Your Wishlist

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะเหนือภพ (บทที่ 11)

Author: หอสมุดจีน

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะสาวต้องมาตาย ในระหว่างที่กำลังค้นคว้าตำราที่ซื้อมาจากร้านขายของเก่า เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่ามาอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัย 8 ขวบ ที่ป่วยขี้โรคเป็น 'ขยะ' ไร้ค่าที่ผู้คนต่างดูถูก

จำนวนตอน : N/A

บทที่ 11

  • 18/06/2565

บทที่ 11

“อะไรกันนั่นคุณชายจิ้งไม่ใช่หรือ เดี๋ยวนี้เจ้านิยมเด็กน้อยขนาดนี้เชียวหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า...” เสียงเยาะเย้ยของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้น

“เจ้า..หานตง เจ้านี่มันตายยากตายเย็น ในเมื่อข้าเจอเจ้าที่นี่ก็ดี ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้ง ถึงวิชากระบี่ของข้า”

‘เอากันเข้าไป พวกนี้มันดีแต่ปาก กันหรือไงมัวแต่พูดอยู่ได้เป็นเค่อๆ ไม่เห็นจะตีกันสักที’ หลานเฟินที่ยืนอยู่คอยดูอะไรสนุกๆ กลับต้องมาหมดสนุกกับพวกพูดมากปากเหม็น

“นี่พวกเจ้าจะเริ่มสู่กันได้หรือยัง ไม่เห็นหรือไงว่ามีคนรอดูอยู่” หลานเฟินเอ่ยขึ้นขัดบทสนทนาของพวกเขาทั้งคู่

“ไอ้เด็กเหลือขอนี่อีกแล้ว หานตง เห็นทีข้าต้องจัดการเจ้าเด็กน้อยนี่ก่อน” คุณชายจิ้งเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ

“อะไรกันเจ้ากลัวสู้เขาไม่ได้ ก็อย่ามาเบี่ยงเบนความสนใจมาที่ข้าสิ” คำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากฝีปากของนางคมประดั่งคมมีด ใครใช้ให้มาหาเรื่องนางก่อน

“เจ้า... เหตุใดข้าต้องกลัว เขากับข้าฝีมือมันคนละชั้นกัน” คุณชายจิ้งพูดขึ้นเขาไม่สามารถสรรหาคำพูดใดมาโต้ตอบ

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงลีกเลี่ยงการต่อสู้ล่ะ ครั้งแรกข้าก็เห็นเจ้าเอาแต่พูดจาข่มคู่ต่อสู้ แต่พอเอาเข้าจริงก็ทำเป็นลีกเลี่ยงซะงั้น”

“ฮ่าฮ่าฮ่า.... เจ้าเด็กนี่ชั่งพูดยิ่งนัก” หานตงรีบกล่าวเสริม

“นี่เจ้า...” คุณชายจิ้งได้แต่กัดฟันแน่น ในชีวิตนี้ไม่เคยมีใครดูถูกเขาเช่นนี้มาก่อน

“ได้งั้นข้าจะสู้กับเจ้า หานตง พอใจเจ้าแล้วใช่ไหมเจ้าหนู” ในที่สุดคุณชายจิ้ง ก็ต้องยอมแพ้ให้กับหลานเฟิน

“ข้าไม่ได้บังคับ ให้เจ้าสู้เสียหน่อย” หลานเฟินทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ พลางใช้นิ้วก้อยแคะหู เหมือนกับว่านางให้ความสนใจในการแคะหูมากกว่าการดูพวกเขาสู้กัน

“ไอ้เด็กนี่มัน กวนเบื้องล่างใช่เล่น” หานตงพูดออกมาเบาๆ

“ถ้าพวกเจ้าจะสู้กันแล้ว ข้าก็จะไม่อยู่เกะกะพวกเจ้าหรอก ข้าขอตัวก่อน เชิญพวกเจ้าสู้กันตามสบาย” เมื่อพูดจบหลานเฟิน ก็หันหลังแล้วเดินจากไปทันที พวกที่เหลืออยู่ต่างก็มองหน้ากัน

หลังจากพาตนเองออกมาจากความวุ่นวายได้แล้ว หลานเฟินก็ได้เดินเล่นไปอีกสักพักก็ตัดสินใจที่จะกลับจวน หลานเฟินยังคงเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เจอกับสถานที่แห่งหนึ่ง หลานเฟินคาดการณ์ไว้ว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเป็นสถานที่ ที่เตรียมไว้ให้คณะทูตพักผ่อนอย่างแน่นอน

“ช่างสิ้นเปลืองดีแท้” หลานเฟินหมดความสนใจในสถานที่แห่งนี้

ในที่สุดนางก็เดินมาจนถึงโรงเตี๊ยมเมิ่งเสี่ยง และมันยังคงสร้างความฮือฮาให้แก่ผู้พบเห็นได้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นผู้คนของแคว้นอื่นก็ตาม

“ก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้ผู้คนก็ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของโรงเตี๊ยม” ด้วยความยิ่งใหญ่ของโรงเตี๊ยมเมิ่งเสี่ยง พลางทำให้ผู้คนต่างคิดกันไปต่างๆนานา ว่าบุคคลแบบใดกันที่คิดสร้างโรงเตี๊ยมที่มีความสิ้นเปลืองขนาดนี้

หลานเฟินเดินดูรอบๆ โรงเตี๊ยมท่าทางของเธอก็ดูไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ ดูเหมือนจะให้ความสนใจโรงเตี๊ยมที่มีขนาดใหญ่นี้ แต่ที่จริงแล้วเธอต่างหากที่เป็นเจ้าของ โรงเตี๊ยมดูเหมือนจะสร้างเสร็จทันตามกำหนดการเดิม

‘ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเตรียมพื้นที่รับรองบุคคลทั่วไปให้มากขึ้นสักหน่อยแล้ว’

เมื่อดูความเรียบร้อยเสร็จหมดแล้ว หลานเห็นก็คิดว่าคงต้องกลับจวนได้แล้ว อันที่จริงนางน่าจะกลับถึงจวนตั้งนานแล้ว แต่เพราะความเอ้อระเหยลอยชายของนาง จึงทำให้นางยังกลับไปไม่ถึงจวนเสียที

“กลับไปข้าคงต้องเก็บตัวอีกสักระยะ” หลานเฟินกะว่าจะใช้เวลาที่เหลือก่อนที่คณะทูตเดินทางมาถึง สร้างหยกที่ไว้ใช้สื่อสาร

เรื่องวัสดุที่ใช้ในการสร้างนั้นหาได้ทั่วไป แต่ที่เน้นความสำคัญคืออักขระอาคม ที่ใช้สร้างความเชื่อมต่อของหยกแต่ละชิ้น กระทั่งระทางที่ใช้ในการสื่อสารยิ่งระยะไกลมากเท่าไหร่ความยากก็จะมากขึ้นเท่านั้น

……….

เมื่อกลับมาถึงจวนหลานเฟินก็แวะไปคุยกับบิดาเรื่องที่เธอจะสามารถอุปกรณ์ใหม่ให้ท่านพ่อของนาง

เทียนหรงเมื่อรู้ว่าบุตรสาวของตนจะสร้างอุปกรณ์ใหม่เขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ สิ่งที่บุตรสาวของเขาสร้างมาแต่ละอย่างนั้นมันอาจจะทำให้ขุมอำนาจใหญ่ๆ หวาดละแวงได้มากเลยทีเดียว

หลานเฟินใช้เวลาไม่นาน นางก็รวบรวมชิ้นส่วนที่ใช้ในการสร้าง อุปกรณ์สื่อสารของนางจนครบหลานเฟินก็ไม่รอช้า เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา

นางจะรีบสร้างให้เสร็จถึงแม้ว่าเมื่ออยู่ในพื้นที่มิตินี้แล้ว นางสามารถที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา

แต่การที่อยู่คนเดียวในนี้เป็นเวลานานมันก็น่าเบื่อเช่นกัน ไม่สิสำหรับนางแล้วมันเหมือนต้องอยู่ในนี้หลายร้อยปีเลยล่ะที่ต้องอยู่คนเดียวในสถานที่นี้มันเป็นอะไรที่สุดแสนจะทรมาน ถึงแม้หากฝึกฝนอยู่ในนี้จะทำให้รวดเร็วขึ้นก็ตามแต่การบ่มเพาะของนางก็ถือได้ว่าสูงมากแล้ว นางสามรถไปไหนก็ได้ในแคว้นนี้แล้ว นางจึงต้องหยุดดูดซับพลังชั่วคราว เพราะฉะนั้น รีบทำ รีบเสร็จ แล้วก็รีบไป ดีกว่า

ในที่สุดวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง วันนี้เป็นวันที่เหล่าคณะทูตเดินทางมายังแคว้นเกาแห่งทวีปตู่หราง

ภายในทวีปตู่หราง จะถูกแบ่งออกเป็น 9 แคว้น ได้แก่ แคว้นซ่ง แคว้นถู แคว้นเฟิ่ง แคว้นเกา แคว้นหม่า แคว้นเฉียว แคว้นลั่ว แคว้นถง แคว้นฉู่

ณ แคว้นเกา ยามเฉิน (07.00 – 08.59)

เหล่าฝูงชนออกมายืนรอรับชม ขบวนเดินทางของคณะทูต ที่มาจากทวีปทงเทียน ที่ประตูทางเข้าปรากฏกลุ่มเงาสีดำกลุ่มใหญ่ ค่อยๆเข้าใกล้ประตูเมืองเรื่อยๆ ภาพที่เห็นเป็นเพียงกลุ่มเงาสีดำเริ่มที่จะเห็นชัดเจนขึ้น

ผู้นำด้านหน้าของกลุ่มนั้น สวมใส่ชุดสีดำทั้งสองคน นั่งอยู่บนหลังของสัตว์อสูรรูปร่างคล้ายกับกิเลน ที่ด้านหลังมีรถลากสีดำขนาดใหญ่ เมื่อคนกลุ่มนี้เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเห็นได้ชัดขึ้นว่ากลุ่มคนที่เดินเข้ามาในเมืองนั้นมีเพียงแค่สองคน สองสัตว์อสูร และอีกหนึ่งรถลากที่มีขนาดใหญ่มากๆ คาดว่าสามารถบรรจุคนไว้ภายในได้ถึงสิบคน และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าภายในนั้นบรรทุกสิ่งใดมากันแน่

“นี่เจ้าเห็นหรือไม่ สัตว์อสูรพวกนั้นพวกเขานำมาเป็นเพียงแค่พาหนะใช้เดินทาง”

“เจ้าดูคนพวกนั้นสิ พวกเขาคือทูตที่เราพูดถึงใช่หรือไม่”

“เจ้าคิดว่ามีสิ่งใดอยู่ในรถลากนั้น”

เสียงพูดคุยของผู้คนต่างก็แสดงความคิดเห็นต่างๆนานา

หลานเฟิง ยืนมองขบวนเดินทางของทูตจากทวีปทงเทียนอยู่ไกลๆ นางไม่สามารถจับสัมผัสถึงพลังของคนพวกนั้นได้เลย ภายในแคว้นเกาผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดคือพลังขั้นสีม่วง ซึ่งนางก็สามารถตรวจจับพลังของคนเหล่านั้นได้ทั้งหมด ยกเว้นครั้งนี้ นั่นก็หมายความว่าคนพวกนี้อยู่ในขั้นสีดำหรือไม่ก็เหนือกว่านั้น

ในช่วงที่หลานเฟินกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น จู่ๆนางก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมองมาที่นาง นางไม่สามารถสัมผัสถึงที่มาของความรู้สึกนี้ได้เลย

“ในสถานที่ระดับล่างอย่างนี้ กลับมีคนแบบนี้ปรากฏตัวขึ้น ดูเหมือนอายุยังน้อยอยู่ด้วยซ้ำ น่าสนใจ”

หลานเฟินที่ไม่สามารถทำอะไรได้นั้น ในที่สุดนางก็เลิกสนใจ

“เรายังมีพลังไม่พอ ในสถานที่แห่งนี้ผู้ใดมีกำปั้นที่ใหญ่กว่า ย่อมเป็นที่เคารพของผู้คน”

หลานเฟินสามารถทำได้เพียงรับรู้ถึงการคงอยู่ของบุคคลที่สามเท่านั้น

‘ดูเหมือนเขาจะจงใจปล่อยให้เราสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาสินะ’

หลานเฟินตัดสินใจที่จะกลับไปที่จวนก่อน ในเมื่อเป้าหมายของวันนี้ของนางสำเร็จแล้ว ตอนนี้เธอรับรู้ความสามารถของคนพวกนี้แล้ว นางก็ไม่ที่ต้องอยู่ที่นี่อีก

ทางด้านพระราชวัง ตอนนี้จักรพรดิ์เกาหลิง ได้จัดงานต้อนรับคณะทูตภายในพระราชวัง

“พวกเจ้าทุกคนเตรียมความพร้อมเสร็จเรียบทั้งหมดแล้วใช่ใหม”

“กราบทูลฝ่าบาทเรื่องการต้อนรับคณะทูตในครั้งนี้ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นผู้รับผิดชอบ ตอนนี้คาดว่าท่านเสนาบดีหว่างคงได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้วพะยะค่ะ”

“ดี พวกเจ้าก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเองได้แล้ว จำไว้งานนี้ผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด”

“พะยะค่ะ”

กลับมาทางด้านหน้าประตูเมือง ตอนนี้เสนาบดีหว่างได้นำขบวนออกมาต้อนรับเหล่าคณะทูต ทุกอย่างที่เตรียมมาทั้งหมดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งขบวนเดินทางเข้ามาใกล้ ทันทีที่เห็นว่าเหล่าคณะทูตได้มาถึงแล้วเขาก็ออกไปต้อนรับทันที ถึงแม้จะแปลกใจที่ขบวนเดินทางของท่านทูตจากทวีปทงเทียนที่มานั้นจะมีเพียงสองคนก็เถอะ

“ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่แคว้นเกาขอรับ”

“…….”

“เอ่อ... ทุกท่านเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยเชิญท่านเข้าไปด้านในก่อน ทางเราได้จัดเตรียมที่พักไว้อย่างดี”

“…….”

“เชิญขอรับ”

“…….”

ยังคงไม่มีการตอบกลับใดๆมาจากคนทั้งสอง

“ขอเสียมารยาท ไม่ทราบว่าภายในรถลากนั้น....” เสนาบดีหว่างยังพูดไม่ทันจบก็ได้รับสายตาเย็นชาจนแทบจะสังหารตนเองได้ตอบกลับมา

“…….”

“อย่าได้พูดมาก” อีกคนยังคงเงียบเหมือนเดิม

“ขะ… ขอรับ”

คนพวกนี้น่ากลัวยิ่งนัก เพียงแค่สายตาก็สามารถฆ่าคนได้แล้ว ต่อให้เขาสงสัยว่าสิ่งใดกันที่อยู่ภายในรถลากนั้นก็ตาม แล้วเขาจะทำอันใดได้ และยังเรื่องที่พักอีกเขาได้จัดที่พักที่มีขนาดใหญ่สามารถพักได้นับสิบคนแต่นี่อะไร พวกเขามากันแค่สองคน สองตัว กับรถลากขนาดที่ใหญ่จนแทบจะเข้าที่พักไม่ได้ จะทำอะไรที่ขัดใจองคจักรพรรดิ์ก็มิได้เช่นกัน แต่ตนตรงหน้านี่น่ากลัวกว่าจักรพรรดิ์เสียอีก ต้องไม่ทำอะไรที่เป็นการไม่พอใจของพวกเขา

‘นี่มันเวรกรรมอะไรของข้า ข้าไม่น่าที่จะอาสารับผิดชอบในการมาต้อนรับขบวนเดินทางของคณะทูตเลย’ เสนาบดีหว่างได้แต่บ่นกับตัวเองภายในใจ

 

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า