Your Wishlist

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะเหนือภพ (บทที่ 10)

Author: หอสมุดจีน

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะสาวต้องมาตาย ในระหว่างที่กำลังค้นคว้าตำราที่ซื้อมาจากร้านขายของเก่า เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่ามาอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัย 8 ขวบ ที่ป่วยขี้โรคเป็น 'ขยะ' ไร้ค่าที่ผู้คนต่างดูถูก

จำนวนตอน : N/A

บทที่ 10

  • 28/05/2565

บทที่ 10

หลังจากเทียนหรง พูดจบเขาก็ยืนรอให้ทุกคนตัดสินใจ

“นี่ตระกูลหลินจะให้พวกเรามาตายงั้นหรือ ข้าไม่เอาด้วยหรอก”

“ข้าก็ด้วย”

“ข้าไม่เอาด้วยหรอก”

ผู้คนทยอยเดินออกไปคนแล้วคนเล่า ส่วนคนที่ยังไม่ไปนั้นส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ไม่มีที่ไปหรือไม่ก็พวกขอทาน

มีกระทั่งเด็กเล็กและคนชรา เทียนหรงยืนมองดูคนที่เหลือ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองบุตรสาว

หลานเฟินพยักหน้าเป็นการตกลงรับพวกเขาทั้งหมด คนพวกนี้สำหรับหลานเฟินแล้วไม่เป็นปัญหาอะไร

“เอาหล่ะสำหรับคนที่ยังอยู่ที่นี่ หากพวกเจ้ายอมทำสัญญาเลือดข้าก็จะรับพวกเจ้าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลิน”

“ขอถามท่านหลินได้หรือไม่ขอรับ” ชายวัยกลางคน คนหนึ่งทำใจกล้าเอ่ยถามคำถามที่เขาสงสัย

“ว่ามา”

“อะไรคือสัญญาเลือดแล้วทำไมพวกเราต้องทำด้วยขอรับ”

“เป็นคำถามที่ดี เฟินเอ๋อร์บอกพวกเขาไปสิ”

“อะแฮ่ม.... สัญญาเลือดนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ใช้อาคม เพียงแค่เจ้าหยดเลือดลงไปที่กระดาษพวกเจ้าจะไม่มีวันทรยศตระกูลหลิน และอีกอย่างตระกูลหลินก็จะไม่มีวันผิดสัญญากับพวกเจ้าเช่นกัน หากผู้ใดทรยศหรือผิดสัญญาจิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะแตกสลายทันที มันก็แค่นี้แหละ”

จบแล้วทำไมสั้นนักล่ะ เทียนหรงมองหน้าบุตรสาว ตอนที่อธิบายให้เขาฟังทำไมถึงยาวนักเล่า แล้วตอนนี้อะไรไม่ถึงสิบลมหายใจนางก็อธิบายเสร็จแล้ว

“อะแฮ่ม...ว่ายังไงพวกเจ้ายินดีจะเดิมพันกับข้าหรือไม่”

“ข้ายอม ข้าไม่มีที่ไปแล้วและไปที่ใดก็คงไม่มีที่ให้พวกข้าอยู่”

“ข้าก็ด้วย”

“เอาล่ะๆ.... เอาเป็นว่าพวกเจ้าตกลง ถ้างั้นก็มาหยิบสัญญาและเข็มที่โต๊ะได้”

“ดูเหมือนจะเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยคน แต่ก็ไม่เป็นไร แล้วจะทำยังไงต่อเฟินเอ๋อร์”

“เอาล่ะ พวกท่านได้หนังสือไปครบทุกคนแล้วใช่หรือไม่ หากได้หนังสือสัญญาไปแล้วให้นำเข็มที่ได้ไปนั้น เจอะเลือดที่นิ้วมือและหยดเลือดลงไปที่หนังสือสัญญา”

วูบ!!!!

แสงสีทองเปล่งออกมาจากหนังสือสัญญา อักขระมากมายพลั้งพลูออกมาจากหนังสือสัญญา หมุนวนเป็นเกลียวคลื่น หนังสือสัญญานั้นสุดท้ายก็กลายเป็นอักขระสีทอง พุ่งตรงไปประทับที่หน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจปรากฏ รูปสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกสีแดง เรื่องนี้แม้แต่หลานเฟินก็ไม่รู้ เมื่อพิธีการเสร็จสิ้น เทียนหลงก็ให้พ่อบ้านพาคนไปที่พักที่ถูกจัดเตรียมไว้ชั่วคราว

“เป็นอย่างไรบ้างสวยไหมเจ้าคะท่านแม่”

“สวยสิ แม่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเฟินเอ๋อร์ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของลูกเหรอ”

“เจ้าค่ะ ยังมีของที่สวยกว่านี้อีกนะเจ้าคะ รอให้โรงเตี๊ยมสร้างเสร็จเมื่อไหร่ ลูกจะพาท่านพ่อท่านแม่ไปดูเป็นคู่แรกเลยเจ้าค่ะ”

วันเวลาผ่านเข้าสู่เช้าวันใหม่

หลานเฟินที่กำลังหลอมหินแร่ ในที่สุดก็สำเร็จ การสกัดหินแร่จนได้ก้อนเท่ากำปั้นนั้น ชั่งเป็นวันเวลาที่ยาวนานมาก หากเป็นภายนอกแดนสวรรค์ ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกสองครั้งก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จ มันชั่งงดงามอะไรเช่นนี้ ของเหลวที่สะท้อนแสงนี้แตกต่างจากหินแร่ที่ยังไม่ผ่านการหลอมราวฟ้ากับเหว แต่ดูจากปริมาณแล้ว คงหล่อแหวนมิติได้เพียงสามชิ้นเท่านั้น

หลานเฟินแบ่งแร่ที่หลอมไว้แล้วออกเป็นสามส่วน วิธีการขึ้นรูปของหลานเฟินไม่เหมือนผู้ใด ปกติการจะหล่อแร่ขึ้นรูป ต้องใช้เบ้าหล่อเท่านั้น แต่หลานเฟินกลับใช้เพียงอักขระเท่านั้น หากผู้ใดในดินแดนนี้มาเห็นคงคิดว่านางท้าทายสวรรค์เป็นแน่

หลานเฟินค่อยๆใช้พลังจิตขึ้นรูปแร่ให้แข็งตัวและเริ่มปรับเปลี่ยนรูปทรง จากของเหลวเริ่มแข็งตัว จากนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่าง เป็นวงแหวนหลานเฟินไม่ได้เน้นเรื่องความสวยงามอะไรมากนัก แหวนเรียบดูธรรมดาวางอยู่ตรงหน้าหลานเฟินสามวง ทุกวงมีขนาดใหญ่เท่ากัน หลังจากขึ้นรูปแหวนเสร็จ หลานเฟิน ก็ใช้เวลานั่งพักอยู่อีกนาน

นางใช้เวลาและพลังไปทั้งหมดแล้ว ตอนนี้นางไม่เหลือแม้แต่แรงจะยืน โชคดีที่ในแดนสวรรค์นี้มีน้ำพุแห่งจิตวิญญาณ จะเรียกน้ำพุก็ไม่ถูกในเมื่อมันคือน้ำที่ตกลงมาจากที่สูงจนเกิดเป็นม่านน้ำตก

“นี่เราทุ่มเทขนาดนี้สร้างแหวนมิติได้เพียงแค่สามวงเองหรือ”

………..

“เอาได้ล่ะเวลาลงผนึกอักขระอาคมแล้ว”

หลานเฟินวาดมือออกไปกลางอากาศ

วืด!!!!

อักขระจำนวนมากมายปรากฏขึ้นและพุ่งตรงไปยังแหวนทั้งสามวง อักขระตัวแล้วตัวเล่ายังคงพุ่งตรงไปยังแหวนจนกระทั่งอักขระตัวสุดท้าย

“เสร็จเสียที เหลือเพียงหยดเลือดประทับตราเป็นเจ้าของ แต่ว่าจะให้ใครก่อนดี ขาดเพียงแค่คนเดียวให้ท่านพ่อกับท่านพี่ก่อนแล้วกันแหวนนี้ไม่เหมาะกับสตรี ไว้ทำให้ท่านแม่ใหม่ต้องให้สวยกว่าเดิม อย่างมากก็ใช้เวลาสร้างแค่สองเดือน(โลกภายนอกแดนสวรรค์) หึ...หึ..”

หลังจากที่สร้างแหวนมิติเสร็จแล้ว หลานเฟินก็รีบออกไปหาบิดาทันที

ก๊อก...ก๊อก....

“ท่านพ่อลูกเข้าไปนะเจ้าคะ”

“มีอะไรหรือ วันนี้มาหาพ่อแต่เช้าเชียว”

“ลูกมีของที่จะทำให้ท่านพ่อตกใจอีกแล้วเจ้าค่ะ”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวเทียนหรงพยายามปรับสีหน้าของตนเองให้นิ่งที่สุด ทุกครั้งที่บุตรสาวพูดอะไรแบบนี้มันทำให้หัวใจของเขาแทบวายทุกครั้ง

"ครั้งนี้เป็นอะไรล่ะ วิชา หรือว่ายาวิเศษ"

"ไม่ใช่ทั้งสองอย่างเจ้าค่ะ แต่เป็นสิ่งนี้" หลานเฟินแบมือที่กำแหวนออก

“แหวนนี้ มันทำไมหรือ” เทียนหรงมองไปที่แหวนที่มีรูปร่างธรรมดาที่อยู่กลางฝ่ามือของบุตรสาวด้วยความสงสัย

"แหวนนี้ถูกหลอมมาจากหินแร่ที่ลูก นำมาให้ท่านพ่อดูเมื่อคราก่อนเจ้าค่ะ มันมีความทนทานเป็นอย่างมาก และที่สำคัญมันสามารถเก็บสิ่งของไว้ภายในได้ มันคือแหวนมิติเจ้าค่ะ"

“ฮ่ะ... ลูกว่าอะไรนะ วะ... แหวนมิติงันหรือ นี่มันถือว่าเป็นสมบัติวิเศษเลยก็ว่าได้ เฟินเอ๋อร์นี่ลูก....” เทียนหรงถึงกับพูดไม่ออก เป็นอีกครั้งที่บุตรสาวของเขา ทำให้เขารู้สึกตกใจอีกครั้ง รู้สึกว่าที่เขาเตียมใจมาทั้งหมดจะไม่มีความมาย

“ลูกมีแหวนอยู่กับลูกสามวงเจ้า ให้ท่านพ่อหนึ่งวง และที่เหลือก็เอาไว้ให้ท่านพี่เจ้าค่ะ” หลานเฟินพูดขึ้นราวกับสิ่งของที่นางมอบให้นั้นเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาสามัญทั่วไปเท่านั้น

“สามวงเชียวหรือ ลูกสร้างขึ้นมาเองทั้งหมดอย่างนั้นหรือ” เทียนหรงถามออกมาด้วยความตกใจละคนสงสัย

“เจ้าค่ะ พอดีในตำรานั้นมีอักขระอาคมมากมายหลายรูปแบบ ที่จริงลูกก็ศึกษามานานนับปีแล้ว” โกหกอีกตามเคย

“เฟินเอ๋อร์ พ่อภูมิใจในตัวลูกมาก พ่อจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหน มาดูถูกลูกสาวของพ่อได้อีก” เทียนหรงพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

"ท่านพ่อแล้วเมื่อไหร่ท่านพี่จะกลับมากันเจ้าคะ"

“หรงเอ๋อร์ ปีนี้ก็อายุ15ปีแล้วที่จริงก็น่าจะกลับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่วนหยางเอ๋อร์ปีหน้าก็ออกจากสำนักได้แล้ว พ่อเองก็ไม่ได้รับการติดต่อมาจากทั้งสองคนนานแล้ว”

"เป็นเช่นนั้นหรือเจ้าคะ ลูกคิดว่าคงต้องสร้างหยกสื่อสารเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างแล้ว"

“เฟินเอ๋อร์ นี่ลูกคิดว่าพ่อยังตกใจไม่พอหรืออย่างไร”

"คิก...คิก... ไม่นะเจ้าคะ ลูกยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ให้ท่านพ่อดูเลย เกรงว่าท่านพ่อคงจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ไปอีกนานเจ้าคะ"

“ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่อาจทำให้ใจพ่อหวั่นไหวได้หรอก” เทียนหรงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาจะไม่ยอมเสียท่าให้กับบุตรสาวอีกเป็นอันขาด

“อ้อ... ท่านพ่อลูกเห็นว่าข้างดูยุ่งวุ่นวาย เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หลานเฟินที่คลุกอยู่ในแดนสวรรค์มาตลอดสองเดือน จะไม่รู้เรื่องอะไรก็ไม่แปลก

“เห็นองค์จักรพรรดิ์แจ้งประชาชนว่าจะมีคณะทูตมาเยือนแคว้น และมีการจัดงานประลองยุทธด้วย ข้างนอกนั้นจึงได้ดูคึกคักอย่างที่เห็น”

“คณะทูตจากที่ใดมาเยือนหรือเจ้าคะ”

“แดนทงเทียน พวกเขาไม่เหมือนกับพวกเรา การที่ทูตจากแดนทงเทียนมาที่นี่อาจจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงก็เป็นได้”

“คนจากแดนทงเทียน หากมีโอกาสลูกก็อยากจะเห็นสักครั้ง” เพราะคำว่าแดนทงเทียนที่ทำให้นางรู้สึกสนใจขึ้นมา

มีบันทึกไว้ว่าตี๊โฉวถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนได้แก่ ตู่หรางดินแดนอันรกร้างที่มีพลังฟ้าดินบางเบาเป็นอย่างมากปกครองโดยเก้าแคว้น และทงเทียนดินแดนอันอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยพลังฟ้าดิน ทั้งสองดินแดนต้องใช้วิธีพิเศษถึงจะสมารถเดินทางไปมาได้ สถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่จะเหมือนกับมิติแดนสวรรค์ของนางหรือไม่

............

สามวันผ่านไปแล้ว บรรยากาศในเมืองยิ่งคึกคักมากกว่าเดิม ร้านค้ามากมายได้มาเปิดขายของกันจนแน่นขนัด และยังมีผู้คนที่เดินทางมาจากแคว้นอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียง

ดูแล้วคนพวกนี้คงมาที่นี่ เพราะการประลองยุทธ์เป็นแน่ หลานเฟิน ยังคงเดินดูความคึกคักภายในเมืองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“นี่ไอ้หนู เดินอย่างไรไม่ดูทาง ไม่เห็นรึว่าชนข้าจนเสื้อผ้าของข้าเสียหาย เจ้าจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร” บุรุษแต่งตัวดูดีแต่ชอบแหกปากราวกับสตรีนั้น จ้องมองมายังคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

หลานเฟิน มองไปยังบุคคลเบื้องหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านกับน้ำเสียงที่ข่มขู่นั้น

“ตาข้ายังดีอยู่ แต่ที่เสียน่ะเห็นทีคงจะไม่ใช่ตาของข้า แต่เป็นนิสัยของเจ้าที่เสีย ก็เห็นๆอยู่ว่าข้ายังมิได้ชนถูกส่วนใดบนตัวของเจ้าเลยด้วยซ้ำ แล้วเจ้ายังมีหน้ามาว่าข้าไปทำเสื้อผ้าของเจ้าเสียหายได้อย่างไร มิใช่ว่าเสื้อผ้าของเจ้ามันเปราะบางเลยถูกลมพัดทำให้เสื้อผ้าของเจ้าเสียก็ได้ หรือไม่ก็เสื้อผ้าของเจ้ามันอาจจะจนเกินไป เพียงแค่ขยับนิดหน่อยเสื้อผ้าของเจ้าก็เสียหายแล้ว”

เด็กเหลือขอนี่รนหาที่ตาย บังอาจมาดูถูกเสื้อผ้าราคาแพงของเขาได้ หากเขาไม่สั่งสอนอย่ามาเรียกเขาว่า คุณชายจิ้ง

"เด็กเหลือขอปากดีไป ข้าจะสั่งสอนแทนบิดามารดาเจ้าเอง" คุณชายจิ้ง ตะโกนออกมา เตรียมพร้อมจะเข้าไปตีเด็กน้อยตรงหน้า แต่ก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยออกมา ทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป