Your Wishlist

ยอดนักแต่งหน้าทะลุมิติ (ตอนที่ 2 : เสี่ยวเป่า (edited))

Author: TealChair แปล

หลีโม่เมคอัพอาร์ติสสาวชั้นนำทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวใช้ที่ถูกพ่อค้าทาสนำตัวมาขาย ณ หมู่บ้านชนบทในยุคโบราณ บุรุษที่ซื้อตัวนางมายากจนทั้งยังขาพิการ ยังมีเจ้าก้อนแป้งน้อยพ่วงด้วยอีกหนึ่ง เมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้มีชีวิตอีกครั้ง นางจะต้องใช้ฝีมือและความสามารถที่มีในชาติก่อนหาเงินเพื่อให้ครอบครัวในชาตินี้ของตนมีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้!

จำนวนตอน : 92 ตอนจบ

ตอนที่ 2 : เสี่ยวเป่า (edited)

  • 10/09/2564

ตอนที่ 2 เสี่ยวเป่า

 

ทั้งสามนั่งกินอาหารกลางวันร่วมกัน แม้จะกล่าวว่าเป็นข้าวกลางวัน แต่อันที่จริงแล้วมันคือโจ๊กข้าวหยาบใส่มันเทศ เป็นโจ๊กใสที่มากด้วยน้ำและมีข้าวน้อยยิ่ง มีผักดองเป็นเครื่องเคียง

 

หลีโม่กลืนอาหารแทบไม่ลง เธอรู้สึกได้ถึงกากอาหารที่ฝืดติดอยู่ในลำคอของตน ผักกาดดองที่จับตัวกันเป็นก้อนอยู่นั้นไม่มีส่วนผสมของน้ำมันอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว เธอทำได้เพียงแค่พยายามกลืนมันลงไปทีละน้อยเท่านั้น

 

หลีโม่มองไปที่ซ่งต้าซานซึ่งนั่งอยู่ถัดจากเธอก็เห็นเขากำลังกินอาหารอย่างรวดเร็วราวกับว่ากำลังกินอาหารอันโอชะที่ได้วัตถุดิบชั้นดีมาจากภูเขาและท้องทะเล แม้แต่เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ค่อย ๆ ใช้ช้อนคันเล็กของตนเองตักโจ๊กเข้าปากทีละคำอย่างระมัดระวัง เด็กน้อยตั้งใจเคี้ยวและกลืนอาหารลงไปด้วยท่าทางพึงพอใจกับอาหาร

 

ดูเหมือนว่าครอบครัวนี้จะยากจนมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ซ่งต้าซานกลับยอมใช้เงินถึง 2 ตำลึงซื้อตัวเจ้าของร่างเดิมมา ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ บางทีเงิน 2 ตำลึงนั้นคือเงินทั้งหมดของครอบครัวก็เป็นได้ หากเธอไม่ได้ทะลุมิติมาเข้าร่างนี้ซึ่งก็เท่ากับว่าเจ้าของร่างเดิมได้ตายจากไปแล้ว ความสูญเสียที่ซ่งต้าซานจะได้รับนั้นนับว่ามหาศาลมากทีเดียว

 

หลีโม่หยุดกินโจ๊กที่ไร้รสชาติถ้วยนี้ต่อ ประการแรกเธอกินไม่ลงจริง ๆ และประการที่สองเธอไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเหลืออยู่เลย

 

ซ่งต้าซานขมวดคิ้วยามที่สังเกตเห็นว่านางกินอาหารไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “เจ้าไม่กินแล้วอีกหรือ? ในหม้อยังมีอาหารเหลืออยู่”

 

หลีโม่สั่นหน้า “ข้าอิ่มแล้ว พวกท่านกินกันเถอะ”

 

ซ่งต้าซานชะงักมองไปที่หลีโม่ จากนั้นจึงพยักหน้าและกินอาหารของตนต่อไป

 

เมื่อเห็นท่านพ่อเริ่มกินอาหารต่อ เสี่ยวเป่าจึงก้มหน้าพร้อมกับหยิบช้อนคันเล็กของตนตักอาหารกินต่อไปเช่นกัน

 

มื้อกลางวันจบลงอย่างรวดเร็ว หลีโม่คิดว่าในเมื่อเธอจะอาศัยอยูร่วมกับครอบครัวนี้ ฉะนั้นก็ควรจะทำตัวกลมกลืนเข้ากับครอบครัวนี้ให้ได้ เธอจึงยืนขึ้นแล้วเริ่มเก็บถ้วยชามและตะเกียบ

 

ซ่งต้าซานห้ามนางไว้ “เจ้ายังป่วยอยู่ กลับไปนอนพักเถอะ ข้าจะทำความสะอาดเอง”

 

หลีโม่สั่นศีรษะและเริ่มเก็บโต๊ะอาหารต่อ “ตอนนี้ข้าเกือบจะหายดีแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหน งานพวกนี้ข้าสามารถช่วยทำได้ ให้ข้าทำเถอะ”

 

เมื่อเห็นท่าทางที่แน่วแน่ของนาง ซ่งต้าซานจึงไม่ได้ห้ามปรามอีก ทว่าก็ยังรู้สึกไม่วางใจนักเขาจึงเดินตามหลีโม่เข้าไปในห้องครัว

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นห้องครัวที่มีรูปแบบเช่นนี้ ห้องครัวไม่กว้างนัก มีแท่นเตาขนาดใหญ่ถูกสร้างอยู่ติดกับผนังด้านหนึ่ง ตรงกลางของแท่นเตามีปล่องไฟถูกสร้างต่อขึ้นไปบนหลังคา บนเตามีกระทะขนาดใหญ่ 2 ใบและหม้อขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงกลาง ที่ด้านหน้าเตามีกิ่งไม้ ท่อนฟืนและหญ้าแห้งที่ใช้สำหรับก่อไฟกองอยู่

 

ถัดจากเตาไปเป็นตู้ไม้ที่สีของตู้ดำขะมุกขะมอมจนไม่สามารถมองเห็นสีดั้งเดิมของมันได้ ขาของตู้หายไปข้างหนึ่งและถูกหนุนไว้ด้วยก้อนหิน ข้าง ๆ ตู้มีถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่

 

หลีโม่พิจารณาสิ่งของต่าง ๆ ในครัวคร่าว ๆ แล้วจึงวางถ้วยชามและตะเกียบในมือลงไปในหม้อ จากนั้นก็หยิบกระบวยที่ทำจากน้ำเต้าบนฝาถังน้ำมาตักน้ำใส่ลงไปในหม้อก่อนจะวางกระบวยคืนไว้ที่เดิม หลีโม่เจอเศษผ้าทำความสะอาดอยู่ด้านบนฝาถังน้ำจึงนำมาใช้ล้างถ้วยชาม

 

แม้ว่าในชาติที่แล้วหลีโม่จะไม่ได้ทำงานบ้านมากนัก งานทุกอย่างมีคุณป้าเป็นคนจัดการให้ แต่เธอก็พอจะรู้วิธีทำงานบ้านขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรไม่เป็นเลยเสียทีเดียว

 

เมื่อซ่งต้าซานเห็นว่าแม้นางจะล้างถ้วยชามด้วยท่าทางไม่คล่องแคล่วนักแต่ก็ทำอย่างตั้งใจยิ่ง เขาจึงรู้สึกวางใจขึ้น

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่ซื้อตัวนางมา พ่อค้าทาสพูดถึงความเป็นมาของนางให้ฟังคร่าว ๆ ว่านางเป็นสาวใช้จากตระกูลใหญ่ที่อยู่ในเมือง เหล่าสาวใช้ของตระกูลใหญ่ยามที่ออกมาภายนอกเรือนนั้นนับว่าดูดียิ่งกว่าสตรีทั่ว ๆ ไปที่อยู่ในเมืองเสียอีก พวกนางถูกเลี้ยงดูมาในสภาพแวดล้อมที่ดียิ่ง จึงต่างจากบรรดาหญิงชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านชนบทมากนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงเตรียมใจไว้ว่านางจะไม่สามารถทำงานอันใดได้เลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะดีกว่าที่คาดไว้ อย่างน้อยนางก็เต็มใจที่จะทำงานบ้าน

 

หลังจากที่เห็นว่าทางนางไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ซ่งต้าซานก็หยิบไม้หาบพร้อมกับถังน้ำขึ้นมา “ข้าจะไปหาบน้ำที่หมู่บ้านมา อีกสักครู่จะกลับมา”

 

หลีโม่พยักหน้ารับ แต่เมื่อเห็นเขาออกไปพร้อมกับถังน้ำก็เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นเล็กน้อย ขาของเขากะเผลกเช่นนี้ยังจะสามารถหาบน้ำถึง 2 ถังกลับมาได้จริง ๆ นะหรือ? เขาจะสะดุดล้มหรือไม่?

 

ทว่าเมื่อมาคิดดูแล้ว ชายหนุ่มคงจะเคยหาบน้ำมาเติมในถังเช่นนี้มาก่อน นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องหาบน้ำเป็นแน่ ดังนั้นไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น หลีโม่จึงวางใจล้างถ้วยชามต่ออย่างระมัดระวัง

 

หลังจากล้างถ้วยชามตะเกียบเสร็จแล้ว หลีโม่วางถ้วยชามไว้ที่ชั้นบนของตู้ที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ภายในตู้มีจานชามถูกวางไว้อย่างกระจัดกระจายอยู่ไม่กี่ใบ มีถ้วยอาหารอยู่เพียง 3 ใบเท่านั้นและทุกใบต่างก็มีรอยร้าวรอยแหว่ง ไม่มีใบไหนที่สมบูรณ์เลย

 

หลีโม่ถอนหายใจออกมา บ้านหลังนี้ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ดี ๆ เลย หากจะเปลี่ยนของใช้เหล่านี้แล้วละก็คงจะต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินทั้งสิ้น ด้วยฐานะของครอบครัวตอนนี้ ของเหล่านั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินไป

 

หลีโม่เปิดบานตู้ด้านล่างออกมาดู ด้านในมีถุงผ้าอยู่เพียง 2 ใบ ถุงผ้าใบเล็กถุงแรกมีข้าวหยาบอยู่ราวครึ่งถุงและมีบางอย่างสีเหลือง ๆ ดำ ๆ ผสมอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าคืออะไร ส่วนอีกถุงเป็นแป้งสีออกเหลือง ๆ เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะพอกินได้ถึงครึ่งเดือนหรือไม่

 

เมื่อทำความสะอาดห้องครัวใกล้เสร็จ ซ่งต้าซานก็กลับมาพร้อมกับถังน้ำ 2 ใบ หลีโม่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซ่งต้าซานหาบน้ำกลับมาด้วยวิธีใด เขาเดินขากะเผลกมาอย่างไม่มั่นคงนัก ทว่าเขาพยายามเกร็งร่างกายท่อนบนของตนเอาไว้เพื่อให้ถังน้ำที่หาบมาแกว่งน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ทุกก้าวที่เขาเดินจึงมีน้ำกระฉอกออกมาไม่มากนัก ตอนที่เขาหาบน้ำมาถึงห้องครัวนั้น ถังน้ำแต่ละถังยังคงมีน้ำเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง และทั้งหมดก็ถูกเทลงไปในถังเก็บน้ำของห้องครัวจนเต็ม

 

ซ่งต้าซานเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตนพลางมองครัวที่ทำสะอาดเรียบร้อย แล้วจึงบอกให้หลีโม่กลับไปพักผ่อนที่ห้อง “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”

 

หลีโม่ที่ไม่รู้จะทำอะไรพยักหน้ารับคำ “เช่นนั้นข้ากลับห้องก่อน” หลังจากนิ่งคิดไปชั่วครู่เธอก็เหลือบมองไปที่ซ่งต้าซาน “แล้วท่านเล่า?”

 

“ข้าจะไปถอนวัชพืชที่ทุ่งนาและจะกลับมาในตอนเย็น”

 

หลีโม่นึกถึงเจ้าก้อนแป้งขึ้นมาได้จึงรีบเดินออกมาที่ห้องโถง เมื่อไม่เห็นใครก็รีบถามซ่งต้าซาน “เสี่ยวเป่าเล่าอยู่ที่ใด?”

 

ซ่งต้าซานตอบอย่างไม่สนใจนัก “เขาออกไปวิ่งเล่นข้างนอกแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง พอเล่นจนเหนื่อยแล้วเขาก็จะกลับมาเอง เจ้าไปพักเถิด”

 

หลีโม่รู้สึกเป็นห่วงเจ้าถั่วน้อยที่ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก แต่เมื่อนึกถึงว่านี่คือยุคโบราณที่ดูเหมือนว่าเด็ก ๆ ในหมู่บ้านต่างก็เป็นเช่นนี้กัน อีกทั้งซ่งต้าซานก็ไม่ได้มีท่าทางวิตกกังวลใด ๆ เธอจึงเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไรออกมาอีกแล้วเดินกลับเข้าห้องไป

 

หลีโม่นอนลงบนเตียงแต่ก็นอนไม่หลับ ได้แต่นอนแหงนมองไปที่หลังคามุงจากที่อยู่ด้านบนศีรษะตนพร้อมกับปล่อยความคิดล่องลอยไป

 

เธอไม่รู้ว่าเหตุใดเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ถึงได้เกิดขึ้นกับตน เธอเคยคิดว่าเรื่องพวกนี้มีอยู่แต่ในนิยายเท่านั้น ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อเธอมีโอกาสที่จะมีชีวิตได้อีกครั้ง เธอจะต้องทะนุถนอมและมีชีวิตที่ดีให้ได้

 

ยุคนี้เป็นสังคมโบราณที่ยังยึดถือจารีตประเพณีดั้งเดิม ฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองตามลำพัง สิ่งที่หลีโม่สามารถทำได้มีเพียงต้องอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไป สร้างสถานะตัวตนที่เหมาะสมให้กับตัวเองขึ้นมา จากนั้นค่อยคิดหาหนทางที่จะยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวให้ดีขึ้น

 

ในส่วนของซ่งต้าซานนั้น เธอไม่มีทางเลือกอื่น แต่จากที่ได้เห็นลักษณะท่าทางของเขาแล้ว คนผู้นี้ไม่เลวทีเดียว หากเขายังเป็นคนดีเช่นนี้ต่อไป เธอน่าจะสามารถพัฒนาความรู้สึกของตนให้กลายเป็นคู่สามีภรรยาอย่างแท้จริงกับเขาได้

 

ชาติที่แล้วเธอทุ่มเทกับงานจนอยู่เป็นโสดโดยไม่ได้ตั้งใจ ในตอนที่เธออายุ 30 เธอเคยอยากจะแต่งงานมีครอบครัว ทว่าก็ไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมได้ บางทีเธอก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะให้มีใครอีกคนมาอยู่ข้าง ๆ สุดท้ายแล้วเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองทำงานหนักเช่นนั้นไปเพื่ออะไร เพียงแต่วิถีชีวิตผลักดันให้เธอเร่งรีบก้าวทะยานไปข้างหน้าโดยที่ไม่สามารถจะหยุดยั้งมันได้ เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าสวรรค์จะหยุดรั้งเธอด้วยวิธีการเช่นนี้

 

บางทีหากวิถีชีวิตของเธอเปลี่ยนไป เธอไม่ต้องรู้สึกกดดันอีก ไม่ต้องแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้บนบ่าเพียงลำพัง มีชายผู้หนึ่งคอยเป็นเกราะกำบังให้เธอจากพายุลมและฝน อีกทั้งยังมีเด็กน้อยน่ารักอีกคนอยู่ข้าง ๆ นี่อาจเป็นวิถีการดำเนินชีวิตในอุดมคติก็เป็นได้

 

เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว เธอก็รู้สึกว่าการต้องอาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่อะไรมากนัก

 

ถึงตอนนี้หลีโม่ได้ยินเสียงดังกุกกักจึงหันไปมองที่ประตู เธอเห็นร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งซ่อนตัวอยู่ด้านนอก มีเพียงศีรษะเล็กๆ ของเขาเท่านั้นที่โผล่ออกมาให้เห็น เมื่อร่างเล็กนั้นเห็นหลีโม่หันไปมอง เขาก็รีบหันกลับไปซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว

 

หลีโม่ยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าเสี่ยวเป่ายังไม่ได้ออกไปเล่นข้างนอก พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เสี่ยวเป่ารึ? เข้ามาข้างในสิ”

 

หลังจากที่เอ่ยจบแล้ว ภายนอกประตูก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้น

 

หลีโม่เฝ้ารออย่างใจเย็น จากนั้นชั่วอึดใจหนึ่งจึงเห็นศีรษะเล็ก ๆ ค่อย ๆ โผล่ออกมาพร้อมกับมองไปที่หลีโม่ที่อยู่บนเตียงด้วยแววตาเหนียมอาย อยากรู้อยากเห็นและโหยหา

 

หลีโม่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนพลางกวักมือเรียก “เสี่ยวเป่าเด็กดี ไม่ต้องกลัว เข้ามาหาน้าโม่ได้หรือไม่?”

 

ทุกคนที่รู้จักเธอในชาติที่แล้วต่างก็มองว่าเธอเป็นหญิงแกร่ง น้อยคนที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นคนที่ชอบเด็กมาก ๆ ทุกครั้งที่เธอเห็นคนกำลังอุ้มเด็กอยู่ เธอจะต้องคอยแอบมองพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งต้องการจะเข้าไปกอดจูบพวกเขาด้วย น่าเสียดายที่เธอไม่มีโอกาสที่จะมีลูก

 

ตอนนี้เมื่อได้เห็นเสี่ยวเป่า เธอจึงชอบเขามากอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่ต่อไปในอนาคตเขาจะเป็นลูกชายคนหนึ่งของตน เธอไม่คิดจะใส่ใจกับปัญหาที่ว่าเธอไม่ใช่แม่แท้ ๆ ทางสายเลือดของเขา ตราบใดที่เธอมีความจริงใจให้ไป เด็กชายจะรู้เองว่าเธอดีกับเขาและจะตอบสนองกลับมาในแบบเดียวกัน

 

ด้วยการโน้มน้าวชี้ชวนอย่างใจเย็นของหลีโม่ ในที่สุดก้อนแป้งน้อยก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาหลีโม่ทีละนิด ๆ จนสุดท้ายเดินมาอยู่ข้างเตียง จากนั้นก็ยืนบิดมือเล็ก ๆ ของตนพร้อมกับมองไปที่หลีโม่ด้วยนัยน์ตากลมโต

 

หลีโม่ใจอ่อนยวบเมื่อได้เห็นดวงตาที่น่ารักคู่นั้น เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวเป่า น้าโม่จะอุ้มเจ้าขึ้นมาบนเตียง ตกลงไหม?”

 

เด็กน้อยจ้องไปที่หลีโม่โดยไม่ได้พูดอะไร

 

หลีโม่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ผ่านไปพักใหญ่เด็กน้อยจึงพยักหน้าเบา ๆ

 

หลีโม่รีบลุกขึ้นนั่งแล้วยืดแขนไปกอดตัวเด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อุ้มขึ้นมาบนเตียง แม้ว่าเขาจะตัวแข็งเกร็งในตอนที่เธอเอื้อมไปกอด ทว่าก็ไม่ได้ขัดขืนและยอมให้หลีโม่อุ้มขึ้นมาบนเตียงอย่างว่าง่าย

 

หลีโม่ช่วยเสี่ยวเป่าถอดรองเท้าและเสื้อผ้าตัวนอกออกก่อนจะเอาตัวเขาเข้าไปนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม แล้วเธอก็นอนลงใกล้ ๆ เจ้าก้อนแป้งตัวน้อย

 

หลีโม่จับความรู้สึกของเสี่ยวเป่าได้ว่าเขาอยากจะขยับตัวเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ เธอ แต่ไม่กล้า เธอไม่ได้เร่งรัดเขาแต่ชวนคุยว่า “เสี่ยวเป่า ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”

 

เสี่ยวเป่ารู้สึกประหม่านิดหน่อย สักพักเขาก็ชูนิ้วมือออกมา 4 นิ้วพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงเด็กน้อยว่า “4 ขวบขอรับ”

 

หลีโม่ยิ้มแล้วกล่าวชมว่า “เสี่ยวเป่าเก่งมาก รู้ด้วยว่านี่หมายถึง 4 ช่างเก่งกาจยิ่งนัก!”

 

เมื่อได้รับคำชม เด็กน้อยขัดเขินมากเสียจนลืมความประหม่า ดวงตาของเขาหยีเล็กลง พร้อมกับยกมือเล็ก ๆ ขึ้นมาปิดปากของตนแล้วแอบยิ้มอยู่ใต้ฝ่ามือนั้น

 

หลีโม่รู้สึกเอ็นดูกิริยาท่าทางของเขา เธอจับมือข้างหนึ่งของเขาไว้พลางเอ่ยถามเสียงนิ่มว่า “เสี่ยวเป่าเล่นอะไรที่ข้างนอกนั่น?”

 

ครั้งนี้เสี่ยวเป่าตอบออกมาอย่างรวดเร็วว่า “ข้าดูพวกมดตัวเล็ก ๆ กำลังเดินขนของของมัน มดตัวเล็กมาก แต่ของที่พวกมันขนไปใหญ่มาก ใหญ่มากจริง ๆ!”

 

“ใช่ไหมเล่า? มดตัวเล็กช่างทรงพลังมากจริง ๆ” หลีโม่เอ่ยสนับสนุนคำพูดของเขา จากนั้นก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ ๆ กอดร่างเล็กเอาไว้พร้อมกับลูบหลังเขาเบา ๆ

 

เสี่ยวเป่าไม่ได้ทำตัวแข็งเกร็งอีกต่อไปแล้ว ตอนที่หลีโม่สัมผัสร่างเล็ก ๆ เขารู้สึกผ่อนคลาย และเล่าเรื่องมดขนของอย่างมีความสุข

 

หลีโม่เห็นเขาพูดคุยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจออกมา เด็กคนนี้ช่างเฉลียวฉลาดนัก

 

เมื่อมีสัมผัสของหลีโม่คอยขับกล่อม เสี่ยวเป่าก็หลับไปในระหว่างที่กำลังพูดคุยอยู่นั่นเอง

 

หลีโม่มองไปที่เสี่ยวเป่าและกอดเขาไว้ในอ้อมแขนของตนอย่างระมัดระวัง ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับตามเจ้าตัวน้อยไป

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป