Your Wishlist

ยอดนักแต่งหน้าทะลุมิติ (ตอนที่ 5 : เข้าเมือง (edited))

Author: TealChair แปล

หลีโม่เมคอัพอาร์ติสสาวชั้นนำทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวใช้ที่ถูกพ่อค้าทาสนำตัวมาขาย ณ หมู่บ้านชนบทในยุคโบราณ บุรุษที่ซื้อตัวนางมายากจนทั้งยังขาพิการ ยังมีเจ้าก้อนแป้งน้อยพ่วงด้วยอีกหนึ่ง เมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้มีชีวิตอีกครั้ง นางจะต้องใช้ฝีมือและความสามารถที่มีในชาติก่อนหาเงินเพื่อให้ครอบครัวในชาตินี้ของตนมีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้!

จำนวนตอน : 92 ตอนจบ

ตอนที่ 5 : เข้าเมือง (edited)

  • 12/09/2564

ตอนที่ 5 เข้าเมือง

 

เมื่อหลีโม่มือเจ็บ ซ่งต้าซานจึงไม่ยอมให้นางทำงานในครัวและให้นางนั่งเล่นอยู่กับเสี่ยวเป่า

 

หลีโม่สงสัยว่าในใจของเขาคงจัดให้นางกับเสี่ยวเป่าอยู่ในประเภทเดียวกัน

 

เสี่ยวเป่าเล่นอยู่ที่ลานบ้าน นางได้แต่นั่งเฉย ๆ เฝ้ามองดูเขาเท่านั้น

 

มีเสียงแหลมดังเข้ามา “ต้าซาน เจ้าอยู่บ้านหรือไม่?”

 

ทันทีที่เสียงดังขึ้น สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้าน

 

หลีโม่ลุกขึ้นยืน แม้ว่านางจะไม่รู้จักสตรีผู้นี้ แต่นางก็เอ่ยทักทายเรียกท่านอาสะใภ้อย่างสุภาพพลางบอกกับนางว่า “พี่ต้าซานอยู่บ้านเจ้าค่ะ อาสะใภ้ท่านเข้ามานั่งก่อน ข้าจะเข้าไปเรียกเขาให้”

 

พอหญิงผู้นี้มองเห็นหลีโม่ก็หัวเราะ “เจ้าเป็นภรรยาใหม่ของต้าซานงั้นหรือ? หน้าตางดงามเสียจริง”

 

หลีโม่แสร้งก้มหน้าลงและรีบเดินไปเรียกซ่งต้าซานที่หลังบ้าน

 

ตอนที่เดินออกมา สตรีผู้นั้นกำลังหยอกล้ออยู่กับเสี่ยวเป่า

 

“อาสะใภ้ ท่านมาที่นี่มีธุระอันใดหรือขอรับ?”

 

“ไม่ใช่ว่าข้าได้ยินเจ้าบอกว่าจะไปซื้อเมล็ดถั่ววันพรุ่งนี้หรอกหรือ? พรุ่งนี้ข้าก็จะเข้าเมืองเช่นกัน ข้าเลยว่าจะไปจองที่นั่งเกวียนลาที่บ้านเซี่ยเหล่าจู้จึงถามเจ้าว่าเจ้าจะจองด้วยหรือไม่”

 

พอนึกขึ้นมาได้ ซ่งต้าซานก็รีบพยักหน้าทันทีแล้วกล่าวคำขอบคุณ “ต้องขอบคุณท่านอาสะใภ้มาก หากไม่ได้ท่าน ข้าคงลืมไปเสียแล้วว่าจะต้องไปบอกเรื่องนี้กับที่บ้านท่านอาจู้ด้วย เช่นนั้นต้องรบกวนอาสะใภ้ช่วยจองที่นั่งให้ข้าด้วย 2 ที่ ภรรยาข้าจะเข้าเมืองไปกับข้าด้วย”

 

หญิงผู้นั้นตอบตกลงทันที “ได้สิ เช่นนั้นข้าจะไปบอกเขาให้ เจ้ากำลังยุ่งอยู่ อาสะใภ้จะไปตอนนี้เลย”

 

“อาสะใภ้ท่านเดินดี ๆ นะขอรับ”

 

หลังจากส่งหญิงผู้นั้นกลับออกไปแล้ว ซ่งต้าซานก็หันมากล่าวกับหลีโม่ “เมื่อครู่คือท่านอาสะใภ้จ้าวที่อยู่บ้านติดกันนี้ ท่านอาสะใภ้คอยช่วยเหลือข้ากับเสี่ยวเป่าเป็นอย่างดี ต่อไปหากเจ้ามีเรื่องอะไรก็สามารถไปหาอาสะใภ้จ้าวได้”

 

หลีโม่พยักหน้าพลางถามขึ้นว่า “พวกท่านหมายถึงอะไรหรือที่บอกว่าจองที่นั่ง”

 

“อาสะใภ้จ้าวพูดถึงเรื่องจองที่นั่งสำหรับขึ้นเกวียนลา เซี่ยเหล่าจู้ที่อยู่หมู่บ้านข้าง ๆ บ้านของเขามีเกวียนลาสำหรับให้คนโดยสารเข้าตัวเมืองอำเภอ แต่ที่นั่งในเกวียนมีจำกัด ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ที่นั่งกันทุกครั้ง หากต้องการที่นั่งก็ต้องไปจองล่วงหน้าเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นก็ต้องเดินเท้าเข้าเมืองไปเอง”

 

หลังฟังคำอธิบายของซ่งต้าซานแล้ว หลีโม่จึงเข้าใจเรื่องราว พร้อมกันนั้นก็เกิดความสงสัยว่าแต่ละคนต้องจ่ายค่าโดยสารกันคนละเท่าไหร่และเกวียนสามารถนั่งได้ทั้งหมดครั้งละกี่คน

 

ซ่งต้าซานอธิบายว่า “โดยปกติแล้ว นั่งเกวียนไปกลับผู้ใหญ่คนละ 3 อีแปะ เด็กคนละ 1 อีแปะ แต่เด็กไม่มีที่นั่ง จะต้องนั่งบนตักของผู้ใหญ่ แต่ละเที่ยวผู้ใหญ่สามารถนั่งได้ทั้งหมด 15 คน”

 

หลีโม่คิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ด้วยวิธีนี้เงินที่ได้ขั้นต่ำเท่ากับ 45 อีแปะ ถึงแม้ว่าเดินทางไปกลับส่งคนเพียงรอบเดียวในช่วงเช้า เขาก็สามารถทำเงินได้อย่างต่ำ 45 อีแปะแล้ว คนในหมู่บ้านที่ร่างกายแข็งแรงออกไปทำงานพิเศษข้างนอกยังได้รับเงินค่าจ้างเพียง 10 อีแปะเท่านั้น เช่นนั้นการลากเกวียนถือได้ว่าสามารถทำเงินได้มากจริง ๆ หากที่บ้านมีลาอยู่ สามารถลากเกวียนเช่นนี้บ้างไม่ได้หรือ? เพราะเหตุใดถึงได้มีแต่บ้านเซี่ยเหล่าจู้เท่านั้นที่ลากเกวียนเล่า?

 

เมื่อบอกซ่งต้าซานเรื่องที่สงสัยในใจ เขาก็หัวเราะออกมาแล้วอธิบายให้หลีโม่ฟังว่า “ลาตัวหนึ่งราคาประมาณ 6 ตำลึง แพงมากกว่าวัวมากนัก พวกเขาต่างก็เป็นชาวนาไม่ได้มีเงินมากมายถึงขนาดนั้น แต่แม้จะมีเงินมากพอ พวกเขาก็เลือกที่จะซื้อวัวมากกว่าเพราะสามารถเอามาช่วยทำนาได้ ในขณะที่ลาทำงานในทุ่งนาไม่ได้ มันได้แต่เป็นเกวียนลากคนเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดซื้อมันไว้เลยจนบัดนี้”

 

หลีโม่เข้าใจแล้ว นางมองไปที่ซ่งต้าซานและรู้สึกว่างานนี้เหมาะกับเขาเป็นอย่างยิ่ง ซ่งต้าซานขาไม่ดีเดินเหินไม่สะดวก อีกทั้งเป็นเรื่องลำบากเกินไปที่จะทำงานในทุ่งนา หากเขาสามารถลากเกวียนได้ก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นแถมยังสามารถหาเงินได้เป็นอย่างดี

 

หากสามารถทำเงินได้หลีโม่ก็อยากจะลองทำดู

 

ในตอนที่พวกเขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันอยู่นั้น คาดไม่ถึงว่าอาสะใภ้จ้าวจะกลับมาที่บ้านอีกครั้ง ตอนที่เดินเข้ามานางมีสีหน้าย่ำแย่

 

“ท่านอาสะใภ้เกิดเรื่องอันใดหรือขอรับ?” ซ่งต้าซานถาม

 

อาสะใภ้จ้าวนั่งลงบนม้านั่งที่หลีโม่นำมาให้ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาและตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “เซี่ยเหล่าจู้นับวันยิ่งเย่อหยิ่ง ข้าไปจองที่นั่งแต่เขากลับบอกว่าที่นั่งมีน้อย ดังนั้นในหนึ่งครอบครัวจะให้จองที่นั่งได้แค่ 1 ที่เท่านั้นจะจอง 2 ที่ไม่ได้ เพ้ย! ที่นั่งแบบไหนที่ว่าคับแคบ? เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่พูดเช่นนี้มาก่อนเล่า”

 

เนื่องด้วยหมู่บ้านในละแวกนี้มีเซี่ยเหล่าจู้บ้านเดียวที่มีเกวียนลา ดังนั้นเขาจึงหยิ่งยโสขึ้นทุกวัน หากมีผู้ใดที่ไปล่วงเกินเขา อย่าได้คิดว่าจะได้นั่งเกวียนลาของเขาอีกเลย ไม่เพียงเท่านี้ เขายังขึ้นค่าโดยสารจากเดิม 2 อีแปะมาเป็น 3 อีแปะอีกด้วย หากไม่ใช่เป็นเพราะตัวอำเภออยู่ไกลเกินไป คงไม่มีผู้ใดอยากจะไปนั่งเกวียนของเขาเป็นแน่

 

ครั้งนี้ยังมีกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาอีก แต่ละครอบครัวได้ที่นั่งครอบครัวละแค่ 1 ที่เท่านั้น แล้วผู้อื่นควรจะทำเช่นไร?

 

เมื่อได้ยินซ่งต้าซานมีสีหน้าที่ไม่ดีนัก

 

หลีโม่ก็รู้สึกผิดหวังมาก ดูเหมือนว่าครั้งนี้นางจะไม่สามารถไปได้แล้ว

 

หลีโม่ดึงแขนเสื้อซ่งต้าซานแล้วกล่าวว่า “พี่ต้าซาน ข้าไม่ไปแล้ว ท่านไปเถิด”

 

สีหน้าของซ่งต้าซานยังไม่ดีขึ้น เขาไม่ตอบหลีโม่ ทว่าหันไปถามอาสะใภ้จ้าวว่า “อาสะใภ้ พรุ่งนี้เกวียนลาจะออกเดินทางเมื่อใด?”

 

อาสะใภ้จ้าวตอบว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะไปรอที่หน้าหมู่บ้านกันแต่เช้า”

 

ถึงจะโมโหแต่ยังมีงานที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง หลังจากพูดจบอาสะใภ้จ้าวจึงรีบกลับบ้านทันที

 

แม้ว่าหลีโม่จะรู้สึกผิดหวัง แต่ไม่ใช่ว่านางจะไม่สามารถได้ไปที่นั่นตลอดไป ค่อยไปในครั้งหน้าก็ได้ นางจึงปล่อยวางไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป

 

คิดไม่ถึงว่าในวันรุ่งขึ้นซ่งต้าซานปลุกหลีโม่ให้ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง

 

“พี่ต้าซาน เกิดอะไรขึ้น?”

 

“ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเถิด แล้วจะได้เข้าไปในเมือง”

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลีโม่รู้สึกประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่าแต่ละครอบครัวได้ที่นั่งแค่ 1 ที่หรือ? ข้าจะไปได้อย่างไร?”

 

“ไม่เป็นไร ไปได้ ข้าคุยกับคนในหมู่บ้านที่จะลากเกวียนวัวเข้าไปในเมืองแล้ว ข้าจะไปนั่งเกวียนวัวของเขา”

 

“เกวียนลากวัวหรือเจ้าคะ?”

 

“อืม แต่เกวียนวัวช้า ต้องใช้เวลาเดินทางนาน คาดว่ากว่าจะไปถึงในเมืองตลาดเช้าคงจะวายไปก่อนแล้ว แต่ไม่เป็นไร ข้ายังไปซื้อเมล็ดถั่วที่ร้านขายเมล็ดพันธุ์พืชได้ทัน พอเจ้าไปถึงในเมืองเจ้าก็เดินซื้อของกับอาสะใภ้จ้าว ไม่ต้องอยู่รอข้า” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยิบพวงเงินออกมาจากถุงเงินแล้วส่งให้หลีโม่ “พอเข้าไปในเมืองแล้ว เจ้าใช้ซื้อของที่เจ้าต้องการ”

 

หลีโม่ลังเล “พี่ต้าซาน ท่านมีธุระจะต้องไปทำในเมือง นั่งเกวียนวัวจะช้าเกินไป ท่านควรจะนั่งเกวียนลา ข้าไม่ไปแล้ว ไปครั้งหน้าก็เหมือนกัน”

 

ซ่งต้าซานลูบศีรษะนาง “ไม่เป็นไร เจ้าไปอย่างวางใจเถิด ไปเกวียนวัวก็ไม่ได้ทำให้การซื้อเมล็ดพันธุ์ต้องล่าช้าอันใดเลย”

 

“ตกลงเจ้าค่ะ” หลีโม่ตอบรับ

 

“ไม่ต้องกังวล เจ้าไปล้างหน้าเถิด” ซ่งต้าซานพูดจบก็เดินออกไป

 

หลีโม่จึงลุกขึ้นไปล้างหน้า

 

ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น ซ่งต้าซานก็ไปส่งหลีโม่ที่หน้าหมู่บ้านและฝากฝังกับอาสะใภ้จ้าวซึ่งรออยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว

 

“อาสะใภ้จ้าว หลีโม่คงต้องรบกวนท่านแล้ว”

 

เมื่ออาสะใภ้จ้าวได้ยินซ่งต้าซานกล่าวว่าเขาจะนั่งเกวียนวัวก็พยักหน้าให้ทันที “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะพาภรรยาเจ้าไปเอง”

 

ซ่งต้าซานรอเกวียนอยู่กับหลีโม่จนกระทั่งเกวียนบ้านเซี่ยเหล่าซานมาถึง

 

พอเกวียนลาจากไปจนไม่มองเห็นเงาแล้ว ซ่งต้าซานก็เดินเท้ามุ่งหน้าเข้าเมือง

 

ภายในเกวียนอาสะใภ้จ้าวนั่งติดกับหลีโม่และมีหญิงวัยกลางคนที่นางไม่รู้จักนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง

 

อาสะใภ้จ้าวจับมือของหลีโม่ไว้ “สาวน้อย เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วล่ะปีนี้?”

 

เมื่อคิดถึงอายุของร่างเดิมได้ หลีโม่ก็ตอบว่า “ปีนี้ข้าอายุ 17 แล้วเจ้าค่ะ”

 

อาสะใภ้จ้าวพยักหน้า “17 เท่านั้น อายุน้อยกว่าต้าซานมากทีเดียว แต่เป็นเช่นนี้ฝ่ายชายก็จะรักใคร่เอ็นดู”

 

หลีโม่นั่งก้มหน้าลงแสร้งทำเป็นเขินอาย

 

อาสะใภ้มองอาการเขินอายของนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “สาวน้อย ข้าจะบอกเจ้า ได้ใช้ชีวิตร่วมกับต้าซานเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เชื่อคำพูดของอาสะใภ้ได้”

 

หลีโม่หัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับพยักหน้า ซ่งต้าซานเป็นคนที่ดีมากจริง ๆ

 

อาสะใภ้จ้าวถอนหายใจ “ข้าเห็นต้าซานเติบใหญ่ขึ้นมา เขาเป็นเด็กดีแต่กลับมีชีวิตที่ยากลำบากและต้องทนทุกข์มามาก”

 

หลีโม่ได้ยินสิ่งที่อาสะใภ้จ้าวพูดแล้วก็คิดว่าจะต้องมีเรื่องราวเบื้องหลัง นางอดที่จะอยากรู้ขึ้นมาไม่ได้

 

พออาสะใภ้จ้าวเห็นหลีโม่ฟังอย่างตั้งใจ นางก็กล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ทางการต้องการเกณฑ์ทหาร บ้านซ่งไม่มีเงินพอที่จะจ่ายเงินชดเชย พวกเขาจึงผลักไสให้ต้าซานออกไปเป็นทหาร คนบ้านซ่งคิดว่าเขาคงจะไม่รอดกลับมาแน่ เพื่อรักษาชื่อเสียงของครอบครัวตนเอาไว้ พวกเขาจึงบอกว่าจะจัดการเรื่องแต่งภรรยาให้ต้าซานเรียบร้อยก่อน แล้วพวกเขาก็เร่งรีบเลือกหญิงที่ชื่อเสียงไม่ดีนักคนหนึ่งมาแต่งให้กับต้าซาน หลังจากแต่งภรรยาได้ไม่กี่วัน ต้าซานก็จากไปเป็นทหารไม่เคยได้กลับมา หลังจากนั้นไม่นานนักภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ ทว่านางโชคร้ายจากไปในตอนให้กำเนิดเสี่ยวเป่า”

 

อาสะใภ้จ้าวเล่าพร้อมกับถอนหายใจ “เพียงแต่เสี่ยวเป่าช่างน่าเวทนานัก เวลานั้นเป็นข้าเองที่เป็นคนไปเชิญผู้นำตระกูลมา เพื่อให้คนบ้านซ่งให้คำมั่นสัญญาว่าจะเลี้ยงดูเสี่ยวเป่า แต่เสี่ยวเป่ากลับต้องมีชีวิตเช่นนั้น มันช่าง เฮ้อ....”

 

ถึงตอนนี้หลีโม่จึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

 

ต้องเป็นบ้านตระกูลซ่งที่ใช้เรื่องเลี้ยงดูเสี่ยวเป่ามาเป็นข้ออ้างให้การเรียกค่าเลี้ยงดูจากซ่งต้าซานเป็นเงิน 8 ตำลึง

 

เมื่อคิดถึงสภาพที่ผอมแห้งและน่าสงสารของเสี่ยวเป่าแล้ว หลีโม่ก็รู้สึกเศร้าใจ

 

หากจะกล่าวว่าเรื่องที่ซ่งต้าซานเคยมีภรรยามาก่อนหน้านี้ นางไม่มีความรู้สึกคับข้องใจอันใดอยู่เลยก็คงพูดเช่นนั้นไม่ได้ นางเกรงว่าในใจของเขาจะยังมีหญิงอีกคนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งคู่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้

 

ทว่าตอนนี้เมื่อได้ยินเรื่องที่อาสะใภ้จ้าวเล่าทำให้รู้ว่าซ่งต้าซานไม่ได้มีความรู้สึกอันใดเป็นพิเศษกับภรรยาเก่า นางจึงรู้สึกโล่งใจขึ้น

 

นั่งพูดคุยกันมาตลอดทางหลีโม่ได้รับรู้เรื่องราวของซ่งต้าซานมากมาย ที่สุดพวกเขาก็มาถึงตัวเมืองอำเภอ คาดว่าน่าจะใกล้เคียงกับเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งในยุคปัจจุบัน

 

อาสะใภ้จ้าวจะไปซื้อผ้าที่ร้านขายผ้า ที่แท้บุตรสาวของนางกำลังจะแต่งงานในเดือนหน้า

 

เพียงแต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้อาสะใภ้จ้าวดูจะไม่มีความสุขนัก นางดูเหมือนมีเรื่องทุกข์ใจ

 

หลีโม่รู้สึกงุนงง “อาสะใภ้ ท่านไม่เต็มใจจะแต่งลูกสาวของท่านแต่งออกไปหรือเจ้าคะ?”

 

อาสะใภ้จ้าวถอนใจแล้วเล่าให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง “เจ้าเพิ่งจะมาอยู่ที่หมู่บ้านเลยไม่รู้อะไร เมื่อ 2-3 ปีก่อนฉินฮวาลูกสาวของข้าเคยถูกไฟลวกเข้าที่ใบหน้า รักษามาหลายปีก็ไม่หายสนิท ยังมีรอยแผลเป็นหลงเหลืออยู่เล็กน้อยบนใบหน้า นี่กำลังจะแต่งงาน แล้วจะไม่ให้ข้ากังวลได้อย่างไรกันเล่า?

 

หลีโม่ไม่เข้าใจ “อีกฝ่ายไม่รู้ว่าใบหน้าของฉินฮวามีรอยแผลเป็นอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”

 

อาสะใภ้จ้าวสั่นหน้า “ฉินฮวากับเขาเป็นคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่* ทั้งคู่ตกลงใจหมั้นหมายกัน ฉินฮวามีรอยแผลบนใบหน้า เขาเองก็รู้เรื่อง แต่เขาจริงใจกับฉินฮวา ไม่ได้รังเกียจในเรื่องนี้และเต็มใจจะแต่งกับนาง”

*เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึงเพื่อนเล่นที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กจนเติบโตมาเป็นคู่รักกัน

 

“นี่ก็เป็นเรื่องดีนี่เจ้าค่ะ ในเมื่อเขาไม่ได้รังเกียจฉินฮวา ท่านเป็นกังวลเพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ?”

 

“เฮ้อ เขาไม่ได้รังเกียจฉินฮวาก็จริง แต่พ่อแม่ของเขาไม่พอใจในตัวฉินฮวามากนัก หากไม่ใช่เพราะเขายืนกรานอย่างหนักแน่นแล้วละก็ฉินฮวาอาจจะไม่ได้แต่งออกไปหรอก ในวันแต่งงานอาสะใภ้ของทางฝั่งเจ้าบ่าวจะมาดูหน้าเจ้าสาว แต่เห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าฉินฮวาแล้วข้าไม่รู้จะปกปิดอย่างไรดี? หากพ่อแม่สามีของนางต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าเหล่าญาติ ๆ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะดีกับฉินฮวาได้อย่างไรกัน” อาสะใภ้จ้าวกล่าวเสียงสะอื้น

 

ถึงตอนนี้หลีโม่ถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดอาสะใภ้จ้าวถึงได้วิตกกังวลนัก

 

 

แรงบันดาลใจอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ จู่ ๆ นางก็คิดออกว่าจะหาเงินมาได้อย่างไร

 

ใช่แล้ว แม้ว่าที่นี่จะไม่มีคนดังหรือคนมีชื่อเสียง นางก็ยังสามารถแต่งหน้าให้กับเจ้าสาวได้นี่นา การแต่งงานนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาต้องเต็มใจที่จะใช้เงินในโอกาสที่สำคัญเช่นนี้แน่

 

หลีโม่ใจเต้นแรง นางเกิดความหวังที่จะร่ำรวยขึ้นมา

 

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป