงจึงไม่กล้าไปเสวนาด้วยนับแต่นั้นมา)

นอกจากนี้นางยังเสนอตัวไปช่วยแม่สามีทำงานฝีมือเย็บปักถักร้อยต่างๆ นานา ถึงอีกฝ่ายจะไล่นางกลับเรือนไป๋หลานฮวาก็เถอะ ร่างบางก็ไม่หวั่น ด้วยถือคติว่า

‘วันนี้ไม่สำเร็จมิเป็นไร พรุ่งนี้ยังมีโอกาส’

วันเวลาผ่านไป... เซียวหลินหลิงยังคงเพียรทำเช่นนี้กับครอบครัวของสามี

จนในที่สุดท่านประมุขซือห้าวโจวก็ยอมรับการคารวะจากนาง ทำให้    ซือฮูหยินพลอยยอมรับไปด้วย ทว่ายังไม่ยอมให้นางเข้ามาช่วยปรนนิบัติอยู่ดี แถมดูแล้วคล้ายถูกใจชิงปี้มากกว่านางเสียอีก เห็นให้คนมาตามไปพูดคุยกันบ่อยเหลือเกิน

แต่คนที่นางเพิ่มความใส่ใจมากที่สุดก็ไม่มีทางพ้นซือหยวนซาหรอก!

กับบุรุษผู้นี้ เซียวหลินหลิงนั้น

ทั้งทำของคาวไปให้...

ทำของหวานไปให้...

ปักถุงหอมไปให้...

ถักพู่ห้อยป้ายหยกประจำตระกูลไปให้...

ซื้อหนังสือที่เขาน่าจะชอบให้...

ชวนเล่นต่อบทกวี...

ชวนทายปริศนาโคมไฟ[2]ในเทศกาล...

ชวนถอดรหัสจากภาพวาด...

ชวนไปปีนเขาเดินป่า...

เป็นเวลาสามปี ที่นางอดทนทำทุกอย่างให้ด้วยความรักและความจริงใจ

ซึ่งตลอดสามปี… ไม่เคยมีสักครั้งที่จะได้รับการตอบรับที่ดีจากอีกฝ่าย...

คุณชายสามปฏิเสธทุกอย่างจากนาง โดยเฉพาะกิจกรรมที่นางชวน   เขาทำ แม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาชอบมากก็ตาม เรื่องร้ายแรงที่สุดคือการที่เขาเทเสี่ยวหลงเปาที่นางตั้งใจปั้นสุดฝีมือลงพื้น แล้วกระทืบจนเหลือแต่ซากที่ดูไม่ออกว่าเคยเป็นอะไรต่อหน้านาง!

...เสี่ยวหลงเปาเข่งนั้นถูกท่านเหยียบย่ำจนแหลกลาญเช่นไร

หัวใจของข้าราวกับถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาญไม่ต่างกัน...

แม้จะเสียใจแค่ไหน เซียวหลินหลิงก็ไม่เคยนั่งร้องไห้ฟูมฟาย... มากสุดก็น้ำตาคลอแล้วรีบปาดทิ้งก่อนจะมีผู้ใดมาเห็น กระนั้นนางก็ยังพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาเปิดใจ...

ร่างบางอดทนอยู่แบบนี้มาถึงสามปี กระทั่งเกาเชียนจือต้องแต่งเข้าไปเป็นอนุคนที่สิบสี่ให้แก่สือหลี่ม่ออย่างจำใจด้วยไม่มีทางเลือกอื่น เซียวหลินหลิงจึงวางใจและยอมคืนอิสรภาพให้เขา

เพียงแต่…

ซือหยวนซา... ข้าใคร่อยากถามท่านสักคำ...

เป่ยพูและเมืองใกล้เคียงมีสตรีเป็นร้อยที่ข้ามั่นใจว่าถึงไม่เพียบพร้อมเท่าข้า แต่ก็พร้อมที่จะรักและซื่อสัตย์กับท่าน ทั้งยังไม่ทำตัวเยี่ยงคนที่ท่านรัก

ไยท่านกลับไปหลงรักเกาเชียนจือ สตรีที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ด้านสัมพันธ์ข้ามคืน จนไม่มีใครอยากแต่งนางเข้าจวนไปเป็นฮูหยินเอก!?

ท่านตาบอดหรือ!?

แต่...

หากท่านตาบอด ข้าก็คือคนโง่งมที่ไปหลงรักคนตาบอดเช่นท่าน...

สตรีโง่งมกับบุรุษตาบอด…

สมกันดีแท้...

หึ...

ที่ข้าว่าสมกัน...

หมายถึง...

น่าสมเพชทั้งคู่!!!

 

 

[1] ยามเหม่า = เวลา 05.00 – 06.59 น. โดยประมาณ

[2] ปริศนาโคมไฟ = ปริศนาที่จะเล่นกันในเทศกาลเต็งหมีหรือเทศกาลโคมไฟ ที่จัดในคืนวันเพ็ญเดือนอ้ายเพื่อเป็นกิจกรรมปิดท้ายการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่และฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งในคืนดังกล่าวชาวจีนจะแขวนโคมไฟประดับตามบ้านและถนน และมีการเขียนปริศนาติดไว้บนโคมไฟเพื่อเชิญให้ผู้คนที่เดินเที่ยวชมโคมไฟได้ลองทาย หากมีผู้สามารถทายปริศนาได้ถูกต้องเจ้าของบ้านที่แขวนโคมไฟปริศนาก็จะเชื้อเชิญผู้นั้นเข้าไปร่วมดื่มน้ำชาภายในบ้านและมอบสิ่งของบางอย่างให้เป็นรางวัล แต่ในกรณีของเซียวหลินหลิง นางแค่เขียนใส่โคมไฟกระดาษแล้วเอาไปให้ซือหยวนซาลองแก้

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป