ตอนที่ 6 ลู่ทางหาเงิน
หลีโม่มองไปที่อาสะใภ้จ้าว “ท่านอาสะใภ้ ท่านไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ข้ามีวิธี”
อาสะใภ้จ้าวประหลาดใจ “เจ้ามีวิธีงั้นหรือ? วิธีใด?”
หลีโม่ยิ้ม “ท่านอาสะใภ้ ข้าสามารถแต่งหน้าปกปิดรอยแผลเป็นให้ฉินฮวาได้เจ้าค่ะ”
ความหวังที่เพิ่งผุดขึ้นในใจอาสะใภ้จ้าวดับสลายลงไปทันที สีหน้าของนางแสดงความผิดหวังอย่างชัดเจน “ไม่ได้ผลหรอก พวกข้าก็เคยคิดถึงเรื่องลงแป้งกลบรอยแผลเป็นมาก่อนแล้ว ทว่าการลงแป้งไม่สามารถจะปกปิดรอยแผลได้ และหากลงแป้งมากจนเกินไป ใบหน้าไม่เพียงแต่จะเหมือนปีศาจเท่านั้น แต่ยังดูอัปลักษณ์เสียยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่แต่งหน้าอีก อีกทั้งแป้งยังหลุดร่อนออกไปได้ง่ายอีกด้วย ติดใบหน้าได้ไม่นาน”
จากความทรงจำของร่างเดิม หลีโม่จำได้ว่าการลงแป้งฝุ่นในยุคสมัยนี้ยังทำได้ไม่ดีนัก หากลงแป้งมากเกินไป ผงแป้งก็จะสามารถหลุดร่อนออกไปได้อย่างง่ายดายแถมยังหน้ายังดูหน้าขาวราวกับเป็นปีศาจ คนหน้าตาไม่ดีพอแต่งหน้าแล้วก็ยิ่งจะดูอัปลักษณ์
อย่างไรก็ตาม มือคู่นี้ของหลีโม่ได้รับขนานนามว่ามือมีดศัลยกรรมด้วยเครื่องสำอาง คนดังมากมายเต็มใจที่จะจ่ายเงินมหาศาลเพื่อจ้างนางไปเป็นช่างแต่งหน้าประจำตัวให้
ไม่ต้องพูดถึงแค่รอยแผลเป็นเล็ก ๆ เลย แม้กระทั่งใบหน้าอย่างพี่สาวเฟิง* นางก็สามารถแต่งออกมาให้เหมือนฟ่านปิงปิง**ได้เช่นกัน
*หมายถึง 罗玉凤 ที่คนจีนรู้จักในชื่อ‘พี่สาวเฟิง’ เธอเป็นคนดังทางอินเทอร์เน็ตในช่วงปี 2009
**ฟ่านปิงปิง ดารานักแสดงชื่อดังของจีน
หลีโม่ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจพลางกล่าวกับอาสะใภ้จ้าว “อาสะใภ้ ทักษะในการแต่งหน้าของข้าแตกต่างจากคนทั่วไป ข้าสามารถแต่งใบหน้าของฉินฮวาให้ออกมางดงามได้โดยไม่ให้เห็นรอยแผลเป็นเลย อาสะใภ้ หากท่านเชื่อใจข้า ข้าสามารถไปแต่งหน้าฉินฮวาให้ท่านดูก่อนล่วงหน้าได้ ถึงเวลานั้นหากผลออกมาไม่ดี ก็ไม่มีผลกระทบอันใดต่อท่าน”
อาสะใภ้จ้าวก็คิดเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่จะลองดูก่อน อีกทั้งหลีโม่ก็มาจากตระกูลใหญ่ บางทีนางอาจมีวิธีการพิเศษบางอย่างจริง ๆ ก็ได้
เมื่อคิดดูแล้วอาสะใภ้จ้าวก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที นางรีบพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมทั้งอยากจะรีบกลับบ้านเพื่อให้หลีโม่ได้ไปลองแต่งหน้าให้กับฉินฮวาในตอนนี้เลย
หลีโม่หัวเราะมิได้ร่ำไห้ไม่ออกแล้วรีบจับตัวอาสะใภ้จ้าวเอาไว้ “อาสะใภ้ พวกเรายังไม่ได้ซื้ออะไรเลย ข้าอยากจะซื้อเครื่องแป้งบางอย่างด้วย ไม่อย่างนั้นจะแต่งหน้าให้ฉินฮวาได้อย่างไรเจ้าคะ”
พออาสะใภ้จ้าวได้ยินดังนี้ นางก็ตบหัวตนเอง “ใช่แล้ว ข้าก็ตื่นเต้นมากเกินไป เช่นนั้นเราไปซื้อของกันก่อน”
กล่าวจบนางก็พาหลีโม่ไปที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ทว่าหลีโม่พบว่าสินค้าในร้านค้าแห่งนี้ไม่สามารถใช้การได้ แป้งที่ขายอยู่มีคุณภาพต่ำ นางไม่สามารถใช้ของเช่นนี้ได้
ด้วยเหตุนี้นางจึงชวนอาสะใภ้จ้าวไปยังร้านขายเครื่องแป้งอีกแห่งที่ดูค่อนข้างหรูหรา
ร้านขายเครื่องแป้งแห่งนี้กว้างขวางและตกแต่งร้านได้ดีทีเดียว พอเห็นพวกนางเดินเข้ามาในร้าน หญิงเจ้าของร้านก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองโดยไม่ได้ใส่ใจว่าพวกนางแต่งกายไม่ดีนัก ซึ่งทำให้หลีโม่รู้สึกประทับใจร้านนี้มาก
หญิงเจ้าของร้านน่าจะอายุราว 30 ปี นางกล้าผมมวยและแต่งหน้าอย่างประณีตสำหรับในคนยุคนี้ นางดูบอบบางและงดงามทีเดียว
หลีโม่ถือโอกาสตอนเจ้าของร้านเดินเข้ามาต้อนรับ สังเกตการแต่งหน้าบนใบหน้าของนางอย่างระมัดระวัง มันดูประณีตกว่าการแต่งหน้าของคนธรรมดาทั่วไปมาก ทว่าหลีโม่ก็ยังคิดว่าการแต่งหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติมากนัก แต่เห็นได้ชัดว่านางใช้ของที่มีคุณภาพดี
หญิงเจ้าของร้านผู้นี้จะต้องใช้แป้งทาหน้าที่มีคุณภาพ มิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาคงไม่ดีเช่นนี้
เจ้าของร้านต้อนรับหลีโม่และอาสะใภ้จ้าวอย่างดี “พวกท่านต้องการจะซื้อหาสิ่งใดบ้าง? ร้านข้ามีสินค้าเกือบทุกประเภท”
อาสะใภ้จ้าวหันไปมองที่หลีโม่ หลีโม่หัวเราะเบา ๆ บอกกับเจ้าของร้านว่า “เถ้าแก่เนี้ย ข้าอยากจะได้เครื่องแป้งแต่งหน้าหลัก ๆ บางอย่างเช่น แป้งทาหน้า ผงเขียนคิ้ว ขี้ผึ้งทาริมฝีปากแล้วก็ชาดสี(1)”
เถ้าแก่เนี้ยฟังแล้วก็ผายมือนำทางพวกนาง “เชิญทางนี้ ข้าจะพาพวกท่านไปดูสินค้า”
ว่าแล้วเถ้าแก่เนี้ยก็เดินนำหลีโม่ไปที่โต๊ะวางสินค้า พร้อมกับแนะนำสินค้าทีละชิ้น นอกจากนี้ยังให้ทดลองใช้สินค้าก่อนด้วย ซึ่งทำให้หลีโม่รู้สึกว่าต่อไปในอนาคตการค้าของร้านแห่งนี้จะต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่
หลีโม่ทดลองสินค้ากับผิวของตน ทว่าไม่มีชิ้นไหนที่ถูกใจนางเลย ในความเห็นของหลีโม่แม้แต่แป้งที่ดีที่สุดก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามนี่คือข้อจำกัดของสินค้าในยุคโบราณ นางไม่มีทางเลือกอื่น
สุดท้ายหลีโม่ก็เลือกแป้งทาหน้า ผงเขียนคิ้ว ชาดสีและชาดทาปากมาอย่างละตลับ นางยังซื้อน้ำมันทาหน้ามาด้วยซึ่งก็คือครีมทาหน้าของยุคโบราณนั่นเอง
ของที่นางซื้อครั้งนี้คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 300 อีแปะ ซึ่งทำให้นางรู้สึกราวกับว่าตนเป็นภรรยาที่ล้างผลาญใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย
ด้วยกังวลว่าจะมีเงินไม่พอ หลีโม่รีบหยิบเงินที่ซ่งต้าซานให้ไว้ขึ้นมานับดู มีเงินทั้งหมด 500 อีแปะ นับว่าเยอะมากทีเดียว เขาไปเอาเงินมาจากไหน? ที่บ้านไม่น่าจะมีเงินเหลืออยู่แล้ว
หลีโม่สะกดกลั้นความสงสัยเอาไว้แล้วนับเงิน 300 อีแปะส่งให้เถ้าแก่เนี้ย จากนั้นก็เดินออกจากร้านโดยมีเถ้าแก่เนี้ยเดินออกมาส่ง
อาสะใภ้จ้าวรู้สึกตกใจกับการใช้เงินอย่างมือเติบของหลีโม่ นางซื้อเครื่องแป้งแต่งหน้าทั้งหมดเป็นเงินถึง 300 อีแปะในคราวเดียวซึ่งนับว่าแพงมาก
หลีโม่รับรู้ถึงความแคลงใจของอาสะใภ้จ้าวจึงอธิบายอย่างใจเย็นว่า “อาสะใภ้ เครื่องสำอางควรจะซื้อของที่มีคุณภาพดี ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์จะออกมาไม่ดี และยังไม่เป็นผลดีต่อผิวพรรณด้วย”
อาสะใภ้จ้าวไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้นัก แต่สิ่งที่หลีโม่พูดก็ฟังดูมีเหตุผล นางจึงพยักหน้า
สถานที่ถัดไปหลีโม่ชวนอาสะใภ้จ้าวไปร้านขายยา
เหตุผลที่หลีโม่ต้องการไปร้านขายยาก็เนื่องมาจากนางต้องการจะซื้อของสำคัญบางอย่าง
ในชาติที่แล้วนางมีทีมงานเบื้องหลังที่ศึกษาเกี่ยวกับเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว รวมถึงสูตรของผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธรรมชาติ ส่วนผสมทั้งหมดล้วนได้มาจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ ส่วนประกอบหลากหลายชนิดถูกนำมาผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อนำมาใช้ทาบนใบหน้า หลังจากใช้ไปนาน ๆ ก็จะช่วยทำให้ผิวพรรณขาวกระชับขึ้น ในเวลาที่แต่งหน้าจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติและติดทนนาน หลีโม่เคยทดลองใช้แป้งรองพื้นที่คุณภาพแย่ที่สุดร่วมกับครีมสูตรนี้ผลปรากฏว่าแต่งหน้าออกมาได้ดีทีเดียว
หลีโม่จำวัตถุดิบที่ใช้ในสูตรนี้ได้ ของเหล่านี้ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยไหนก็สามารถหาซื้อได้ โดยปกติแล้วของพวกนี้จะมีขายอยู่ในร้านขายยา
หลีโม่ไปร้านขายยาเล็ก ๆ 2-3 แห่งก่อน น่าเสียดายที่ไม่มีของเหล่านี้ขายอยู่ สุดท้ายหลีโม่ก็ไปพบที่ร้านขายยาขนาดใหญ่ นางจึงซื้อของที่ต้องการมาจนครบทุกอย่าง
หลังจากซื้อของเสร็จนางก็ไม่มีเงินเหลืออยู่เลย
ไม่รู้ว่าเมื่อซ่งต้าซานมาถึงที่นี่แล้ว เขาจะต่อว่านางหรือไม่
หลังจากซื้อของเสร็จแล้วนางก็ตามอาสะใภ้จ้าวไปที่ร้านขายผ้า เมื่อทั้งคู่ซื้อของเสร็จก็เป็นเวลาสายมากแล้ว ผู้คนในตลาดเริ่มเบาบางลงไปกว่าครึ่ง
อาสะใภ้จ้าวอยากจะพาหลีโม่กลับหมู่บ้านด้วยกัน แต่หลังจากที่ชั่งใจดูแล้วหลีโม่ได้ตอบปฏิเสธไป
ถึงแม้ซ่งต้าซานจะบอกไว้ว่าให้นางกลับไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอเขา แต่หลีโม่ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี นางอยากจะอยู่ที่นี่เพื่อรอซ่งต้าซานก่อน ดังนั้นจึงบอกความคิดนี้กับอาสะใภ้จ้าว อีกฝ่ายนิ่งคิดชั่วครู่ก่อนที่จะตามใจนาง จากนั้นก็บอกที่ตั้งของร้านขายเมล็ดพันธุ์พืชและบอกให้หลีโม่ไปรอซ่งต้าซานที่นั่น
หลีโม่ไปร้านขายเมล็ดพันธุ์พืชตามที่อาสะใภ้จ้าวแนะนำ นางถามหาซ่งต้าซานกับเถ้าแก่ร้านทำให้รู้ว่าซ่งต้าซานยังมาไม่ถึง หลีโม่ไปยืนรอเขาที่มุมถนนไม่ไกลจากร้านนักและคอยมองหาซ่งต้าซาน
หลีโม่รออยู่ประมาณหนึ่งเค่อ*ก็เห็นซ่งต้าซานมาจากระยะไกล ทว่าในตอนที่นางกำลังจะเข้าไปหาเขา นางก็ต้องชะงักงันไป
*เวลาหนึ่งเค่อเท่ากับ 15 นาที
ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ผิดปกติไปในตัวซ่งต้าซาน
ขาข้างซ้ายของเขาไม่สามารถจะเดินได้เหมือนเช่นเคย ในเวลานี้ขาซ้ายของเขาลากไปกับพื้นตามการก้าวเดินของขาขวา ราวกับเป็นเครื่องประดับร่างกายอย่างหนึ่ง ขาขวาของเขาก็ดูอ่อนแรงเต็มที
เขาดูอ่อนล้าไปทั้งร่างราวกับจะสูญเสียการทรงตัวได้ทุกขณะ
การนั่งเกวียนวัวทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้ว หลีโม่ก็หายใจติดขัดและรู้สึกทุกข์ใจขึ้นทันที
เขาหลอกนาง ที่จริงไม่มีเกวียนวัวอยู่เลย เขาเดินมาด้วยขาที่พิการของตนจากหมู่บ้านจนมาถึงที่นี่!
ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการนั่งเกวียนมาที่นี่ แล้วเขาต้องใช้เวลานานเท่าใดในการเดินเท้ามาที่นี่?
ถึงตอนนี้หลีโม่อดใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป นางรีบวิ่งเข้าไปหาซ่งต้าซานผู้ซึ่งกำลังยืนนิ่งอึ้งอยู่เมื่อได้เห็นนาง
หลีโม่เอ่ยเสียงสั่นเครือว่า “ข้าเสียใจนัก ท่านหลอกข้าหรือ? ที่แท้ไม่มีเกวียนวัว ท่านเดินมาที่นี่!”
สีหน้าซ่งต้าซานแข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย เขานิ่งอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
การไม่พูดของเขาเท่ากับเป็นการยอมรับ
หลีโม่ที่ดวงตาแดงก่ำเข้าไปทุบตีตัวซ่งต้าซานอย่างโกรธเคือง “เหตุใดท่านถึงไม่ใส่ใจร่างกายของตัวเองบ้าง? ท่านเดินเท้าระยะทางไกลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? แม้แต่คนปกติยังไม่สามารถจะเดินได้ไกลขนาดนี้เลย!”
ซ่งต้าซานเห็นดวงตานางแดงก่ำก็รู้สึกสับสนทำอะไรไม่ถูก
“อย่าร้อง อย่าร้องไห้เลย ข้าไม่เป็นไร”
หลีโม่เพิ่งจะตระหนักว่าน้ำตาของตนกำลังจะไหลออกมาจึงรีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดตา นางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามสงบใจ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปประคองตัวซ่งต้าซานแล้วพาเขาเข้าไปนั่งพักที่เพิงร้านน้ำชาข้างทาง
หลีโม่บอกให้ซ่งต้าซานนั่งลง จากนั้นนางก็นั่งยอง ๆ แล้วยกชายขากางเกงข้างซ้ายของเขาขึ้นมาดู ขาซ้ายของซ่งต้าซานมีรอยเขียวคล้ำและบวมเปล่งไปทั้งขา ดูน่ากลัวมาก
หลีโม่เม้มปากแล้วนวดหัวเข่าให้เขาพร้อมถามว่า “ท่านปวดกระดูกหรือไม่?”
ซ่งต้าซานสั่นศีรษะ
หลีโม่ไม่เชื่อ โดยไม่เอ่ยอะไรนางช่วยประคองตัวซ่งต้าซานให้ลุกขึ้น “ไปโรงหมอกันเถิด”
ซ่งต้าซานรีบดึงตัวหลีโม่เอาไว้ “ไม่ต้องไปโรงหมอหรอก หมอที่นี่ไม่ความสามารถพอที่จะช่วยรักษาขาของข้าได้”
หือ? หมอที่นี่ไม่มีความสามารถพออย่างนั้นหรือ?
เช่นนั้นหมายความว่ามีหมออื่นที่มีความสามารถมากพออย่างนั้นหรือ? แสดงว่าขาของเขายังสามารถรักษาให้หายได้
“มีหมอที่สามารถรักษาขาให้ท่านได้เช่นนั้นหรือ?”
ซ่งต้าซานลังเลไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้ารับ “อืม ข้าได้รับบาดเจ็บมาจากสนามรบ เมื่อกลับมาข้าได้มาหาหมอในเมืองนี้ หมอที่นี่บอกว่าไม่สามารถรักษาข้าได้ ต่อมาข้าไปโรงหมอในเมืองที่ว่าการ หมอที่นั่นสามารถรักษาได้ ทว่า...”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ซ่งต้าซานก็หยุดชะงัก
หลีโม่พูดต่อในสิ่งที่เขาไม่ได้เอ่ยออกมา “ต้องใช้เงินมากใช่หรือไม่?”
ซ่งต้าซานนิ่งเงียบก่อนที่จะพยักหน้ารับ
“ต้องใช้เงินเท่าใด?”
“อย่างน้อย 30 ตำลึง”
30 ตำลึง!
หลีโม่รู้สึกว่าการต้องหาเงินเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่งในเวลานี้
หลังจากซ่งต้าซานนั่งพักไปชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว เขาก็ไปซื้อเมล็ดถั่วลิสงโดยมีหลีโม่คอยช่วยพยุง
ขากลับ หลีโม่ไม่ยินยอมให้เขาเดินกลับไปเช่นนั้นอีกแล้ว
ตอนนี้เกวียนลาที่นั่งมากลับหมู่บ้านไปแล้ว หลีโม่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหาเกวียนลาเล่มอื่นกลับ นางพบว่ามีเกวียนลารอรับจ้างลากของอยู่มากมายบนถนน
หลีโม่หันไปหาซ่งต้าซาน “พี่ต้าซาน พี่ยังมีเงินเหลืออยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
ซ่งต้าซานเห็นเกวียนลาที่จอดอยู่ตามข้างทางเช่นกันและเข้าใจความหมายของหลีโม่ แต่เขาชะงักไปแล้วสั่นหน้า
ของมีค่าที่มีเขาให้นางไปแล้ว เว้นแต่เงินที่เก็บไว้ซื้อเมล็ดพันธุ์พืช ที่เหลือเขาให้หลีโม่ไปทั้งหมด
หลีโม่นึกถึงของที่ตนเองซื้อมาก็นิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะอธิบายกับซ่งต้าซาน “พี่ต้าซาน ข้าใช้เงินที่ท่านมอบให้หมดแล้ว ข้าเอาไปซื้อเครื่องแป้งแต่งหน้ามา” ว่าแล้วนางก็เอาของออกมาให้ซ่งต้าซานดู
ซ่งต้าซานไม่พูดอะไรแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น
เมื่อเห็นซ่งต้าซานไม่เอ่ยอะไรออกมา หลีโม่ก็อธิบายเพิ่มว่า “พี่ต้าซาน ข้าไม่ได้ซื้อของเหล่านี้มาใช้เอง ข้าจะลองแต่งหน้าผู้อื่นเพื่อหาเงิน”
เมื่อซ่งต้าซานได้ยินดังนั้นแววตาของเขาก็สั่นไหวเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา จากนั้นเขาก็หันมาพูดว่า “เรากลับกันเถิด ข้าเดินไหว”
หลีโม่สั่นหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่เจ้าค่ะ!”
ทันทีที่พูดจบหลีโม่ก็คิดทางออกขึ้นมาได้
..................................................................
(1) เยียนจือ (胭脂) ชาดชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นผงอัดแข็งหรือครีม ทำขึ้นมาจากเม็ดสีของดอกไม้
ผงแป้งทาหน้า
ผงเขียนคิ้ว
Credit ภาพจาก https://www.chinoy.tv/ancient-chinese-makeup/
ทุกวัน