ตอนที่ 3 บ้านตระกูลซ่ง
ตอนที่ซ่งต้าซานกลับมาถึง ทั้งบ้านเงียบสงบมาก เขาวางจอบลงแล้วมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นผู้ใดเลย จนสุดท้ายเมื่อเดินเข้าไปในห้องเขาก็ได้เห็นภาพแสนหวานของหนึ่งร่างโตหนึ่งร่างเล็กนอนกอดกันอยู่
ซ่งต้าซานจ้องมองไปที่ร่างทั้ง 2 ที่ต่างก็กอดกันและกันด้วยความตื่นตะลึง ในใจเขาเกิดความรู้สึกตื้นตันขึ้นเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้กับคำที่ผู้คนมักจะกล่าวว่ามีภรรยาและบุตรไว้อุ่นเตียงเตา*
*เปรียบได้กับการมีชีวิตที่ดีและเรียบง่าย
ดูเหมือนการแต่งกับภรรยาตัวน้อยผู้นี้จะไม่ใช่เรื่องที่แย่อันใด
ซ่งต้าซานไม่รบกวนการนอนของคนทั้งคู่ เขาเดินออกจากห้องไปที่ห้องครัวเงียบ ๆ และเริ่มทำอาหารเย็น
ในตอนที่หลีโม่ตื่นขึ้นมา นางเห็นเด็กน้อยในอ้อมแขนกำลังจ้องมองมาที่ตนด้วยดวงตากลมโตโดยไม่ได้เอ่ยอะไร
หลีโม่ยิ้มแล้วจุมพิตลงที่หน้าผากของเสี่ยวเป่าเบา ๆ “เสี่ยวเป่าตื่นแล้ว”
เสี่ยวเป่าไม่คิดว่าจะถูกจูบจึงรู้สึกเขินอายขึ้นอย่างกะทันหัน เขายกมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างขึ้นปิดใบหน้าน้อย ๆ ของตนเอาไว้
หลีโม่เอ็นดูกับท่าทางของเขาจึงจูบเขาอีกครั้งแล้วก็กอดตัวเขา “เสี่ยวเป่า ดูเหมือนว่าจะเย็นมากแล้ว เราไปดูกันว่าท่านพ่อของเจ้ากลับมาหรือยัง”
เสี่ยวเป่าค่อย ๆ ลดมือที่ปิดหน้าของตนลงพลางพยักหน้าแล้วลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าที่วางอยู่ด้านข้างเตียงขึ้นมาใส่เองได้อย่างถูกวิธี
หลีโม่พบว่าเด็กคนนี้รู้ความมาก ด้วยวัยเพียงเท่านี้เขาสามารถกินอาหารและสวมใส่เสื้อผ้าได้ด้วยตัวเอง เป็นไปได้ไหมว่าเด็กจากครอบครัวยากจนจะดูแลตัวเองได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ?
หลีโม่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วจึงพาเสี่ยงเป่าลงจากเตียง ใส่รองเท้าให้เขา จากนั้นก็พาเขาออกมานอกห้อง
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากในห้องครัว หลีโม่จึงพาเสี่ยวเป่าไปที่ห้องครัว นางเห็นซ่งต้าซานกำลังนั่งจุดไฟอยู่ที่ข้างเตา
“พี่ต้าซาน ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
พอซ่งต้าซานเห็นพวกเขาก็พยักหน้า “รออีกสักหน่อย ข้าวใกล้จะเสร็จแล้ว”
หลีโม่รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย ซ่งต้าซานต้องกลับมาทำอาหารหลังจากที่ไปทำงานมาทั้งวัน ในขณะที่นางนอนหลับเพิ่งจะตื่นขึ้นมาในตอนนี้ราวกับเป็นตัวมอดรอกัดกินข้าว หากคนในหมู่บ้านรู้ นางคงจะต้องถูกตำหนิเป็นแน่ ต่อไปนางจะต้องไม่ทำเช่นนี้อีก
ทว่าเมื่อเห็นไฟในเตากำลังลุกไหม้อยู่ หลีโม่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองยังไม่รู้วิธีก่อไฟกับเตาเช่นนี้เลย หากต้องการจะทำอาหาร นางจะสามารถทำได้หรือ
หลีโม่รู้สึกว่าสิ่งแรกที่นางต้องเรียนรู้คือวิธีการก่อไฟ
ก่อนที่หลีโม่จะทันเห็นวิธีการก่อไฟ อาหารเย็นก็เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้ว อาหารเหมือนมื้อกลางวันเพียงแต่น้อยกว่า
เมื่อตอนกลางวันหลีโม่ไม่ได้กินอะไรมากนัก และเจ้าของร่างเดิมก็อดอาหารมาหลายมื้อ ในเวลานี้นางจึงรู้สึกหิวมาก ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่าอาหารยังคงฝืดคอเช่นเดิม หลีโม่ก็พยายามที่จะกลืนมันลงไป
เมื่อกินอาหารไปได้ครึ่งทางก็มีคนเดินเข้ามาในบ้าน
เสี่ยวเป่าเป็นคนแรกที่มองเห็นและตะโกนทักทายออกไป “ท่านย่า”
หลีโม่และซ่งต้าซานถึงได้มองเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา
ผู้ที่มาหาเป็นหญิงชราอายุราว 50 ปี รูปร่างผอม หลังโก่งเล็กน้อย ผิวหยาบกร้านและดำคล้ำ เส้นผมเป็นสีเทาเกือบทั้งศีรษะ เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เก่าโทรม นางดูเหมือนคนที่ตรากตรำมาหลายปี
ที่แท้นางคือมารดาของซ่งต้าซานและเป็นท่านย่าของเสี่ยวเป่า
เมื่อเห็นมารดาของตน ซ่งต้าซานลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เอ่ยเชื้อเชิญท่านแม่ซ่งให้เข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร “ท่านแม่ พวกเรากำลังกินข้าวกันอยู่ ข้าจะไปเอาถ้วยข้าวมาให้ท่าน”
จากนั้นก็เตรียมจะเดินเข้าไปห้องครัว
ท่านแม่ซ่งรีบดึงตัวบุตรชายเอาไว้ “ไม่ต้อง ข้าเพิ่งกินมา เจ้ารีบกินข้าวก่อนเถิด”
“ท่านแม่ ท่านกินมาแล้วจริง ๆ หรือ?”
ท่านแม่ซ่งพยักหน้า “ข้ากินมาแล้วจริง ๆ เจ้ารีบกินเถิด”
ตั้งแต่เข้ามาในบ้านท่านแม่ซ่งจะคอยชำเลืองมองไปที่หลีโม่อยู่หลายครั้ง นางรู้ว่านี่คือสะใภ้ที่บุตรชายของตนไปซื้อตัวมา พวกชาวบ้านต่างก็พากันพูดถึงเรื่องที่บุตรชายคนรองของนางใช้เงินซื้อตัวภรรยามาในราคาที่สูงลิ่ว สะใภ้ใหญ่ของนางก็เอาแต่พูดถึงเรื่องนี้ที่บ้านทั้งวัน เดิมทีนางยังไม่เชื่อถือนัก ทว่าตอนนี้นางต้องเชื่อแล้ว
ท่านแม่ซ่งกระแอมพลางเอ่ยถามซ่งต้าซาน “ต้าซาน นี่เป็นภรรยาที่เจ้าซื้อตัวมาเมื่อวานนี้รึ?”
ซ่งต้าซานเหลือบตามองไปที่หลีโม่ก็เห็นนางก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ เขาจึงพยักหน้าและตอบมารดาไปว่า “ท่านแม่ นางมีนามว่าหลีโม่”
ท่านแม่ซ่งชำเลืองไปที่หลีโม่อีกครั้ง พร้อมกับคิดในใจว่าตั้งแต่เกิดมานางยังไม่เคยเห็นเด็กสาวที่หน้าตางดงามเช่นนี้มาก่อนเลย ทว่าอย่างไรนางก็แค่หน้าตาดูดีเท่านั้น ความงามไม่ได้ช่วยให้อิ่มท้องได้ ดูจากท่าทางที่อ่อนแอและบอบบางนั้นแล้ว ดูราวกับนางจะไม่สามารถยกสิ่งของที่มีน้ำหนักได้เลย อีกทั้งยังต้องใช้เงินถึง 2 ตำลึงเพื่อซื้อตัวนางมา หากเพิ่มเงินมากขึ้นอีกสักหน่อยก็สามารถซื้อวัวมาได้ตัวหนึ่งแล้ว
นางอดคิดตำหนิบุตรชายคนรองไม่ได้ว่าไม่มาหารือกับพวกตนเสียก่อน
ท่านแม่ซ่งคิดอยากจะกล่าวคำพูดสัก 2-3 คำกับซ่งต้าซาน ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ถูกซื้อตัวกลับมาแล้วก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์อันใด นางไม่สามารถกล่าวอันใดต่อหน้าหลีโม่ได้ จึงได้แต่กลืนถ้อยคำต่าง ๆ ลงไป พร้อมกันนั้นก็นึกถึงจุดประสงค์ที่บุตรชายคนโตและสะใภ้ใหญ่ให้นางมาที่นี่ได้ นางลดสายตาลงและชั่วขณะหนึ่งนางไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นเอ่ยปากอย่างไร
เมื่อเห็นท่านแม่ซ่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไร บรรยากาศเริ่มน่าอึดอัด ซ่งต้าซานจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “ท่านแม่มาวันนี้มีอะไรหรือเปล่าขอรับ?”
พอซ่งต้าซานเอ่ย ท่านแม่จึงถอนใจโล่งอกแล้วตอบคำถามของซ่งต้าซานว่า “คือว่า ต้าซาน เรื่องมันเป็นอย่างนี้”
เมื่อเอ่ยออกไปแล้วสีหน้าของนางก็แข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย นางชำเลืองมองไปที่หลีโม่ผู้ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างจริงจัง แล้วก็กัดฟันพูดต่อไปว่า “ถึงเวลาที่ลูกของพี่ใหญ่ของเจ้าจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว พี่ใหญ่ของเจ้ากำลังลำบาก ข้าเลยอยากจะถามเจ้าว่ายังมีเงินเหลืออยู่อีกหรือไม่ จะได้นำเงินไปจ่ายค่าเล่าเรียนให้หลานชายของเจ้าได้”
พอกล่าวจบท่านแม่ซ่งก็ลดสายตาลงไม่กล้าสบตากับบุตรชายคนรอง
อันที่จริงแล้วเป็นสะใภ้ใหญ่ของนางที่ได้ยินมาว่าบุตรชายคนรองซื้อตัวภรรยามาด้วยเงิน 2 ตำลึง นางคิดว่าเขาน่าจะมีเงินซ่อนเอาไว้อีกมากและรู้สึกเสียดายที่ครั้งก่อนไม่ได้ขอเงินเขาไว้ให้มากกว่านี้ ตอนนี้นางจึงให้แม่สามีมาที่นี่เพื่อขอเงินจากเขา
น้ำเสียงของซ่งต้าซานเข้มขึ้น “ท่านแม่ ข้าได้จ่ายเงินค่าเลี้ยงดูให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไปแล้วนะขอรับ”
ท่านแม่ซ่งซึ่งมีท่าทางขัดเขินเล็กน้อยถูมือของตน “ต้าซาน เจ้าไม่ได้อยู่บ้านมาหลายปี หากไม่ได้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ช่วยเลี้ยงดูเสี่ยวเป่าให้ เสี่ยวเป่าก็คงจะไม่มีชีวิตรอดมาได้หรอกนะ หลายปีมานี้เจ้าต้องขอบคุณพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของเจ้า”
ซ่งต้าซานจำได้ว่าตอนที่เขากลับมาที่บ้าน เขาเห็นบุตรชายของตนร่างกายผอมแห้ง ในขณะที่บุตรชายของพี่ใหญ่นั้นตัวอ้วนขาว นอกจากนั้นบุตรชายตนยังสวมใส่แต่เสื้อผ้าเก่า ๆ ไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ใช้อยู่เลย
ซ่งต้าซานซึ่งอารมณ์คุกรุ่นลุกขึ้นยืนพร้อมกับวางถ้วยข้าวกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดังขึ้น แววตาของเขาจมมืดลงพร้อมกับเม้มริมฝีปากเน้น กลิ่นอายบนตัวของเขาเริ่มน่ากลัวขึ้นทันที เสี่ยวเป่าหวาดกลัวไม่กล้ากินข้าวอีกต่อไป เขาเหลือบมองซ่งต้าซาน จากนั้นก็มองอย่างขลาดกลัวไปที่หลีโม่ราวกับกำลังมองหาเกราะกำบัง
หลีโม่รีบอุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมานั่งในอ้อมแขนตนพร้อมกับลูบหลังปลอบโยนเขาเบา ๆ
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเป่าหวาดกลัว ซ่งต้าซานจึงสะกดใจไว้ เขามีสีหน้าดีขึ้น เมื่อมองไปที่มารดาที่ตัวสั่นเทา แววตาของเขาก็ซับซ้อนเล็กน้อย เขาสะกดเสียงกล่าว “ท่านแม่ เงินที่ข้าได้ชดเชยจากความพิการทั้งหมด 15 ตำลึง ข้าก็ได้ให้กับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ไปถึง 8 ตำลึงแล้ว ตอนที่กลับมาข้าไม่ได้รับอะไรเลย แล้วยังต้องซื้อที่ดิน 2 หมู่และบ้านหลังนี้อีก ในตัวข้าไม่มีเงินแล้ว เงินก้อนสุดท้ายที่มีข้าก็ใช้ซื้อหลีโม่ไปแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีเงินเหลืออีกแล้ว”
ท่านแม่ซ่งไม่พอใจนักเมื่อได้ยินซ่งต้าซานบอกเช่นนี้ ในใจของนางไม่ได้เกิดรู้สึกผิดใด ๆ ขึ้นมาเลย
ในเวลานั้นตอนที่มีการเกณฑ์ทหาร ทุกบ้านจะต้องส่งผู้ชายในบ้าน 1 คนไปเป็นทหาร หรือมิเช่นนั้นก็จะต้องจ่ายเงิน 5 ตำลึง บ้านของพวกตนไม่มีเงิน นางจึงผลักไสบุตรชายคนรองให้ไปเป็นทหาร ตอนนี้เมื่อกลับมาจากสนามรบ บุตรชายกลายเป็นคนขาพิการ นางก็ให้เขาแยกบ้านออกไปและพาเสี่ยวเป่าออกไปใช้ชีวิตกันเองตามลำพังโดยไม่ให้ส่วนแบ่งอะไรกับเขาเลย ในใจนางรู้สึกเสียใจกับบุตรชายคนรอง แต่นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตอนนี้บุตรชายคนโตเป็นคนควบคุมดูแลบ้านและนางต้องพึ่งพาให้เขาเลี้ยงดูตน จึงเป็นธรรมดาที่นางจะต้องเชื่อฟังคำพูดของพวกเขา
ท่านแม่ซ่งคิดเช่นนี้และก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนอย่างกระอักกระอ่วน “เอาละ แม่รู้แล้ว เช่นนั้นแม่จะกลับแล้ว”
ท่านแม่ซ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ต้าซ่งไม่ได้ออกไปส่งนางเช่นกัน บรรยากาศหลังจากนั้นก็ย่ำแย่ลง
หลีโม่พอเดาเรื่องราวได้นิดหน่อย ซ่งต้าซานคงจะออกจากบ้านไปเป็นทหารอยู่นานหลายปี ตอนนี้เขาเพิ่งจะกลับมาและพี่ชายคนโตกับพี่สะใภ้ก็ต้องการจะขอเงินจากเขา
เรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้หลีโม่ยังไม่แน่ใจนัก เมื่อมีโอกาสนางจะค่อย ๆ คิดเรื่องราวออกมา
หลังจากกินอาหารกันอย่างเงียบ ๆ เสร็จสิ้น หลีโม่ก็เก็บถ้วยชามเข้าไปล้างในห้องครัว
กว่าจะล้างถ้วยชามเสร็จก็ค่ำแล้ว บรรยากาศโดยรอบเริ่มมืดมิด
ซ่งต้าซานต้มน้ำร้อนเพื่อใช้ทำความสะอาดร่างกาย
ความจริงหลีโม่รู้สึกไม่สบายตัวเอามาก ๆ และอยากจะอาบน้ำ เมื่อเห็นซ่งต้าซานกำลังนั่งต้มน้ำอยู่ที่เตา หลีโม่จึงกล่าวว่า “พี่ต้าซาน ข้าอยากจะอาบน้ำ”
ซ่งต้าซานชะงักไป เขานึกขึ้นได้ว่าที่บ้านไม่มีอ่างอาบน้ำเลย มีเพียงอ่างน้ำใบเล็กสำหรับใช้ล้างหน้าและล้างเท้าเท่านั้น ปกติตัวเขาเองก็อาบน้ำกับน้ำเย็นเลยโดยตรงจึงไม่จำเป็นต้องใช้อ่างอาบน้ำ
ซ่งต้าซานลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “ที่บ้านไม่มีอ่างอาบน้ำหรอก เจ้าใช้น้ำในอ่างล้างหน้าเช็ดตัวเอาก็แล้วกัน” ทว่าเขาคิดอยู่ในใจว่าจะต้องหาอ่างอาบน้ำมาไว้ที่บ้าน
หลีโม่พยักหน้ารับ ได้เช็ดตัวก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำความสะอาดร่างกายเลย
หลังจากต้มน้ำเสร็จ ซ่งต้าซานเทน้ำร้อนลงในถังไม้แล้วยกไปให้หลีโม่ที่ห้อง จากนั้นเขาก็ส่งอ่างล้างหน้าให้นาง หลังจากที่คิดแล้วเขาไปหาผ้าป่านดี ๆ มาผืนหนึ่งแล้วยื่นให้หลีโม่เพื่อใช้เป็นผ้าเช็ดตัว และท้ายที่สุดเขายังเอาเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของตนมาอีก 1 ชุดสำหรับให้หลีโม่ใส่ผลัดเปลี่ยนเป็นการชั่วคราว
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ต้าซาน” หลีโม่ซาบซึ้งใจอย่างแท้จริงกับความใส่ใจของเขา
ซ่งต้าซานไม่ได้เอ่ยอะไร เขาพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูให้ด้วย
หลีโม่ถอดเสื้อผ้าออกแล้วทำความสะอาดร่างกายด้วยผ้าป่านที่ชุบน้ำร้อนในอ่าง เมื่อน้ำเริ่มเย็นนางก็เติมน้ำร้อนบางส่วนลงไป
สุดท้ายเมื่อเช็ดตัวเสร็จแล้ว นางก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
หลีโม่สวมเสื้อผ้าของซ่งต้าซาน ที่แม้ว่าจะมีรอยปะชุนอยู่ แต่ก็ไม่มากเท่ากับชุดที่เขาสวมใส่อยู่ หลีโม่ไม่ได้ไม่ชอบมัน เมื่อใส่แล้วก็ไม่ได้แย่นัก เพียงแต่เมื่อใส่แล้วชุดตัวใหญ่มากเกินไปสักหน่อยสำหรับนาง หลีโม่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จะฉีกผ้าของเสื้อผ้าตัวเก่าออกนำมาแล้วใช้เป็นสายรัดมัดรอบเอวของตนให้แน่นเพื่อที่เมื่อเคลื่อนไหวร่างกายแล้วจะไม่เกิดผลกระทบอันใดขึ้น
หลีโม่เปิดประตูห้องออกและเห็นซ่งต้าซานกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ใต้แสงจันทร์ เมื่อได้ยินเสียงเขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง
หลีโม่ยิ้มให้อย่างขัดเขิน “พี่ต้าซาน ข้าทำความสะอาดตัวเสร็จแล้ว”
ซ่งต้าซานพยักหน้ารับพลางวางของที่อยู่ในมือลง แล้วเดินเข้าไปในห้องเพื่อเอานำในอ่างน้ำออกมาเท
หลีโม่ตระหนกและรีบห้ามเขาทันที “พี่ต้าซาน ไม่ต้อง ข้าทำเอง”
ซ่งต้าซานหลบหลีกหลีโม่ได้อย่างง่ายดายและเดินออกไปด้านนอก “มันหนัก ข้าทำเอง”
หลีโม่เม้มริมฝีปากอย่างละอายใจนิดหน่อย นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนช่วยเทน้ำล้างตัวของตน
ทุกวัน