“ความหมายของเจ้าคือเรามีเงินอยู่จำนวนน้อยนิดใช่หรือไม่?”
น้องชายของเธอพยักหน้าด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ซูถังพยายามตรวจสอบเงินเก็บเพื่อตัดสินใจว่าจะซื้อส่วนผสมอะไรได้บ้าง เธอพบว่ามีเงินเก็บอยู่เพียงห้าสิบเหรียญเท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะซื้อวัตถุดิบดีๆ อย่างแน่นอน!
พรุ่งนี้ต้องไปต้าจี่แล้ว ผู้เข้าแข่งขันต้องเตรียมอุปกรณ์มาเอง มันอาจจะค่อนข้างง่ายสำหรับคนอื่นๆ แต่ครอบครัวของพวกเธอไม่สามารถนำอะไรไปได้
ซูถังสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่เธอเริ่มค้นหาไปรอบๆ บ้าน จนถึงตอนนี้เธอพบแต่แป้งและไข่จากครัวเท่านั้น เธอเริ่มคิดว่า 'พรุ่งนี้จะทำผัดหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวต้นหอมดี?'
ซูถังส่ายศีรษะเบาๆ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้
พรุ่งนี้มีผู้เข้าแข่งขันมากกว่าสามร้อยคน แต่มีกรรมการตัดสินเพียงยี่สิบคนเท่านั้น
อาหารแต่ละจานต้องรอแถวตัดสินค่อนข้างนาน ด้วยกลุ่มคนจำนวนมากเช่นนี้ การทำก๋วยเตี๋ยวจึงเป็นประเภทอาหารที่เลวร้ายที่สุดในสถานการณ์นี้ เส้นจะอืดหากไม่รีบกินทันที
อีกอย่างพวกเธอยังมีน้ำมันเหลืออยู่ในครัวเพียงไม่กี่ขวดเท่านั้น
สองพี่น้องก็ต้องซ่อนขวดน้ำมันด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะถูกป้าแย่งชิงไปเช่นกัน
ซูถังเห็นว่าสีของน้ำมันในขวดแตกต่างจากน้ำมันหมูธรรมดา ดังนั้นเธอจึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อดมกลิ่น
กลิ่นของมันทำให้เธอประหลาดใจ! ปรากฏว่ามันกลายเป็นน้ำมันงาที่หอมเหมือนน้ำหอม
กระบวนการบดงาเป็นน้ำมันในสมัยโบราณนั้นซับซ้อนและมีเอกลักษณ์
ซูถังคิดว่า 'นี่เป็นส่วนผสมลับที่พ่อของเธอสร้างขึ้นตอนที่เปิดร้านอาหาร!’
“พี่สาว ท่านทำอะไร?” ซูจินฮังถาม เขาคิดว่ามันแปลกที่พี่สาวของเขาถือน้ำมันงาราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
ซูถังยิ้มอย่างมีความสุข “พี่รู้แล้วว่าจะทำอาหารอะไรในวันพรุ่งนี้ และพี่จะต้องได้เข้ารอบแน่”
“พี่หมายถึงอะไรเข้ารอบ?” ซูจินฮังถามเพราะเขาไม่เคยได้ยินคำพูดนี้มาก่อน
ระดับแรกคือการผ่านการคัดเลือกจากผู้เข้าแข่งขันสามถึงสี่ร้อยคน จากนั้นเธอก็จะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันที่แท้จริงกับหนึ่งร้อยห้าสิบคนสุดท้าย
เช้าวันรุ่งขึ้น สองพี่น้องรีบไปตลาด ซูจินฮังยังคงรู้สึกกังวลมากเพราะพี่สาวของเขาใช้เวลาทั้งหมดในการเช็ดขวดน้ำมันงาให้สะอาดเมื่อคืนนี้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน เขาคิดในใจว่า 'น้ำมันงาเป็นเพียงเครื่องปรุงรส แล้วพี่จะใช้มันทำอะไรได้อีก?'
ซูถังนำแค่เกลือ น้ำมันงาครึ่งขวด และน้ำส้มสายชูสีขาวติดตัวมาแค่สามอย่างเท่านั้น
สิ่งที่เธอนำมาด้วยเล็กน้อยจนดูเหมือนไม่ได้นำมาเพื่อประกอบอาหารอะไรเลย!
ระหว่างทางไปต้าจี่ ซูถังหยุดเพื่อเลือกซื้อของพิเศษบางอย่าง เธอพอใจกับต้นหอมสดหนึ่งกำมือที่เธอซื้อเพียงสองเหรียญเท่านั้น เธอยังไปที่ร้านเต้าหู้เพื่อซื้อเต้าหู้เก่า โดยรวมแล้วเธอใช้เงินน้อยกว่าสิบเหรียญ
“พี่สาว พี่จะทอดเต้าหู้หรือ? มันจะไม่ง่ายไปหน่อยหรือ?” ซูจินฮังเกาหัวของเขาและคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรอร่อยๆ จากสิ่งเหล่านี้ได้
ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงเยาะเย้ยจากข้างหลัง
“พวกเจ้ากำลังคิดจะมาแข่งขันทำอาหารเพื่อแค่ทอดเต้าหู้งั้นรึ?”
ซูถังหันไปมองข้างหลัง เธอเห็นชายร่างกำยำยืนถือผักและอาหารทะเลอยู่ในมือ ดูเหมือนว่าเขาจะทำอาหารมื้อใหญ่
ชายคนนั้นตกใจกับรอยแผลเป็นบนหน้าผากของซูถัง
“เจ้ากล้าออกมาเจอผู้คนในสภาพน่าเกลียดเช่นนี้ได้อย่างไร” ชายคนนั้นพึมพำในขณะที่ปิดส่วนผสมของเขาเพื่อเตรียมจะจากไป
เขาจ่ายเงินเป็นจำนวนมากสำหรับส่วนผสมของเขา ดังนั้นเขาน่าจะผ่านการแข่งขันทำอาหารอย่างแน่นอน!
ซูถังแตะหน้าผากของเธอ อันที่จริงรอยฟกช้ำเกือบจะหายแล้ว แต่เธอจงใจทาสีด้วยบางอย่างเพื่อทำให้ดูน่ากลัวก่อนจะออกจากบ้านในวันนี้
“นั่นหอยเป๋าฮื้อหรือ? หอยเป๋าฮื้อตัวนี้ดูซีดและเนื้อก็ขาวแล้ว แสดงว่ามันตายมาระยะหนึ่งแล้ว คนที่กินมันเข้าไปอาจมีอาการท้องร่วงเล็กน้อยและปวดท้องได้ หากรุนแรงก็ต้องถึงขั้นหาหมอเพื่อรักษา ต้องระวัง” ซูถังกระซิบในขณะที่ดึงซูจินฮังจากไป
ใบหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาหันกลับมาเพื่อหักล้างคำพูดของเธอ แต่เห็นว่าเธอกำลังเดินจากไปพร้อมกับน้องชายของเธออย่างงดงามผ่าเผย
ชายคนนั้นส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว นี่เขาคิดอะไรอยู่? เขาเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้ว อาการบาดเจ็บที่หน้าผากของเธอดูน่าเกลียดมาก ดังนั้นเธอจะดูงดงามได้อย่างไร
เมื่อเข้าไปในต้าจี่ ซูถังสังเกตผู้คนโดยรอบ คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการแข่งขันเป็นบุรุษ และมีสตรีเพียงไม่กี่คนที่มีสมาชิกในครอบครัวตามมาคอยดูแลพวกเธอ
อาณาจักรชางฉินไม่ได้เข้มงวดเกินไปในความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี แต่นี่ยังคงเป็นสมัยโบราณ
ซูถังมากับน้องชายเพียงสองคนเท่านั้น เธอจึงดูหดหู่มาก
สตรีที่อยู่ข้างๆ เธอเห็นเข้าจึงพูดขึ้นว่า “หายากสำหรับสตรีที่จะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ เจ้ากล้าหาญมาก”
“คุณหนูท่านนี้ต้องล้อข้าเล่นแน่ ท่านเองก็มาร่วมการแข่งขันเหมือนกันมิใช่หรือ?” ซูถังยิ้ม
หญิงสาวมองดูเธอ เสื้อผ้าของซูถังซักสะอาดเรียบร้อย แต่ค่อนข้างเก่า การแต่งกายก็เรียบร้อย แต่แผลที่หน้าผากดูน่ากังวลเล็กน้อย
“ข้าคงไม่มาอยู่ที่นี่หากท่านพ่อไม่บังคับให้ข้ามา ท่านบอกว่าทักษะการทำอาหารของตระกูลฮวงไม่ควรหายไปในรุ่นของข้า ข้าบอกท่านพ่อว่าพี่ชายของข้าก็เพียงพอแล้วที่จะสืบทอดมรดกของตระกูล” น้ำเสียงของคุณหนูฮวางนุ่มนวลและไร้เดียงสา เธอดูเหมือนหญิงสาวที่ถูกตามใจและไม่ค่อยได้เห็นโลกมากนัก “ข้าชื่อฮวงเยว่ถง เจ้าชื่ออะไร?”
ซูถังพยักหน้าและกล่าวว่า “ซูถังยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูฮวง”
หลังจากที่ทั้งสองทักทายกัน เจ้าหน้าที่จากราชสำนักก็มาถึง พวกเขาประกาศกฎการแข่งขันโดยตรง
มีผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมดสามร้อยหกสิบคน ดังนั้นพวกเขาจึงถูกสุ่มแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสามสิบหกคนพร้อมกับกรรมการตัดสินสองคน
ผู้เข้าแข่งขันแต่ละกลุ่มจะถูกคัดออกมากกว่าครึ่ง
ซูถังยืนอยู่ใกล้กับฮวงเยว่ถง ดังนั้นพวกเธอจึงได้อยู่กลุ่มเดียวกัน
ซูจินฮังที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูกังวล เมื่อเห็นเช่นนั้น ซูถังก็ปลอบโยนเขาว่า “จำที่พี่พูดได้ไหม? แค่คอยดูเวลาและนำสิ่งที่พี่ขอออกมา”
เขาพยักหน้า เข้าใจว่าตนต้องทำอะไร
ซูถังและฮวงเยว่ถงเดินไปประจำตำแหน่งของใครของมัน พวกเธออยู่ในกลุ่มที่แปดของทั้งสิบกลุ่ม เนื่องจากผู้เข้าแข่งขันนำวัตถุดิบมาเองจึงไม่มีข้อจำกัดในการรังสรรค์อาหาร พวกเขาสามารถทำในสิ่งที่พวกเขาอยากทำ
พ่อครัวคนอื่นๆ ต่างก็นำวัตถุดิบจำนวนมากมาด้วย และดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำอาหารที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ซูถังมองไปรอบๆ และพบผู้ชายที่มีหอยเป๋าฮื้อคนนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แต่เขาอยู่ไกลจากเธอ ซูถังส่ายศีรษะเบาๆ หลังจากที่เห็นว่าเขาจัดการกับหอยเป๋าฮื้ออย่างไร
เธอยังเห็นเนื้อวัวชิ้นหนึ่งอยู่ข้างๆ ฮวงเยว่ถง เนื้อดูนุ่มมากและสามารถมองเห็นเส้นสีแดง วัตถุดิบดังกล่าวจะต้องมีความสดใหม่ แค่นำมาประกอบเป็นเมนูอาหารง่ายๆ ก็ยังอร่อยได้
ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ส่วนใหญ่นำวัตถุดิบแบบเดียวกับฮวงเยว่ถงมาทำอาหาร ซูถังดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น วัตถุดิบของเธอเต้าหู้และต้นหอม
ซูถังไม่ได้ประมาท แต่สายตาของผู้คนจำนวนมากมองข้ามมาที่เธอ และเธอเองก็ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะรู้ว่าเธอใช้ส่วนผสมอะไร
มีสตรีเพียงไม่กี่คนในการแข่งขันทำอาหารนี้ สิ่งนี้ทำให้สตรีสองคนในกลุ่มแปดสะดุดตามากขึ้นคือซูถังมีวัตถุดิบเพียงเล็กน้อยในมือ
ฮวงเยว่ถงยังสังเกตเห็นสิ่งนี้และกระซิบว่า “ข้าสามารถแบ่งปันวัตถุดิบบางอย่างกับเจ้าได้นะ ข้ายังนำไก่และหมูสันในที่ฆ่ามาสดๆ มาด้วย”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณ” ซูถังคิดว่าคุณหนูฮวงผู้นี้น่ารัก นี่เป็นการแข่งขันแต่เธอยินดีช่วยเหลือผู้อื่น
ซูถังชี้ไปที่เนื้อวัวแล้วกล่าวว่า “การใช้หลังมีดตีเนื้อจะทำให้เนื้อนุ่มขึ้น”
“ห้ามพูดในระหว่างการแข่งขัน!” กรรมการตัดสินดุซูถังและฮวงเยว่ถง
ฮวงเยว่ถงแลบลิ้นใส่ และเริ่มจัดการกับเนื้อ
แซ่ของกรรมการคนนั้นคือ ‘จี้’ และชื่อของเขาคือ ‘จี้ชู’
เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนัก แต่ถูกส่งตัวมาเป็นกรรมการตัดสินในการประกวดทำอาหาร เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าหัวเราะนักที่เขาถูกนำตัวมาตัดสินเรื่องอาหาร
นอกจากนี้ หากการแข่งขันทำอาหารนี้ผ่านไปด้วยดี งานหนักของพวกเขาก็จะไม่สูญเปล่า
‘ฮั่วจื่อซิน’ กรรมการอีกคนกลับไม่คิดอย่างนั้น เขาชอบของอร่อย ดังนั้นเขาจึงขอร้องเป็นกรรมการตัดสินงานนี้
ซูถังไม่รีบร้อน สิ่งที่เธอจะทำนั้นเรียบง่ายมาก จึงไม่ต้องรีบร้อน
เธอวางหม้อต้มน้ำแล้วใส่น้ำส้มสายชูสีขาวสองสามหยดลงไป
น้ำต้มเดือดจะไม่นำมาใช้ทันที แต่จะทิ้งให้เย็นไว้ด้านข้างแทน เธอจะใช้เฉพาะน้ำที่อยู่ด้านบนและระบายน้ำออกหนึ่งในสาม จากนั้นน้ำสองในสามที่เหลือจะถูกต้มและกรองด้วยผ้าก๊อซชั้นดี
นั่นคือวิธีการทำ 'น้ำใส'
"นางกำลังทำอะไรอยู่น่ะ? นางทำอาหารเป็นด้วยหรือ?”
ผู้เข้าแข่งขันไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกัน แต่ฝูงชนที่มาดูสามารถพูดคุยกันได้
ผู้เข้าแข่งขันรอบตัวเธอบางคนกำลังอบขนม ทำแพนเค้ก และนึ่งปลา กลิ่นอาหารทะลักออกมา แต่เด็กหญิงคนนี้ยังต้มน้ำอยู่!
เสียงถกเถียงของประชาชนทำให้กรรมการตัดสินสองคนต้องหันไปดู เมื่อพวกเขาเห็นว่าสตรีนางนี้ยังต้มน้ำอยู่ พวกเขาก็ส่ายศีรษะเบาๆ มันทำให้พวกเขาคิดว่ามีคนประเภทนี้อยู่จริงๆ
ณ สถานที่อื่น ‘จื่อติง’ นายพลรุ่นเยาว์ของราชวงศ์ชางฉินดูกังวล เขาพูดอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอ๋อง การแข่งขันครั้งนี้ก็เพื่อพระองค์ นั่งรออีกหน่อยก็จะมีอาหารอร่อยส่งมาให้พ่ะย่ะค่ะ”
จื่อติงมองขึ้นไปที่อ๋องหนุ่ม แต่ในไม่ช้าก็ก้มศีรษะลงอีกครั้งด้วยความตกใจ
ท่านอ๋องมีใบหน้าที่หล่อเหลา คิ้วคมเข้มราวกับดาบและดวงตาสีดำสนิท กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาจากร่างทำให้คนกลัวที่จะมองพระพักตร์ตรงๆ ดวงตาของพระองค์เต็มไปด้วยแรงกดดันและริมฝีปากบางถูกเม้มจนเป็นเส้นตรง แสดงว่าตอนนี้ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก
จื่อติงคงยกขาแล้ววิ่งหนีไปแล้วหากไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นบุตรชายของท่านแม่ทัพ
“คนผู้นี้จักต้องกินและเจ้าต้องแน่ใจว่ามันจะต้องเกิดขึ้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม! ออกค้นหาเมืองอื่นหากเมืองหลวงไม่มีพ่อครัวที่เขาโปรดปราน” จื่อติงเหงื่อออกเพราะเขาได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิและบิดาให้จับตามองอ๋องเว่ยหยวนในขณะที่เขาอยู่ที่การแข่งขันเทพเจ้าแห่งการทำอาหาร
ท่านอ๋องเป็นคนจู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารการกินมาก เพราะอาหารเกือบทุกอย่างมีรสชาติแย่สำหรับพระองค์ นี่คือสิ่งที่หลายคนรู้
ท่านอ๋องคงไม่อยากกินอะไรเลย หากไม่ใช่เพราะมีสุขภาพของพระองค์เป็นเดิมพัน
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการแข่งขันเทพเจ้าแห่งการทำอาหารจึงถูกจัดขึ้น
การแข่งขันเพิ่งเริ่มต้นวันนี้ และเขาต้องแน่ใจว่าท่านอ๋องอยู่เฝ้าดู
จื่อติงเค้นสมองหาวิธีเพื่อให้ท่นอ๋องสนใจ เขารีบพูดว่า “กระหม่อมได้ยินมาว่ามีสตรีเข้าร่วมแข่งขันอยู่ข้างนอก นางแค่ต้มน้ำในขณะที่คนอื่นทำอาหาร น่าสนใจมากทีเดียว เพราะได้ข่าวว่าต้มน้ำไปสามรอบแล้ว กระหม่อมไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางคิดอะไรอยู่”
“เจ้าให้ข้าอยู่ที่นี่เพียงเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระนี้หรือ?” อ๋องเว่ยหยวนกล่าวเบาๆ
เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องไม่สนใจ และบรรยากาศโดยรอบก็ยิ่งเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ
ซูถังเพิ่งเริ่มทำอาหาร แต่สามสิบคนจากสามสิบหกคนในกลุ่มของเธอทำเสร็จแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาของเธอที่จะส่องแสงแล้ว! ซูถังลงมืออย่างรวดเร็วเมื่อเธอลวกเต้าหู้เก่าด้วยน้ำต้ม จากนั้นเธอก็ตั้งให้เดือดอีกสองนาที
ซูจินฮังนำอ่างน้ำมาอีกอ่าง และซูถังรีบจุ่มนิ้วลงไปเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิ
“ดี น้ำเย็นกำลังดี”
น่าเสียดายที่อาหารจานนี้จะอร่อยกว่าด้วยน้ำที่ใส่น้ำแข็ง แต่น้ำเย็นแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ซูถังส่ายหน้าและเริ่มแบ่งน้ำออกเป็นสามส่วน เต้าหู้ที่ต้มแล้วกวนในน้ำเย็นส่วนหนึ่งก่อนที่จะล้างและใส่ลงในอ่างน้ำอีกอ่าง
“นั่นนางกำลังทำอะไร?!”
“นางแค่กำลังพยายามจะโอ้อวดเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ”
ซูถังมองไปที่ผู้เข้าแข่งขันสองคนที่ซุบซิบเกี่ยวกับเธอ เธอไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อโอ้อวด แต่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอย่างอื่นต่างหาก
สามวันครั้ง