Your Wishlist

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะเหนือภพ (บทที่ 9)

Author: หอสมุดจีน

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะสาวต้องมาตาย ในระหว่างที่กำลังค้นคว้าตำราที่ซื้อมาจากร้านขายของเก่า เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่ามาอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัย 8 ขวบ ที่ป่วยขี้โรคเป็น 'ขยะ' ไร้ค่าที่ผู้คนต่างดูถูก

จำนวนตอน : N/A

บทที่ 9

  • 13/04/2565

บทที่ 9

 

“ไหนข้าดูหน่อยสิ”

ผู้อาวุโสมู่หยิบเม็ดยาที่ หลานเฟินส่งให้ไปดูใกล้ๆ เขาไม่เคยเห็นยาชนิดนี้มาก่อน และอีกอย่างยาเม็ดนี้ชั่งมีความบริสุทธิ์ที่เต็มสิบไม่มีสิ่งปนเปื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว

“เด็กน้อย ยานี้เจ้าหลอมขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าค่ะ มีอะไรหรือเจ้าคะหรือว่ามันใช้ไม่ได้”

“ไม่เลย มันสมบูรณ์แบบมากต่างหาก แต่ว่าข้าไม่เคยเห็นยาชนิดนี้มาก่อนเลย เจ้าช่วยบอกข้าได้ไหม ว่ายานี้มีสรรพคุณอย่างไร”

“อ้อ... ได้เจ้าค่ะ ที่จริงยานี้มีชื่อว่าทะลวงขีดจำกัด มันมีสรรพคุณ เพียงแค่ช่วยในการเพิ่มขีดจำกัดด้านการฝึกฝนเท่านั้นเจ้าค่ะ จะให้พูดอีกอย่างก็คือยาเม็ดนี้สามารถช่วยให้คนธรรมดากลางเป็นคนที่มีพรสวรรค์ก็เท่านั้น มันจะเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น หลอดเลือด แม้กระทั่งประสาทสัมผัส”

“นี่เจ้า... เด็กน้อยข้าไม่เคยได้ยินว่ามียาแบบนี้มาก่อนเข้าไปได้มาจากที่ใดกัน”

“ข้าได้มาจากผู้ที่มอบน้ำทิพย์ให้ครั้งนั้น แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ายานี้ใช้ได้ผลจริงดั่งที่ว่ามานี้หรือเปล่า และอีกอย่างผู้ที่กินเข้าไปจะได้รับความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดแทบอยากจะตายเลยทีเดียว”

นางก็ไม่แน่ใจว่ายาเม็ดนี้จะได้ผลดีหรือไม นางได้ปรับเปลี่ยนยาทั้งหมด เพราะว่าสมุนไพรที่ใช้นั้นมันคนละชนิดกับที่นางเคยปรุงตอนที่อยู่โลกใบเก่า แต่ว่านางก็ใช้สมุนไพรที่มีสรรพคุณคล้ายกันมาหลอมแทน แถมยังเป็นสมุนไพรห้าร้อยปีทั้งหมด พร้อมทั้งนางยังใช้วิธีการหลอมโดยอาคมในแบบโลกเดิมของนาง

เมื่อผู้อาวุโสมู่ได้ยินเช่นนั้น คิ้วก็ขมวดเข้าหากันทันที

“เพื่อแลกกับความแข็งแกร่ง ความเจ็บปวดนั้นก็ถือว่าคุ้มค่า แต่ว่านะเฟินเอ๋อร์ถ้าหากเราต้องการจะรู้ว่ายานี้ได้ประสิทธิภาพอย่างไร เราเพียงแต่ต้องรองดูเท่านั้น เจ้าไม่ว่าอะไรนะหากข้าต้องการจะใช้ยาเม็ดนี้ ข้าต้องการจะตรวจสอบประสิทธิภาพของยา”

“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ท่านสามารถใช้ได้ตามสบายเลยเจ้าค่ะ และอีกอย่างข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านเป็นอะไรไปอย่างแน่นอน”

หลังจากนั้นไม่นานเสียงกรี้ดร้องก็ดังขึ้น โชคดีที่หลานเฟินได้วางอาคมปิดกั้นไว้ ทำให้เสียงไม่สามารถเล็ดรอดออกไปได้

“ท่านปู่ ท่านต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้นะเจ้าคะ”

เสียงร้องของผู้อาวุโสมู่ ดังมาตลอดกว่าสองชั่วยาม หลังจากนั้นไม่นานเสียงร้องก็ได้เงียบลง หลานเฟินรีบเข้าไปดูอาการของผู้อาวุโสมู่ทันที

“สำเร็จ” ผลออกมาเป็นไปตามที่เธอต้องการ หลานเฟินรีบนำน้ำทิพย์ที่เธอเจือจางมาแล้วให้ผู้อาวุโสมู่ดื่มทันที หลังจากนั้นผู้อาวุโสมู่ก็ได้สติขึ้นมา

“ท่านปู่ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านลองตรวจสอบระดับพลังของท่านดู ยานี้เมื่อปรับเปลี่ยนร่างกายแล้ว ก็สามารถทะลวงขีดจำกัดของพลังได้เหมือนกัน”

“จริงงั้นึหรือ ข้าติดอยู่ที่ขั้นสีครามมากกว่าแปดปีแล้ว” ผู้อาวุโสมู่รีบตรวจสอบร่างกายของตนเองทันที

“โอ้..สวรรค์ นี่ข้ากำลังฝันไปไม่เพียงแต่ปรับเปลี่ยนร่างกายของข้าเท่านั้น แม้แต่พลังของข้าก็ทะลวงได้ด้วย เฟินเอ๋อร์ยาของเจ้าใช้ได้ผลจริงตามที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมดเลย ฮ่าฮ่าฮ่า ว่าแต่เฟินเอ๋อร์เจ้าหลอมยาเม็ดทะลวงขีดจำกัดมากน้อยเพียงใด”

“ท่านปู่ ข้านั้นหลอมออกมาหลายเม็ดเพียงแต่มันไม่สามารถใช้ได้” หลานเฟินพูดความจริงออกมาเพียงครึ่งเดียว

“เดิมทีข้านั้นใช้สมุนไพรห้าร้อยปีมาหลอมสกัดยาเม็ดนี้ออกมา แต่ยานี้ต้องมีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วนถึงจะสามารถใช้ได้ และอีกอย่างยานี้ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ยานี้มันยังเป็นยาระดับต่ำ เมื่อร่างกายถึงขีดจำกัดอีกครั้งยาเม็ดนี้ไม่สามารถใช้ได้อีก ต้องใช้ระดับที่สูงขึ้นไปเท่านั้นถึงจะได้ผล”

“ข้านี่มันชั่งคิดง่ายเกินไป เอาเถอะยาเม็ดนี้ได้เปลี่ยนชีวิตของข้า ระดับพลังของข้าก็เลื่อนมาอยู่ที่ขั้นน้ำเงินแล้วด้วย ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนข้าแทบไม่มีความหวังที่จะเลื่อนระดับได้เลย ขอบใจเจ้าจริงๆ ที่ยอมให้ข้าใช้ยาเม็ดนี้”

“ไม่เจ้าค่ะ เป็นข้ามากกว่าที่ต้องขอบคุณท่านปู่ ถึงแม้ท่านปู่ไม่รู้ว่ายาเม็ดนี้จะให้ผลอย่างไรแก่ท่าน แต่ท่านปู่ก็ยอมที่จะลองทดสอบด้วยตนเอง ข้าต้องขอบคุณท่านปู่มากเจ้าค่ะ”

“เอาเถอะ เฟินเอ๋อร์ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ เป็นธรรมดาที่คนเป็นปู่อย่างข้าจะให้การสนับสนุนเจ้า”

เมื่อรู้ว่ายาได้ผลดีอย่างที่คิดไว้ ต่อไปก็คนในครอบครัวของเธอทั้งหมด

ก๊อก..ก๊อก...ก๊อก

“ท่านพ่อลูกขอเข้าไปนะเจ้าคะ”

“เข้ามา ว่าไงมีอะไรวันนี้ถึงมาหาพ่อได้”

“มีเจ้าค่ะ สำคัญมากด้วย”

“อะไรงั้นรึ” เทียนหลง แสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที

“สองปีมานี้ตั้งแต่ที่ท่านพ่อเริ่มดูดซับพลังจากหินลมปราณ ท่านพ่อเลื่อนระดับมากี่ขั้นแล้วเจ้าคะ”

“สองขั้น ตอนนี้พ่ออยู่ในขั้นสีครามแล้ว”

“ท่านพ่อรับยานี่ไปเจ้าค่ะ ยานี้คือยาทะลวงขีดจำกัด มันจะปรับเปลี่ยนกล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ประสาทสัมผัส และยังทำให้เลือดของท่านไหลเวียนง่ายขึ้น หลังจากใช้ยานี้แล้วท่านพ่อก็จะสามารถดูดซับพลังได้ง่ายขึ้นและมากขึ้นถึงสองเท่าเจ้าค่ะ ลูกเตรียมเม็ดยานี้ไว้สี่เม็ด มีของท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่พี่รองเจ้าค่ะ”

“เฟินเอ๋อร์ ลูกไปได้ยานี้มาจากไหน”

“ลูกได้สูตรยามาจากมิติของลูกเจ้าค่ะ ท่านพ่อไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ท่านปู่มู่รับประกันคุณภาพให้ลูกแล้วเจ้าค่ะ” ก็ท่านปู่มู่ลองยาด้วยตนเองมาแล้วนี่นา

“อ้อ... อีกอย่างเจ้าค่ะ ยาเม็ดนี้เมื่อกินไปแล้วมันจะทำให้ท่านรู้สึกเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก หากท่านพ่อหรือท่านแม่ท่านพี่จะกินมันต้องให้ลูกอยู่ด้วยนะเจ้าคะ”

“ถ้าอย่างนั้นพ่อก่อนก็แล้วกัน ต่อจากพ่อก็ให้แม่ของลูก”

“เจ้าค่ะ ท่านพ่ออดทนไว้เพียงสองชั่วยามเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“อืม...เริ่มกันเลยเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

หลังจากนั้น

“อ้าก.....”

‘นี่มันความเจ็บปวดอะไรกันเหมือนกับว่าร่างกายทั้งร่างขาดออกจากกันเป็นชิ้นๆ แล้วก็พื้นตัวขึ้นมาใหม่ความเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาก็ไม่รู้ เวลาที่ผ่านไปชั่งยาวนานเหลือเกิน’

เสียงร้องดังขึ้นมาตลอดสองชั่วยาม(4ชั่วโมง)โชคดีที่เธอวางอักขระอาคมปิดกั้นเอาไว้ล่วงหน้า หลานเฟินรีบนำยาฟื้นฟูที่เธอทำมาจากการเจือจางของน้ำทิพย์ของเธอ ให้ท่านพ่อดื่มทันที

“ท่านพ่อดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ”

“ดีขึ้นมากแล้ว” ร่างกายของเทียนหลงค่อยๆฟื้นตัว

“ท่านพ่อฟื้นตัวเสร็จแล้ว ท่านพ่อค่อยตรวจสอบร่างกายดูนะเจ้าค่ะ และก็ยินดีด้วยที่ท่านพ่อตัดผ่านขอบเขตขั้นสีน้ำเงินได้เจ้าค่ะ”

“อะไรกัน! จริงหรือนี่ พ่อพึ่งตัดผ่านขอบเขตสีครามเมื่อเดือนที่แล้วและตอนนี้พ่อก็ตัดผ่านขอบเขตขั้นสีน้ำเงิน หรือว่ายานี้....”

“ใช่เจ้าค่ะ นอกจากเปลี่ยนร่างกายแล้ว ยังสามารถทำให้ตัดผ่านขอบเขตได้อีกหนึ่งระดับเจ้าค่ะ”

 

ภายในจวนตระกูลหลิน

“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกว่าเราต้องหาคนมาเพิ่มแล้วเจ้าค่ะ อีกไม่นานโรงเตี๊ยมของเราก็จะสร้างเสร็จแล้ว”

หลานเฟินคิดจะใช้สัญญาเลือด ในการควบคุมคนของเธอ สัญญานี้ในโลกเก่าของเธอ มีไว้ใช้กับคนในปกครองเมื่อผู้ที่ทำสัญญายอมรับในเงื่อนไขของผู้เป็นนาย สัญญานี้จะถูกประทับไว้ในจิตวิญญาณ หากใครกระทำผิดสัญญาที่ทำไว้กับผู้เป็นนาย จิตวิณญาณของคนผู้นั้นก็จะแตกสลายไปทันที

“แล้วลูกอยากได้สักกี่คนกัน”

“ร้อยคนก็น่าจะพอเจ้าค่ะ เมื่อโรงเตี๊ยมสร้างเสร็จ ลูกจะเริ่มปรับปรุงร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับของเราต่อ”

“พ่ออยากรู้มานานแล้ว ทำไมลูกถึงไม่ลงมือปรับปรุงร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับของเราก่อนที่จะสร้างโรงเตี๊ยมล่ะ ในเมื่อโรงเตี๊ยมต้องใช้เวลาอีกนาน”

“เพื่อลีกเลี่ยงการถูกจับตามองจากตระกูลหว่างเจ้าค่ะ คนในเมืองตอนนี้รวมทั้งตระกูลหว่างต่างเข้าใจว่า ลูกป่วยหนักจนท่านพ่อใช้เงินสะสมทั้งหมดมารักษาลูก แล้วเราจะนำเงินที่ไหนไปปรับปรุงร้านล่ะเจ้าคะ ที่สร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมาก่อนก็เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่า ท่านพ่อหมดตัวจนถึงขั้นขายโรงเตี๊ยม”

“ทำไมต้องหลีกเลี่ยง ตระกูลหว่างงั้นหรือ”

“ตระกูลหว่างมีฮ่องเต้อยู่เบื้องหลัง ท่านพ่อคิดว่าท่านจะถูกส่งไปชายแดนเพื่อปราบโจรกระจอกพวกนั้นรึเจ้าคะ ทำไมเพียงแค่ปราบโจรต้องส่งแม่ทัพใหญ่ไปด้วย และอีกอย่างเหตุใดท่านจำเป็นต้องอยู่ชายแดนถึงสามปี และท่านก็ถูกเรียกตัวกลับมาวันที่ลูกอาการหนักที่สุด ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกเจ้าค่ะ”

“นี่ข้าไปทำอะไรให้พวกมันกัน”

เขายังจำได้ดีวันนั้นที่เขากลับมาเฟินเอ๋อร์ก็หยุดหายใจไปแล้ว ตัวเขาแทบขาดใจ นั่นเป็นเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจคืนตราแม่ทัพให้แก่องค์ฮ่องเต้ แม้แต่ลูกก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้  แค่อยู่กับลูกในช่างสุดท้ายของชีวิตยังทำไม่ได้

“ดีแล้วเจ้าค่ะ ที่ท่านพ่อคืนตราแม่ทัพไป ชั่งเถอะตอนนี้เรามาเตรียมคนของเราก่อนดีกว่า ท่านพ่อรู้จักตราประทับจิตวิญญาณหรือไม่เจ้าคะ”

“มันคืออะไร” เทียนหลงทำหน้างง เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

“อะแฮ่ม.... ท่านพ่อยังจำวันที่ลูกถามท่านเกี่ยวกับผู้ใช้อาคมได้ไหมเจ้าคะ”

“นักอาคมงั้นหรือ จำได้” บุตรสาวของเขาพูดถึงผู้ใช้อาคมทำไมกัน

“อะแฮ่ม.... ท่านพ่อยังจำวันที่ลูกถามท่านเกี่ยวกับผู้ใช้อาคมได้ไหมเจ้าคะ”

“นักอาคมงั้นหรือ จำได้” บุตรสาวของเขาพูดถึงผู้ใช้อาคมทำไมกัน

“คือลูกไปพบกับตำราอาคมประเภทหนึ่งในมิติของลูกเจ้าค่ะ” โกหกอีกแล้ว

“ว่าอะไรนะ ตำราอาคมนี่มันสวรรค์ เฟินเอ๋อร์ลูกพ่องั้นลูกก็สามารถเป็นผู้ใช้อาคมได้น่ะสิ”

“แน่นอนเจ้าค่ะ”

‘ขอโทษด้วยนะเจ้าคะท่านพ่อ ลูกจะพยายามบอกความสามารถที่แท้จริงของลูก หากท่านพ่อรับรู้ทั้งหมดในครั้งเดียวเกรงว่าท่านจะรับไม่ไหว เฮ้ย...ท่านพ่อท่านยังหนุ่มอยู่แท้ๆ เหตุใดหัวใจท่านถึงออ่นไหวมากมายถึงเพียงนี้’

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับตราประทับวิญญาณล่ะ”

“ตราประทับวิญญาณ หรือเรียกอีกอย่างว่าสัญญาเลือด เมื่อผู้ที่ให้คำสัตย์สาบานแก่ผู้เป็นนาย หยดเลือดลงไปที่ตราประทับที่ลงอักขระอาคม ตราประทับนั้นจะถูกผนึกไว้กับจิตวิญญาณไม่มีทางนำออกมา แล้วคนผู้นั้นจะไม่มีวันทรยศผู้เป็นนาย หากแม้แค่คิดที่จะทรยศ จิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะแตกสลายไป การที่จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บก็นับว่าทรมานแล้ว แต่การที่จิตวิญญาณแตกสลายนั้นมันเหมือนกับตกนรกเลย นี่คือความสามารถของตราประทับจิตวิญญาณที่ลูกได้ครอบครองเจ้าค่ะ อ้อ... อีกอย่างหนึ่งผู้เป็นนายที่ให้คำสัตย์แก่ผู้ที่ทำสัญญาก็ไม่สามารถทรยศคำสัตย์ของตนได้เหมือนกัน”

“คำสัตย์สาบานที่ไม่อาจบิดพลิ้ว ชั่งเป็นอาคมที่ประเสริฐนัก”

เพียงไม่นานท่านพ่อก็หาคนมาได้เป็นจำนวนมาก

เดิมทีการทำสัญญาเลือดนั้น จำเป็นต้องใช้เลือดของผู้เป็นนาย เป็นส่วนผสมสร้างหนังสือสัญญาณออกมา แต่หลานเฟินใช้ของเล็บ บิดามาเป็นส่วนผสมแทนเลือด การที่ทำเช่นนี้ได้ก็มีเพียงหลานเฟิน เพียงคนเดียวเท่านั้น

“ท่านพ่อนี่คือสัญญาหนึ่งร้อยแผ่นเจ้าค่ะ ในสัญญาระบุไว้ว่าคนที่ต้องการเข้าร่วมกับตระกูลหลิน จะไม่มีวันเปิดเผยความรับใดๆของตระกูลทั้งสิ้น จะรับคำสั่งจากคนของตระกูลหลินเท่านั้น และจะไม่มีวันทรยศตระกูลหลินเป็นอันขาด นี่คือส่วนของผู้รับใช้ ส่วนของผู้เป็นนายคือ ตระกูลหลินจะไม่ทอดทิ้งพวกพ้อง ทุกคนที่เข้ามาจะเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของตระกูลหลิน และพวกเราจะเติบโตไปด้วยกัน ส่วนเรื่องค่าตอบแทนนั้นเหมาะสมแน่นอน”

“นี่น่ะหรือหนังสือสัญญา พ่อพึ่งเคยเห็นลวดลายอักขระอาคมเป็นครั้งแรก มันชั่งสวยงามและซับซ้อน นี่ลูกทำความเข้าใจทั้งหมดเลยึหรือ”

“เจ้าค่ะ ก็ลูกเป็นอัจฉริยะนี่นา”

“เด็กคนนี้ จริงเลยโตขนาดนี้แล้วยังชอบทำอะไรให้พ่อตกใจอยู่เรื่อย”

“ท่านพ่อลูกตามท่านแม่มาร่วมชมความงดงาม ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยเจ้าค่ะ”

“ทำสัญญาเลือกมีอะไรน่าดูชมกัน”

“เดี๋ยวก็รู้เจ้าค่ะ โอ๊ะ...ท่านแม่มานู้นแล้ว”

“ท่านพี่กับเฟินเอ๋อร์จะทำอะไรกันหรือเจ้าคะ”

“เรากำลังจะทำสัญญาผู้รับใช้กัน”

“ท่านแม่มาแล้วงั้นเรามาเริ่มกันเลย”

“ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่ตระกูลหลิน แต่ก่อนที่จะเข้าตระกูลหลินอย่างเป็นทางการ พวกเจ้าทุกคนยอมตายเพื่อตระกูลหลินหรือไม่ หากพวกเจ้าไม่ยินยอมพวกเจ้าก็ถอนตัวออกไปตั้งแต่ตอนนี้”

 

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป