Your Wishlist

ยอดนักแต่งหน้าทะลุมิติ (ตอนที่ 1 : ถูกซื้อตัว (edited))

Author: TealChair แปล

หลีโม่เมคอัพอาร์ติสสาวชั้นนำทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวใช้ที่ถูกพ่อค้าทาสนำตัวมาขาย ณ หมู่บ้านชนบทในยุคโบราณ บุรุษที่ซื้อตัวนางมายากจนทั้งยังขาพิการ ยังมีเจ้าก้อนแป้งน้อยพ่วงด้วยอีกหนึ่ง เมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางได้มีชีวิตอีกครั้ง นางจะต้องใช้ฝีมือและความสามารถที่มีในชาติก่อนหาเงินเพื่อให้ครอบครัวในชาตินี้ของตนมีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้!

จำนวนตอน : 92 ตอนจบ

ตอนที่ 1 : ถูกซื้อตัว (edited)

  • 10/09/2564

ตอนที่ 1 ถูกซื้อตัว

 

วินาทีที่ลืมตาขึ้น หลีโม่มองเห็นหลังคามุงจาก จากนั้นก็ตระหนักว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ร่างกายของตน และแน่ใจว่าตนเองได้ทะลุมิติมาเสียแล้ว เธอยังจำเสี้ยววินาทีสุดท้ายนั้นได้ว่าเครื่องบินลำที่ตนโดยสารไปปารีสกำลังจะประสบอุบัติเหตุตก เธอไม่เชื่อหรอกว่าจะสามารถรอดชีวิตจากอุบัติเหตุนั้นมาได้ ต่อให้สามารถรอดชีวิตมาได้เธอก็ควรจะอยู่ในโรงพยาบาล ไม่ใช่อยู่ในบ้านหลังคามุงจากที่เหมือนกับบ้านในยุคโบราณเช่นนี้แน่ เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน

 

หลังจากที่พยายามสะกดกลั้นอาการวิงเวียนที่เกิดขึ้น เธอก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างทุลักทุเล มีเสียงดังกรอบแกรบเกิดขึ้นใต้ตัวของเธอ หลีโม่ก้มมองจึงพบว่าเสียงนั้นเกิดจากกองฟางที่อยู่ใต้ผ้าปูเตียงโทรม ๆ ผืนนี้

 

หลีโม่เงยหน้าขึ้นแล้วมองสำรวจไปรอบ ๆ เห็นได้ชัดว่าฝาผนังโดยรอบถูกสร้างขึ้นมานานมากแล้ว รอยคราบสกปรกที่ติดอยู่บนผนังดูเหมือนว่าจะเกิดจากการที่มันเพิ่งถูกเช็ดทำความสะอาดไปได้ไม่นานนัก ฝาผนังมีรอยแตกเกิดขึ้นหลายแห่ง หน้าต่างที่มีอยู่บานเดียวของห้องมีรูโหว่อยู่หลายจุดซึ่งไม่เพียงพอจะป้องกันลมและฝนได้เลย สภาพของห้องดูเก่าทรุดโทรมมาก นอกจากเตียงก็มีเพียงโต๊ะที่ขาหายไปข้างหนึ่งอยู่อีก 1 ตัวเท่านั้น ไม่มีสิ่งของอื่นอีก

 

จากสภาพบ้านที่เห็น หลีโม่แน่ใจว่าตนเองคงเดินทางข้ามมิติมาอยู่ในครอบครัวที่ยากจนข้นแค้นเหลือเกินแล้ว

 

หลีโม่ยังไม่รู้เลยว่ามิติที่ตนมาอยู่นี้มีสภาพแวดล้อมแบบไหนหรือภายนอกเป็นอย่างไร เธอจึงพยายามฝืนทนกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตามร่างกายและความรู้สึกคลื่นไส้ของตน เธอค่อย ๆ ขยับขาลงจากเตียงเพื่อจะเดินออกไปสำรวจภายนอก ทว่าพอลุกขึ้นยืนได้เธอก็รู้สึกราวกับภายในศีรษะของตนกำลังถูกเข็มทิ่มแทงพร้อมทั้งมีแสงสีขาวสว่างวาบเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน วินาทีต่อมาเธอก็จมสู่ความมืดมิด

 

หลีโม่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกดังขึ้น ช่วงเวลาที่ลืมตาขึ้นเธอรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

 

ตอนที่เธอหลับไปนั้น ความทรงจำของคนผู้หนึ่งได้ไหลบ่าเข้ามาในสมองของเธอ ไม่สิ ควรจะพูดว่าเป็นความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม

 

ที่แท้เจ้าของร่างเดิมเพิ่งจะมาอยู่ที่บ้านหลังนี้เมื่อวานนี้ นางถูกบุรุษเจ้าของบ้านซื้อตัวมาด้วยเงิน 2 ตำลึงเงิน

 

“แม่นาง แม่นาง” ก่อนที่หลีโม่จะเรียกความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมได้มากขึ้น เสียงเรียกของอีกฝ่ายก็ดึงหลีโม่กลับมาจากภวังค์

 

หลีโม่หันไปมองผู้ที่ยืนเรียกเธออยู่ข้างเตียง

 

บุรุษร่างสูงผู้หนึ่งกำลังมองมาที่เธอ คนผู้นี้อยู่ในชุดเสื้อผ้าป่านตัวเก่าที่มีรอยปะชุนเต็มไปหมด ผมดำยาวของเขาถูกมัดเป็นมวยอยู่ด้านหลัง ผิวสีเข้มและมีใบหน้าที่ธรรมดาสามัญไม่โดดเด่นอะไร

 

หลีโม่รู้ว่าคนผู้นี้คือผู้ที่ซื้อตัวนางมาจากพ่อค้าทาสเมื่อวานนี้ในราคา 2 ตำลึงเงิน และเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้

 

เวลานี้ชายผู้นี้โน้มตัวลงมาเล็กน้อยจนสบสายตากับหลีโม่ที่กำลังมองไปที่เขาพอดี เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างหรือเปล่า?”

 

หลีโม่ส่ายศีรษะพลางตอบกลับเสียงเบาว่า “ข้าไม่เป็นไร”

 

เมื่อได้ยินคำตอบของนาง คิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่ของเขาไม่ได้คลายออก เขามองไปที่หลีโม่ด้วยแววตาซับซ้อน

 

หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่บังคับฝืนใจเจ้าหรอก ในเวลานั้นที่ข้าซื้อเจ้ามาก็เพียงแค่ไม่อยากให้เจ้าต้องถูกขายไปให้ตาเฒ่าผู้นั้นเท่านั้นเอง”

 

หลังพูดจบเขาก็เม้มปากแล้วพูดต่อว่า “พอเจ้าหายดีจากอาการบาดเจ็บแล้ว ข้าจะให้เจ้าจากไป ตอนนี้เจ้าก็รักษาตัวให้หายดีก่อนเถิด ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอื่น”

 

หลีโม่ฟังชายหนุ่มพูดเงียบ ๆ พร้อมกับทอดถอนใจอย่างรู้สึกสิ้นหวัง

 

เจ้าของร่างเดิมนี้เดิมทีเป็นสาวใช้ที่ได้รับความไว้วางใจอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลจางซึ่งนับได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในเมือง นางนับว่าเป็นคนที่มีหน้าตางดงาม ดังนั้นคุณชายใหญ่ตระกูลจางจึงให้ความสำคัญกับนางและอยากได้นางมารับใช้ตนเอง เจ้าของร่างเดิมมีใจคิดอยากปีนมังกรเกาะหงส์*อยู่แล้วจึงแอบมุ่งหวังในตัวคุณชายใหญ่เช่นกัน

*ประจบประแจง / พึ่งบารมีผู้ที่มีอำนาจ

 

ไม่คาดว่าฮูหยินผู้เฒ่าได้รับรู้ถึงความทะยานอยากของนาง จึงฉวยโอกาสในช่วงเวลาที่คุณชายใหญ่ออกไปพบปะสังสรรค์กับสหายข้างนอกรีบสั่งการให้ขายสาวใช้ผู้นี้ออกไปในทันที อีกทั้งยังกำชับพ่อค้าทาสเป็นการพิเศษด้วยว่าจะต้องขายสาวใช้ผู้นี้ออกไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล ด้วยเหตุนี้นางจึงถูกพามาที่หมู่บ้านแห่งนี้

 

เดิมทีตาเฒ่ามากตัณหาในหมู่บ้านผู้หนึ่งเห็นเจ้าของร่างเดิมหน้าตางดงามก็เกิดความชื่นชอบในตัวนาง จึงรีบนำเงิน 1 ตำลึงกับอีก 500 อีแปะ*มาซื้อเจ้าของร่างเดิม หลังจากที่ได้เห็นว่าผู้ที่มาซื้อตัวนางเป็นชายชราหน้าตาอัปลักษณ์ นางก็เริ่มร้องไห้และต่อสู้ขัดขืนพร้อมทั้งเอ่ยว่านางยอมตายเสียดีกว่าจะยอมมอบตัวเองให้กับตาเฒ่าผู้นี้

*1,000 อีแปะ เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน

 

ซ่งต้าซานผู้ซึ่งเพิ่งกลับมาจากการตัดฟืนได้ผ่านมาเห็นเหตุการณ์นี้เข้า ทำให้เขานึกถึงน้องสาวของตนที่ถูกขายออกไปเช่นกัน เขาเกิดรู้สึกเห็นใจนางขึ้นมาจึงตัดสินใจนำเงิน 2 ตำลึงมาซื้อตัวนางไว้

 

ซ่งต้าซานซื้อตัวเจ้าของร่างเดิมมาได้สำเร็จ ทว่าพอเจ้าของร่างเดิมได้เห็นสภาพบ้านที่เก่าซอมซ่อหลังนี้แล้วก็รู้สึกว่าตนไม่สามารถทนอยู่กับคนที่เป็นเพียงแค่ชาวนายากจนได้ ถึงกระนั้นนางก็ไม่สามารถจะหนีไปจากที่นี่ได้โดยลำพัง อีกทั้งถึงแม้นางจะสามารถหนีออกไปได้ ก็คงไม่สามารถจะมีชีวิตรอดได้อยู่ดี

 

เรื่องเศร้าสลดเกิดจากตรงนี้ นางตัดสินใจกินยาฆ่าแมลงที่ถูกวางทิ้งไว้อยู่ที่มุมบ้าน และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นหลีโม่ที่ข้ามมิติเข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน

 

หลีโม่คิดคำนวณถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของตนภายในใจอย่างรวดเร็วและพบว่าตนเองไม่สามารถจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่โดยลำพังได้

 

ในยุคของราชวงศ์เซี่ยนี้ สังคมยังคงยึดถือขนบประเพณีแบบโบราณอย่างเคร่งครัด ยิ่งเป็นสตรีด้วยแล้ว ข้อจำกัดต่าง ๆ ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก หากไม่มีครอบครัวหนุนหลังแล้ว สตรีจะไม่สามารถออกไปทำงานหาเงินตามลำพังได้ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเดินทางไปแห่งใดทุกคนจะต้องมีใบทะเบียนราษฎร์แสดงเป็นหลักฐานด้วย เจ้าของร่างเดิมเป็นทาสซึ่งถูกขายมาอยู่ที่นี่ นางจึงไม่มีทะเบียนที่อยู่ อย่าว่าแต่เงินที่จะเลี้ยงตัวเองเลย เธอไม่มีที่ใดที่จะไปได้อีกแล้วหากออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไป

 

ตอนนี้สิ่งเดียวที่เป็นที่พึ่งให้เธอได้คือครอบครัวนี้และชายที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้เท่านั้น แม้ว่ายังไม่แน่ชัดนักว่าเขาเป็นคนเช่นไร ทว่าการที่เขาใช้เงินถึง 2 ตำลึงซื้อตัวเจ้าของร่างเดิมมาเพื่อช่วยนางจากตาเฒ่าหยาบช้าผู้นั้น แถมตอนนี้เขายังยินยอมให้เธอจากไปได้อีกด้วย ด้วยเหตุนนี้การอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปดูจะไม่ใช่ความคิดที่แย่นัก อย่างไรก็ดีกว่าการต้องออกไปเร่ร่อนอยู่ข้างนอกโดยไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

 

ตอนนี้เมื่อลองคิดดูอีกครั้ง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไรมากนัก และเธอน่าจะคิดหาทางออกได้

 

หลังจากที่คิดตกเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองแล้ว หลีโม่จึงสงบจิตใจลงได้ เธอมองไปที่บุรุษตรงหน้า ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นช้า ๆ ว่า “ขอบคุณท่านมากที่เมื่อวานท่านช่วยเหลือซื้อตัวข้ามา เมื่อวานเป็นข้าเองที่คิดอะไรไม่ถี่ถ้วน ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว และจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ เช่นนั้นอีกแล้ว ท่านอย่าได้กังวล”

 

หลังจากที่กล่าวจบ เธอชะงักไปชั่วขณะและมองไปที่บุรุษผู้นั้น “ตอนนี้ข้าไม่มีที่ไปอีกแล้ว อีกทั้งไม่มีใบทะเบียนที่อยู่ด้วย หากท่านไม่ว่าอันใด ข้าอยากจะขออาศัยอยู่ที่นี่ด้วย”

 

ซ่งต้าซานรู้สึกประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่านางจะเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน

 

แต่แรกที่เขาซื้อตัวนางมาอย่างหุนหันพลันแล่นก็เพราะรู้สึกเห็นอกเห็นใจนาง เนื่องจากเขานึกย้อนกลับไปถึงตอนที่น้องสาวของตนต้องประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้เงินที่ตนมีเหลืออยู่ 2 ตำลึงซื้อตัวนางมาด้วยความวู่วาม และเมื่อซื้อตัวนางมาแล้วเขาก็ต้องรับผิดชอบในตัวนาง เขาเต็มใจจะแต่งให้นางเพื่อรักษาชื่อเสียงของนางไว้ ทว่าดูเหมือนเด็กสาวผู้นี้จะไม่ต้องการอาศัยอยู่ที่นี่ ซ่งต้าซานไม่อยากจะบังคับใจนาง เขาจึงตัดสินใจที่จะยอมให้นางจากไป ผู้ใดจะรู้ว่าจู่ ๆ นางกลับกล่าวว่าต้องการจะอยู่ที่นี่ต่อไป

 

ซ่งต้าซานขมวดคิ้ว “เจ้าคิดดีแล้วหรือ? รู้หรือไม่ว่าการอยู่ที่นี่หมายถึงอันใด?”

 

แน่นอนหลีโม่รู้ดีว่าในยุคโบราณหากเธออาศัยอยู่ที่นี่ต่อนั่นย่อมหมายถึงว่าเธอจะต้องกลายเป็นภรรยาของเขา

 

เธอพยักหน้าอย่างหนักแน่นพร้อมกับตอบว่า “ข้าทราบดีเจ้าค่ะ หวังว่าพี่ใหญ่จะยอมให้ข้าอยู่ด้วย”

 

ซ่งต้าซานเม้มปากเน้นมองไปที่หลีโม่อยู่เป็นนาน จากนั้นจึงพยักหน้าในที่สุด “เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ แต่เจ้าก็คงเห็นแล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นเช่นไร มันไม่ได้สุขสบายนัก”

 

หลี่โม่พยักหน้ารับอีกครั้ง “ขอบคุณพี่ใหญ่” หลังกล่าวจบเธอยิ้มให้ซ่งต้าซาน “พี่ใหญ่ ข้าชื่อหลีโม่ ท่านเรียกชื่อข้าโดยตรงได้ แต่ไม่ทราบว่าต่อไปข้าควรจะเรียกพี่ใหญ่เช่นไรดี”

 

ตอนนี้เมื่อนางตัดสินใจจะอยู่ต่อ สภาพจิตใจของซ่งต้าซานจึงเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เมื่อมองไปที่รอยยิ้มที่อ่อนโยนของหลีโม่อีกครั้ง ซ่งต้าซานเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูก เสียงตอบของเขาจึงหนักแน่นขึ้น “ข้าซ่งต้าซาน เจ้าเรียกชื่อข้าตามนั้นก็ได้” หลังจากนั้นเขาก็กล่าวเสริมขึ้น “อาหารเสร็จแล้ว ข้าจะยกเอาเข้ามาให้เจ้า” จากนั้นเขาก็รีบเดินขากะเผลกออกจากห้องไป

 

หลีโม่ถึงได้ทราบว่าซ่งต้าซานขากะเผลก ดูเหมือนว่าขาซ้ายของเขาจะผิดปรกติ ตอนที่เดินเขาจะเดินลงน้ำหนักที่ขาข้างขวา ขาของเขาพิการอย่างนั้นหรือ?

 

เมื่อในเวลานี้ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรนักหลีโม่จึงปล่อยวาง ตอนนี้อาการของเธอดีขึ้นมากแล้ว ไม่ได้รู้สึกไม่สบายเหมือนตอนที่เพิ่งรู้ตัวขึ้นมาในครั้งแรก ดังนั้นหลังจากที่ซ่งต้าซานเดินออกไปแล้ว เธอจึงลุกขึ้นจากเตียง ใส่รองเท้าแล้วเดินตามออกไป

 

ทันทีที่เดินออกมาจากห้อง เธอก็เห็นห้องหลักของบ้านที่มีพื้นที่ไม่กว้างนัก พื้นห้องเป็นพื้นดิน มีโต๊ะตั้งอยู่ตรงกลางห้องซึ่งน่าจะใช้เป็นที่รับประทานอาหาร ตรงมุมบ้านมีเครื่องมือสำหรับทำการเกษตรวางอยู่ ไม่มีของอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้อีก

 

กระท่อมอีกหนึ่งหลังซึ่งถูกสร้างแยกออกไปอยู่ติดกำแพงทางด้านประตูหลัง มีปล่องไฟสูงอยู่ด้วย ซึ่งที่นั่นน่าจะเป็นห้องครัว

 

หลีโม่เดินไปที่ห้องครัวและได้เจอกับซ่งต้าซานซึ่งกำลังเดินออกมาพร้อมกับชามอาหาร ซ่งต้าซานคิ้วขมวด “เจ้าเดินออกมาทำไมกัน? ข้ากำลังจะนำอาหารไปเจ้าให้ที่ห้อง”

 

หลีโม่รีบสั่นศีรษะอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้อง ข้าสบายดีแล้วตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องกินบนเตียง ข้ากินพร้อมกับท่านได้” เธอเอ่ยพร้อมกับเอื้อมมือจะไปหยิบชามและตะเกียบที่อยู่ในมือของซ่งต้าซาน

 

ซ่งต้าซานขยับหลีกมือหลีโม่และเดินไปที่โต๊ะ “ข้าจัดการเอง เจ้าไปนั่งพักก่อนเถอะ”

 

หลังจากบอกเช่นนั้นแล้วเขาก็วางของลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินไปที่ประตูด้านหน้าห้องกลางและตะโกนออกไปทางลานบ้าน “เสี่ยวเป่า กินข้าวได้แล้ว”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกน หลีโม่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น อึดใจต่อมาเจ้าถั่วตัวน้อยก็เข้ามาในห้อง

 

เด็กชายตัวน้อยอายุราว 3-4 ขวบอยู่ในชุดผ้าป่านที่มีรอยปะชุนอยู่เช่นกัน แขนเสื้อและชายกางเกงสั้นเต่อขึ้นไปมากซึ่งไม่พอดีตัวเอาเสียเลย รูปร่างของเด็กน้อยผอมแห้งราวกับว่าร่างกายของเขามีแค่กระดูกกับผิวหนังเท่านั้น ดูน่าสงสารมาก มีเพียงดวงตาของเขาเท่านั้นที่กลมโตจนผู้ที่ได้พบเห็นต้องคิดว่าเขาเป็นเด็กน่ารักมากทีเดียว

 

ในขณะที่หลีโม่กำลังมองไปที่เจ้าถั่วน้อย อีกฝ่ายก็มองเห็นหลีโม่ด้วยเช่นกัน ฝีเท้าที่วิ่งมาเริ่มก้าวช้าลง มีความตึงเครียดพาดผ่านในแววตาของเขา มือของเขาขยุ้มอยู่ที่ขากางเกงทั้งสองข้างของตนอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขามองไปที่บิดาของตนอย่างขลาดอาย

 

ซ่งต้าซานกวักมือเรียกเขา “เสี่ยวเป่า มากินข้าว”

 

เมื่อได้ยินเสียงเรียกของซ่งต้าซาน เสี่ยวเป่าค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาที่โต๊ะอย่างช้า ๆ เขาไม่กล้าเข้ามาอยู่ข้าง ๆ หลีโม่ แต่ไปอยู่ฝั่งตรงข้ามแทน

 

ซ่งต้าซานมองไปที่หลีโม่แล้วแนะนำว่า “หลีโม่ นี่คือเสี่ยวเป่าลูกชายของข้า แม่ของเขาจากไปในตอนที่ได้ให้กำเนิดเขา”

จากนั้นเขาก็ลูบศีรษะเสี่ยวเป่าพลางชี้ไปที่หลีโม่แล้วกล่าวว่า “เสี่ยวเป่า นี่คือ...” เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักไปด้วยไม่รู้ว่าควรจะให้เสี่ยวเป่าเรียกหลีโม่ว่าอย่างไรดี

 

หลีโม่มองอย่างเข้าใจเมื่อเห็นอาการประหม่าและแววตาที่ไม่สบายใจของเสี่ยวเป่า รวมทั้งอาการติดขัดของซ่งต้าซาน เธอจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วแนะขึ้นว่า “ตอนนี้เรียกว่าน้าโม่ไปก่อน ต่อไปวันหน้าหากเสี่ยวเป่าอยากจะเปลี่ยนคำเรียกค่อยเปลี่ยนเมื่อเขาพอใจ”

 

ได้ยินคำพูดของหลีโม่แล้ว ซ่งต้าซานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และทำตามคำแนะนำของหลีโม่ โดยเอ่ยกับเสี่ยวเป่าอีกครั้งว่า “เสี่ยวเป่า นี่คือท่านน้าโม่”

 

เสี่ยวเป่าชำเลืองมองไปสบตากับหลีโม่อย่างเหนียมอาย จากนั้นก็รีบหลบสายตาไปอย่างรวดเร็วพลางบิดมือเล็ก ๆ ของตนทั้งสองข้างไปมา ผ่านไปสักพักใหญ่ เขาถึงเอ่ยทักทายด้วยเสียงกระซิบว่า “ท่านน้าโม่”

 

หลีโม่ขานรับคำเรียกของเขากลับอย่างเรียบง่ายเช่นกัน

 

 
ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนถัดไป