Your Wishlist

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะเหนือภพ (บทที่ 8)

Author: หอสมุดจีน

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะสาวต้องมาตาย ในระหว่างที่กำลังค้นคว้าตำราที่ซื้อมาจากร้านขายของเก่า เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่ามาอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัย 8 ขวบ ที่ป่วยขี้โรคเป็น 'ขยะ' ไร้ค่าที่ผู้คนต่างดูถูก

จำนวนตอน : N/A

บทที่ 8

  • 12/04/2565

บทที่ 8

หลังจากออกมาจากห้องหนังสือ หลานเฟินก็ไปพบมารดาและพี่ชายทั้งสองพร้อมกับบิดา นี่ถือได้ว่าเป็นการพบหน้ากันครั้งแรกของหลานเฟินกับพี่ชายอายุน้อยทั้งสองของนาง

หลานเฟิงรู้สึกถึงห่างเหินหน่อยๆจากพี่ชายทั้งสอง อาจเป็นเพราะพวกทั้งคู่ไม่ค่อยได้กลับมาหรือเป็นเพราะเพตุผลอื่นก็ตาม นางก็คล้านจะสนใจในเมื่อนางไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับพี่ชายทั้งสอง แม้ว่านางจะเคยสอบถามความสัมพันธ์ของนางกับครอบครัวมาบ้าง และรู้ว่าหลานเฟินในอดีตนั้นแทบจะไม่ได้พบปะพูดคุยกับพี่ชายทั้งสองเลย

แต่เนื่องจากหลานเฟินในอดีตเป็นเพียงคนอ่อนแอขี้โรค ทั้งยังไม่อาจฝึกฝนได้ทำให้เป็นที่นินทาจนทำให้ใครหลายคนในจวนแม่ทัพต้องอับอาย

“เฟินเอ๋อร์ลูกจำพี่ใหญ่กับพี่รองได้ไหม” หมิงเยว่ที่นั่งอยู่เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นที่ครอบครัวได้มาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า แม้กระทั่งไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของบุตรชายทั้งสอง

แต่มีหรือที่หลานเฟินจะไม่เห็นถึงความเฉยชาบนใบหน้าของคนทั้งสอง แต่นางก็หาได้สนใจไม่ในเมื่อนางไม่ใช่หลานเฟินในอดีต ขอแค่พวกเขาไม่ล้ำเส้นของนางพวกเขาจะปฏิบัติกับนางอย่างไรนางก็คล้านจะสนใจ

“จำไม่ได้เจ้าค่ะ” หลานเฟินตอบออกไปตามจริง

ในยามนั้นก็เกิดความกระอักกระอ่วนระหว่างครอบครัว หมิวเยว่และเทียนหรงรู้ดีว่าบุตรชายทั้งสองไม่ค่อยชอบน้องสาวที่อ่อนแอของพวกเขามากนัก ทั้งสามจึงไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันบ่อยนักเป็นเพราะพวกเขาดีใจที่บุตรสาวหายป่วยและเก่งกาจมากขึ้น จนเขาได้หลงลืมไปว่าบุตรชายทั้งสองไม่ชอบบุตรสาวคนเล็ก

เทียนหรงจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ทั้งบุตรชายและบุตรสาวฟัง หลังจากนั้นความห่างเหินของพี่ชายและน้องสาวจึงเริ่มผ่อนคลายลง

เดิมทีพี่ชายทั้งสองไม่ได้ไม่ชอบน้องสาวผู้นี้มากมาย เพียงแต่หลานเฟินในอดีตจิตใจอ่อนไหวมากเกินไป หลังจากที่ได้ยินบ่าวรับใช้นินทาตนลับหลังว่านางเป็นเพียงตัวไร้ค่าของตระกูลกลายเป็นตัวตลกที่คนด้านนอกพากันหัวเราะ คิดว่าตนเองที่มีสภาพเป็นแบบนี้บิดามารดาและพี่ชายต้องรังเกียจนางมากด้วยเช่นกัน ในตอนที่พี่ชายทั้งสองมาเยี่ยมนางวันนั้นนางจึงได้ว่าพี่ชายของนางด้วยคำพูดที่น่ารังเกียจ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพี่ชายทั้งสองก็ไม่เคยมาเยี่ยมนางอีกเลย

หลังจากที่เฟยหรงและหลินหยางได้รู้ว่า หลังจากที่หลานเฟิงเสียความทรงจำนางก็ไม่เหมือนเดิมแถมยังรู้จักคิดมากขึ้น พวกเขาก็พร้อมที่จะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ในเมื่อตัวนางในยามนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วในทางที่ดี

ในยามนี้สายเลือดหลักของตระกูลหลินเหลือกันเพียงเท่านี้ การที่พี่น้องกลมเกลียวกันถือเป็นเรื่องดี

หลินเฟยหรงและหลินหยางกลับมาเพียงสาววันเท่านั้น ตลอดสาววันนั้นพวกเขาไม่ได้ออกไปที่ไหนใช้เวลาอยู่กับครอบครัวตลอดจนกระทั่งเดินทางกลับสำนักศึกษา

……………

ตอนนี้การสร้างโรงเตี๊ยม เมิ่งเสี่ยง ผ่านไปได้ด้วยดี เหล่าฝูงชนนับวันยิ่งให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างที่แปลกตา และยังมีขนาดที่ใหญ่โต ตอนนี้ท่านพ่อใด้ใช่เงิน ที่ได้ไปจากนางหมดแล้วนับวันค่าใช้จ่ายในการสร้างยิ่งสูงขึ้น

“นี่เฟินเอ๋อร์ มันจะไหวรึเราใช้เงินไปมากมายในการสร้างโรงเตี๊ยมขนาดนี้” เทียนหรงรู้สึกหนักใจ ถึงแม้เขาจะไว้ใจบุตรสาวของเขามากเพียงใด แต่สำหรับเงินที่จ่ายออกไปมากมายนั้น มันก็ทำให้เขาปวดใจอยู่ดี

“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ ตอนนี้เราก็สร้างมาได้ครึ่งทางแล้วคาดว่าใช้ภายในปลายปีหน้าก็คงเสร็จนี่ถือได้ว่าเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้มาก เมื่อถึงยามนั้นท่านพ่อจะไม่รู้สึกเสียดายกับเงินที่ต้องสูญเสียไปอย่างแน่นอเจ้าค่ะ”

หลานเฟินใช้เวลาไม่ถึงสี่ปีอย่างที่คิด แต่ก็น่าไม่แปลกใจที่ท่านพ่อจะรู้สึกกังวลใจ ถึงแม้ว่าระยะเวลาที่ใช้จะไม่ยาวนานแต่ก็ใช้เวลามากกว่าสองปี พร้อมกับเงินที่ในในการก่อสร้างก็เป็นจำนวนมาก และทางตระกูลหลินก็ไม่มีรายได้มากว่าสองปีแล้ว

ถึงแม้หลินเฟินจะมีเงินมาใช้จ่ายสำหรับภายในตระกูล แต่เทียนหรงก็ไม่อยากให้บุตรสาวรับภาระหนักเกินไป ถึงแม้บุตรสาวของเขาจะพูดว่าเรื่องเงินไม่มีปัญหาก็เถอะ

แต่สำหรับคนเป็นพ่ออย่างเทียนหรง การให้เด็กอายุเพียงแปดปีต้องมาแบกรับภาระทีควรจะเป็นของเขามาตลอดสองปีมานี้ โดยที่เขาแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรสักอย่าง

หลานเฟินยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายอารมณ์ โดยที่ไม่รู้เลยว่าตอนนี้บิดาของนางกำลังรู้สึกหดหู่ที่ตนไร้ความสามารถแค่ไหน

ก็แล้วจะไม่ให้นางไม่สบายได้อย่างไร เงินที่ใช้จ่ายอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือเงินที่ได้มาจากการประมูล นางไม่ได้เหนื่อยหามาเองเสียหน่อย ต่อให้เงินหมดไปแล้วอย่างไรในเมื่อนางมีวิธีหาเงินได้มากมายอยู่กับตัว นางเลยมองข้ามคงคิดของคนรอบข้างไปโดยไม่รู้ตัว

สองปีมานี้หลานเฟินใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในแดนสวรรค์ ตั้งแต่ที่นางนำสมุนไพรที่ได้มาจากโรงโอสถมาปลูก ในแดนสวรรค์นี้ก็ทำให้นางรู้ว่าเวลาในแดนสวรรค์นี้จะผ่านไปเร็วกว่าภายนอกนับร้อยเท่า สมุนไพรนั้นหนึ่งวันภายนอกก็เท่ากับร้อยวันภายในแดนสวรรค์นี้ นางเข้าใจแล้วเหตุใดที่นี่จึงเป็นแดนสวรรค์

เมื่อก่อนหน้านี้นางไม่รู้เลยว่าเวลาภายในนี้ดำเนินไปอย่างไร แต่ตอนนี้นางได้รู้แล้วนางใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการฝึกฝนในแดนสวรรค์แห่งนี้ คอยเฝ้ามองสมุนไพรที่นางนำมาปลูกเจริญเติบโตด้วยความเร็วที่ตาเห็นได้ชัด ตอนนี้นางได้ก้าวข้ามคนในวัยเดียวกันไปมากแล้ว บอกไปใครจะเชื่อว่าเด็กอายุสิบปีจะไปถึงขั้นสีน้ำเงิน

แต่ก็มีเรื่องหน้าผิดหวังสำหรับนาง สองปีมานี้ตำราโบราณกับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย นอกจากพื้นที่ในแดนสวรรค์ที่กว้างขึ้นเท่านั้น เมื่อนางตัดผ่านระดับก็มีเพียงเขตแดนที่ถูกปิดกั้นไว้เปิดออกมาเท่านั้น แต่นางก็หาได้ผิดหวังที่ไม่สามารถเปิดตำราออกเพียงอย่างเดียวไม่ การได้สำรวจเขตแดนใหม่ ก็ทำให้นางคลายความผิดหวังไปได้หลายส่วน นางได้สำรวจเขตแดนที่เปิดออกมาจากการเลื่อนระดับของนาง

มีถ้ำมากมายที่นางเข้าไปสำรวจ ภายในถ้ำมีทั้งสมุนไพร และหินผลึก หินแร่ต่างๆ ที่นี่มันสวรรค์ชัดๆ นางได้นำหินผลึก และหินแร่ออกมาให้บิดาดูว่ามันคือสิ่งใด ความรู้เกี่ยวกับโลกใหม่ของนางมันน้อยนิดเกินไป

“เฟินเอ๋อร์มีอะไรรึถึงมาหาพ่อ ช่วงนี้ลูกคงยุ่งมากเลยใช่ไหม”

“ก็ไม่ได้ยุ่งมากอะไรขนาดนั้น ก็แค่นิดหน่อยเจ้าค่ะ” จะให้บอกไปได้อย่างไรว่านางใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะและสำรวจพื้นที่ในแดนสวรรค์

“ท่านพ่อลูกมีเรื่องให้ท่านพ่อช่วยนิดหน่อยเจ้าค่ะ”

“มีอะไรให้พ่อช่วยงั้นหรือ” เทียนหรงพูดออกมาด้วยความกระตือรือร้น ในที่สุดบุตรสาวก็ต้องการความช่วยเหลือจากเขา

“ท่านพ่อรู้จักกับของสิ่งนี้หรือไม่เจ้าคะ” หลานเฟินนำหินแร่และผลึกหินออกมาให้ท่านพ่อดู หินแร่นั้นนางก็พอจะดูออกว่าใช้ทำอะไรแต่ที่นางไม่รู้คือมันจัดอยู่ที่ระดับใด ส่วนผลึกหินนั้นนางไม่รู้ว่ามันคืออะไร นางสัมผัสได้ถึงพลังงานมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ภายใน ลักษณะของผลึกหินนี้มีขนาดเท่าหัวแม่มือ มีม่วงโปร่งใส

“นี่มันสวรรค์!!!!... เฟินเอ๋อร์ลูกไปได้หินลมปราณมาจากที่ใดกัน”

“อะไรคือหินลมปราณหรือเจ้าคะ” นางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก ว่าอะไรคือลมปราณ

เทียนหรง หยิบผลึกหินสีม่วงขึ้นมาดูอย่างละเอียด

“ซูด...(เสียงสูดลมหายใจ) ระดับสูง นี่คือหินลมปราณระดับสูง” หลานเฟินยังคงทำหน้างงอยู่เช่นเดิม นางรอให้บิดาหายตื่นเต้นลงก่อน

“ลูกถามว่าหินลมปราณนี้คือสิ่งใดสินะ อืม... มันคือหินที่ใช้ในการดูดซับเพื่อเพิ่มระดับการบ่มเพาะ หินลมปราณนี้มันมีพลังฟ้าดินเข้มข้นกว่าภายนอกมาก”

“เฟินเอ๋อร์ลูกได้หินลมปราณมาได้อย่างไร”

“ในนี้เจ้าค่ะ” หลานเฟินชี้ไปที่หลังมือของเธอ

“ลูกมีอีกหรือไม่”

“ท่านพ่อไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ลูกมีอีกเยอะและอีกอย่าง หินลมปราณก้อนนี้ถือว่าเล็กที่สุดเท่าที่ลูกมีเลยเจ้าค่ะ” หลานเฟินได้หยิบหินลมปราณออกมาอีกก้อน ซึ่งก้อนนี้มีขนาดใหญ่กว่าก้อนที่แล้วถึงสองเท่า

“ลูกไม่รู้หรอกนะเจ้าค่ะ ว่าหินลมปราณนี้อยู่ในจัดอยู่ในระดับใด”

เทียนหลง ยิ่งตกใจมากกว่าเก่า นี่มันระดับไหนกัน เขาไม่เคยได้ยินเรื่องที่มีหินลมปราณระดับที่สูงกว่าระดับสูง

“แล้วหินแร่ นี่ล่ะเจ้าคะ”

“เรื่องหินแร่นี้พ่อไม่ค่อยแน่ใจ ส่วนใหญ่จะใช้ในการหลอมสร้าง”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องการสร้างโรงเตี๊ยมลูกคาดว่าใช้เวลาประมาณสามถึงสี่ปีกว่าจะเสร็จ ช่วงเวลานี้ท่านพ่อและท่านพี่ใช้หินลมปราณนี่บ่มเพาะไปก่อน”

จนถึงตอนนั้นมันก็ผ่านมาแล้วสองปี หลานเฟินที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในแดนสวรรค์นั้น หนึ่งวันภายนอกนั้นมันเท่ากับร้อยวันภายใน

“เวลาชั่งยาวไกล คงต้องค่อยๆเผยความสามารถให้ท่านพ่อทราบ ไม่งั้นมีหวังท่านพ่อได้หัวใจวายกันพอดี” หลานเฟินได้แต่บ่นกับตนเองเงียบไป

“คงต้องออกไปหาท่านปู่มู่เสียหน่อย วิธีการหลอมยาของที่นี่ไม่เหมือนโลกเก่าของเรา” หลานเฟินมองดูสมุนไพรอายุร้อยปีที่นางเก็บไว้ตลอดสี่ปีมานี้ พรางคิดว่าคงได้เวลาหลอมยาแล้ว ยาที่นางหลอมไว้โดยวิธีการใช้อาคมก็มีเยอะแล้ว แต่นางก็ยังไม่เคยเห็นประสิทธิภาพของมัน ท่านปู่มู่จึงเป็นตัวเลือกที่ดีในการลองยาของนาง นางแน่ใจว่ายาของนางไม่เป็นอันตรายแน่นอนอน

เช้าวันต่อมา ที่โรงโอสถ

“คาราวะท่านผู้อาวุโสเก่อ ท่านปู่มู่อยู่หรือไม่เจ้าคะ”

“ยินดีต้อนรับขอรับคุณหนูเฟิน ท่านผู้อาวุโสมู่อยู่บนชั้นสองขอรับ”

“ช่วยแจ้งท่านว่าข้าขอเข้าพบหน่อยเจ้าค่ะ”

“รอสักครู่ขอรับ”

……….

“คุณหนูเฟิน ท่านผู้อาวุโสเชิญท่านขึ้นไปด้านบนขอรับ”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ”

ก๊อก

ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

“เข้ามา”

“คาราวะท่านปู่เจ้าค่ะ”

“มาแล้วรึ มีอะไรล่ะถึงมาหาคนแก่คนนี้”

“ท่านปู่ท่านยังไม่แก่สักหน่อยเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่างถ้าข้าไม่มาหาท่านแล้วจะให้ข้าไปหาผู้ใดเจ้าคะ(เพราะมีแต่ท่านเท่านั้นที่ได้ลองยาของข้า)”

“ไม่ต้องมาพูดยอข้าเลยนะ” ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ว่าใบหน้าที่แสดงออกมานั้นชั่งตรงข้ามกับที่พูด

“คิก..คิก... งั้นข้าเข้าเรื่องเลยนะเจ้าคะ ที่ข้ามาวันนี้ขาอยากจะให้ท่านช่วยข้าตรวจสอบเม็ดยาที่ข้าหลอมขึ้นมาเจ้าค่ะ”

หลานเฟินหยิบเม็ดยาที่นางหลอมออกมา ช่วงเวลาสองปีมานี้ถึงนางจะหลอมเม็ดยาเป็นจำนวนมาก แต่ว่านางก็หลอมเพียงตัวเดียวเท่านั้น ยานี้นางจะไว้ใช้กับคนของนาง ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีสักคนก็เถอะ แต่ยังไงนางก็ต้องหาคนมาให้ได้ ก่อนที่โรงเตี๊ยมเมิ่งเสี่ยงจะสร้างเสร็จ ถ้าหากเป็นโลกเก่าของนางโรงเตี๊ยมของนางคงจะสร้างเสร็จตั้งแต่ครึ่งปีแรกแล้ว วิทยาการของโลกนี้ชั่งล้าหลัง

 

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป