Your Wishlist

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะเหนือภพ (บทที่ 3)

Author: หอสมุดจีน

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะสาวต้องมาตาย ในระหว่างที่กำลังค้นคว้าตำราที่ซื้อมาจากร้านขายของเก่า เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่ามาอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัย 8 ขวบ ที่ป่วยขี้โรคเป็น 'ขยะ' ไร้ค่าที่ผู้คนต่างดูถูก

จำนวนตอน : N/A

บทที่ 3

  • 02/09/2564

บทที่ 3

‘แล้วตำรานั้นหายไปไหนแล้ว’ เมื่อมองหาแถวที่เธออยู่ไม่เจอก็มีเพียงที่เดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้ไปดู ‘ในกระท่อมน้อย’ เมื่อเป็นเข้าไปในกระท่อม หลานเฟินก็เห็นตำราที่นางตามหาลอยอยู่กลางกระท่อม ตำรายังคงเปิดค้างไว้หน้าที่สอง ด้านบนของภาพ ในตำรามีอักษรเขียนไว้ว่า ‘แดนสวรรค์’

ตำราหน้าแรก วิถีฟ้าดิน ส่วนหน้าที่สองแดนสวรรค์

“นี่คงเป็นพื้นที่พิเศษสินะ” หลานเฟินสัมผัสได้ถึงพลังงานฟ้าดินที่หนาแน่นภายในสถานที่แห่งนี้ ถ้าหากฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้แล้วล่ะก็ จะยิ่งทำให้ฝึกได้รวดเร็วขึ้นกว่าด้านนอกหลายเท่าอย่างแน่นอน

“ทุกอย่างในนี้ ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่” หลานเฟินพึมพำออกมาเบาๆ

เมื่อหลานเฟิน ออกมาจากแดนสวรรค์ นางก็รับรู้ทันทีว่ามิติเวลาด้านในและด้านนอกแตกต่างกัน ครั้งหน้าที่เข้าไปนางต้องสำรวจให้ละเอียด แต่ก่อนอื่นต้องไปหาบิดาของนางก่อนเพื่อที่จะเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ไปหาบิดาของนางทันที

“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกขอเข้าไปด้านในนะเจ้าคะ” เมื่อมาถึงห้องหนังสือของบิดา นางก็ขออนุญาตเข้าไป

“เข้ามาเถอะ...เฟินเอ๋อร์ มีอะไรหรือ ร่างกายแข็งแรงดีแล้วงั้นหรือถึงได้ออกมาข้างนอก” เทียนหรงเอ่ยถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง

หลังจากที่หลานเฟิน มายังโลกนี้นางก็ยังไม่เคยก้าวเท้าออกมาจากห้องเลยจึงทำให้ไม่ค่อยได้พบกับครอบครัวใหม่ของนางสักเท่าไร

“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกมีเรื่องจะให้ท่านพ่อช่วยสักเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ” หลานเฟินใช้น้ำเสียงออดอ้อนบิดาของนาง

“หือ... อยากไห้พ่อช่วยอะไรล่ะ ไหนลองบอกมาสิ” เทียนหรงพึ่งเคยเห็นบุตรสาวของเขาอ้อนแบบนี้ มันทำให้คนเป็นบิดาถึงกับยิ้มออกมาหน้าบานเลยทีเดียว

“ลูกอยากจะขอยืมห้องหนังสือของท่านพ่อเจ้าค่ะ และลูกก็อยากจะศึกษาตำราแพทย์และสมุนไพรด้วยเจ้าค่ะ ลูกสามารถดูดซับพลังฟ้าดินได้แล้ว ลูกอยากจะศึกษาทั้งประวัติของอาณาจักรและก็การปรุงยาเจ้าค่ะ” หลานเฟินเอ่ยออกมาด้วยความสัจจริง

“อะไรนะ!! เฟินเอ๋อร์จริงหรือที่ลูกบอกว่าลูกสามารถฝึกลมปราณได้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า.. สวรรค์เมตตาตระกูลหลินของเราแล้ว ถ้าพี่ๆของลูกรู้ต้องดีใจมากแน่ๆ” เทียนหรงเอ่ยถึงบุตรชายทั้งสองของเขา ที่ตอนนี้ออกไปศึกษาอยู่ที่สำนักด้านนอกแคว้น

“ท่านพ่อ ท่านอย่าบอกใครได้ไหมว่าลูกฝึกปราณได้แล้ว” หลานเฟินไม่อยากที่จะต้องมาจบชีวิตเร็ว โบราณเคยกล่าวไว้ว่าอัจฉริยะมักที่จะตายเร็ว นางยังไม่รู้ว่าตระกูลหลินเป็นศัตรูกับใครบ้างหรือเปล่า

“ทำไมล่ะ?” เทียนหรงถามออกมาด้วยความสงสัย เขาคิดที่จะประกาศออกไปให้ภายนอกได้รับรู้ว่าบุตรสาวของเขาไม่ใช่คนไร้ค่าอย่างที่ผู้คนกล่าวหา

“คือ... ลูกอยากจะให้ท่านพี่ทั้งสองตกใจตอนที่ท่านพี่กลับมาเจ้าค่ะ” หลานเฟินตอบปัดออกไป เหตุใดนาวจะไม่เข้าใจความรู้สึกของบิดา แต่นี่ก็เพื่อความปลอดภัย ในยามนี้นางยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตนเอง และจะไม่มีวันดึงคนรอบครัวของนางมาเกี่ยว

“ฮ่าฮ่าฮ่า... ตามใจลูกเถอะส่วนเรื่องตำราแพทย์และสมุนไพร พ่อจะให้คนไปหามาให้ ช่วงนี้ลูกก็ศึกษาตำราภายในห้องนี้ไปก่อน แล้วยังอยากได้อะไรจากบิดาคนนี้อีกไหม” เทียนหรงถามออกมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

หลานเฟินตั้งแต่เกิดมาร่างกายไม่เหมือนคนทั่วไปเทียนหรงก็พยายามที่จะหาทางรักษา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรบุตรสาวของเขาก็ไม่ดีขึ้นมาเลย นับวันอาการยิ่งมีแต่แย่ลงเรื่อยๆ หมอที่มีฝีมือมากมายที่เชิญมาตรวจกี่คนก็บอกว่าร่างกายของนางไม่มีอะไรผิดปกติ และก็เดินจากไปเป็นแบบนี้ตลอด จนกระทั่งวันที่บุตรสาวของเขาไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีก

ชีพจรก็เต้นแผ่วเบาลงทุกวัน หมอทั้งหลายต่างก็พากันจนปัญญา บุตรสาวของเขาหลับไปนานเป็นปี นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาร่างกายบุตรสาวของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย จนกระทั่งวันหนึ่งชีพจรของบุตรสาวของเขาก็หยุดเต้นลมหายใจขาดหายไป

ตอนนั้นเขาคิดว่าเขาได้สูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักของเขาไปแล้ว แต่ใครจะคิดบุตรสาวของเขากลับตื่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน มีเพียงความทรงจำเท่านั้นที่หายไป

“ท่านพ่อลูกไม่ทราบว่าลูกยังอ่านออกเขียนได้อยู่หรือเปล่า ลูกจำอะไรก่อนที่ลูกจะตื่นขึ้นมาไม่ได้เลยเจ้าค่ะ” ที่หลานเฟิน บอกบิดาไปแบบนั้นเพราะนางไม่รู้ว่า บิดาเคยสอนหลานเฟิน คนเก่าไปแล้วหรือไม่

“พ่อจะสอนลูกเอง” ตัวเขาเองรู้ดีบุตรสาวของเขาไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย นอกจากนอนป่วยอยู่บนเตียง

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ” นางกระโดดกอดบิดาของนางพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่ หลานเฟินไม่เคยทำอะไรอย่างนี้มาก่อน นางเป็นเด็กกำพร้าใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์ขี้เมาของนางมาตั้งแต่จำความได้ เธอไฝ่ฝันอยากมีครอบครัวเหมือนคนอื่นอยากจะลองสัมผัสกับความอบอุ่นที่เรียกว่าครอบครัว

“เด็กคนนี้นี่ อย่างได้ไปทำแบบนี้กับบุรุษอื่นเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่” เทียนหรงแกล้งเอ็ดบุตรสาว

“กับท่านพี่ก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ” หลานเฟินเย้าถามบิดา

“ไม่ได้!!! นอกจากพ่อคนเดียวห้ามทำแบบนี้กับบุรุษคนใดทั้งสิ้นเข้าใจไหม”

“คิก..คิก..เจ้าค่ะ” หลานเฟินหัวเราะออกมาจากใจจริง นี่สินะที่เรียกว่าครอบครัว

หลานเฟินใช้เวลาแค่สองสัปดาห์ในการเรียนรู้ทั้งหมด ย้ำว่าทั้งหมดก็แน่ล่ะนางรู้ทุกอย่างอยู่แล้วนี่เนอะ

และแล้วก็ได้เวลาเรียนรู้ของจริง ตำราสมุนไพรเล่มใหญ่ก็วางอยู่ตรงหน้าของนาง สมุนไพรมากกว่าสามหมื่นชนิดพร้อมคุณลักษณะทุกประเภททั้งมีพิษและไม่มีพิษ

ใช่ว่านางไม่เคยรู้เรื่องสมุนไพรแต่ว่าปัจจุบันนั้นสมุนไพรส่วนใหญ่แทบจะหายสาบสูญเหลือไม่ถึงสองหมื่นชนิดด้วยซ้ำ ต่อให้นางเห็นสมุนไพรเหล่านั้นวางอยู่ตรงหน้าเธอก็ไม่รู้จัก หลานเฟินดูภาพในตำรามีสมุนไพรบางชนิดที่นางรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

'อ่า... ใช่แล้วมันคือพืชที่อยู่หลังม่านน้ำตกในมิตินั่น' ตั้งแต่ออกมาจากแดนสวรรค์ครานั้นนางยังไม่ได้เข้าไปอีกเลย ไม่ต้องเสียเวลาคิดหลานเฟินส่งจิตเข้าไปในตราประทับโลหิตทันที

แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ครั้งนี้ที่เข้ามาด้านในกลับไม่ใช่ร่างจิต แต่สามารถนำพาร่างจริงเข้าไปภายในนั้นได้ ในมือของหลานเฟินยังถือตำราสมุนไพรไว้อยู่

หลานเฟินเดินไปที่ม่านน้ำตกทันที เรื่องอื่นไว้ค่อยคิดทีหลัง

“แล้วจะผ่านม่านน้ำตกนี้ได้อย่างไร” ถึงแม้ว่าน้ำตกที่อยู่ตรงหน้าเธอจะสามารถมองว่าโปร่งบางมาก สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังก็จริง แต่มันเหมือนกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นไว้อยู่ หลานเฟินได้ลองโยนก้อนหินเข้าไปก่อนหน้านี้ ก้อนหินเมื่อสัมผัสโดนม่านน้ำตกก็สะท้อนกลับทันที

หลานเฟิน ยื่นมือเข้าไปสัมผัสกับม่านน้ำตก ทันใดนั้นม่านน้ำตกก็แยกออกจากกันเป็นช่องให้ผ่านเข้าไปได้ เมื่อผ่านเข้ามาข้างในม่านน้ำตกแล้ว ภาพที่นางเห็นอยู่ตรงหน้านี้ทำให้นางถึงกับชะงัก ‘นี่มันขุมสมบัติชัดๆ’

ทุ่งดอกไม้ที่นางมองเห็นอยู่ด้านนอกม่านน้ำตกเพียงรางๆ แท้จริงแล้วคือสมุนไพรทั้งหมด หลานเฟินค่อยๆกวาดสายตามองรอบๆ ให้ละเอียดอีกครั้ง มีสมุนไพรบางชนิดที่ไม่มีบันทึกไว้ในตำรามากมาย ละอองน้ำจากน้ำตกถูกดูดซับด้วยพืชสมุนไพรเหล่านี้

สมุนไพรทั้งหมดนี้มีอายุมากกว่าหมื่นปี ตามที่ตำราบอกไว้เมื่อสมุนไพรมีอายุมากกว่าหมื่นปีจะสามารถปรุงเป็นยาอายุวัฒนะได้

หลานเฟินเดินกลับมาที่กระท่อมของนางอีกครั้ง กระท่อมหลังนี้ดูจากภายนอกอาจจะเล็กไม่สะดุดตา แต่ภายในกลับกว้างกว่าที่ตาเห็นเป็นอย่างมาก ตรงกลางห้องยังคงมีตำราโบราณลอยอยู่ และยังคงมีห้องอื่นอยู่อีกสองห้อง แต่นางเปิดได้เพียงห้องเดียวหลานเฟินใช้ห้องนั้นฝึกลมปราณ ส่วนอีกห้องนางไม่สามารถเปิดได้ ดูเหมือนการจะเปิดพื้นที่ในแดนสวรรค์ต้องมีพลังมากกว่านี้

ผ่านไปแล้วอีกสองเดือน หลานเฟินใช้เวลาในการศึกษาตำราสมุนไพร ภายในแดนสวรรค์ตอนนี้หลานเฟินรู้แล้วว่า สมุนไพรทั้งในแดนสวรรค์มีคุณสมบัติอะไรบ้าง

หลังจากที่หลานเฟินออกมาจากแดนสวรรค์แล้ว ตอนนี้นางมีความคิดที่จะลองนำสมุนไพรด้านนอก เข้ามาปลูกในแดนสวรรค์ นางไม่อยากใช้สมุนไพรหมื่นปีมาหัดปรุงยาหรอกนะ

“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกขอออกไปข้างนอกได้ไหมเจ้าคะ ลูกอยากไปหอสมุนไพรเจ้าค่ะ”

“เฟินเอ๋อร์ ลูกยังเล็กนักที่จะออกไปข้างนอก เอาอย่างนี้พ่อจะออกไปตรวจกิจการของตระกูล ลูกก็ไปกับพ่อดีหรือไม่”

“เจ้าค่ะ ว่าแต่กิจการของตระกูลเรามีอะไรบ้างเจ้าคะ”

“ก็มีโรงเตี๊ยมหอมหวน ร้านเครื่องประดับม่านหมอก ร้านผ้าดาราสายรุ้ง ร้านลวงทั้งหมดล้วนมาจากสินเดิมของมารดาเจ้า” เทียนหรงเอ่ยขึ้น

ตระกูลหลินตั้งแต่บรรพบุรุษ ทุกคนล้วนเป็นทหาร พวกเขาไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านค้าขายมากนัก เดิมทีกิจการพวกนี้จะเป็นฮูหยินเป็นคนดูแล

แต่ตั้งแต่ที่เขาคืนตราพยัคฆ์ เขาก็เข้ามาดูแลกิจการเหล่านี้แทน แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ราบรื่นนัก

“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกอยากรู้ว่าผู้ฝึกตนนอกจากสายฝึกยุทธกับสายปรุงยาแล้วมีผู้ฝึกตนสายอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ ในตำราที่ลูกศึกษาอยู่นั้นมีบอกไว้เพียงเท่านี้” หลานเฟินถามสิ่งที่นางสงสัย

“ที่จริงก็มีอยู่อีกสายหนึ่งแต่ไม่เป็นที่แพร่หลายนัก นั่นก็คือผู้ใช้อาคม”

“ผู้ใช้อาคมหรือเจ้าคะ” หลานเฟินถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“หืม... หรือว่าลูกสนใจศึกษาด้านอักขระอาคม เป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะเรียนอาคมหรอกนะ” เทียนหรงรีบเอ่ยเตือนบุตรสาวทันที

เขารู้ว่าบุตรสาวของมีความสนใจในด้านอาคม ดูจากอาการตื่นเต้นตาเป็นประกายจนออกนอกนั่นหน้าแล้ว

“ผู้ใช้มีน้อยจนแทบจะนับนิ้วได้ในแผ่นดินนี้ ลูกอยากรู้ไหมว่าเพราะเหตุใด” เทียนหรงเอ่ยถามบุตรออกไป

หลานเฟินผงกหัวติดๆกันหลายที นางยังไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอกดี เพราะฉะนั้นนางจึงต้องศึกษาอย่างละเอียดและรอบคอบ เพราะประวัติเมื่อสามหมื่นปีที่ผ่านมา แทบจะไม่มีการบันทึกไว้ในสถานที่ที่นางจากมา

“นั่นก็เพราะอักขระที่ผู้ใช้อาคมนั้นมีอยู่น้อยมาก และนั่นก็ยากที่จะทำความเข้าใจ และผู้ใช้อาคมก็ไม่รับลูกศิษย์เป็นของตนเอง” เทียนหรงพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดไปพักนึงแล้วพูดต่อ

“ผู้ใช้อาคมนั้นเดิมทีก็มีน้อยอยู่แล้ว นั่นจึงทำให้พวกเขาเป็นที่เคารพนับถือ มากกว่าผู้ปรุงโอสถเสียอีก อักขระจารึกแต่ละตัวนั้นยากนักที่จะได้ครอบครอง” เทียนหรงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ

“อ้อ.. ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ สรุปก็คืออักขระอาคมนั้นหายาก ผู้ที่ได้ครอบครองไม่มีทางแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นเป็นอันขาด พวกเขาจึงไม่รับศิษย์เป็นของตนเอง” หลานเฟินเอ่ยข้อสรุป

“ถูกต้องแล้ว” เทียนหรงเอ่ยสมทบ

เขาไม่ต้องการให้บุตรสาวคิดเรื่องที่ไกลตัวมากเกินไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการให้บุตรสาวเรียนรู้เรื่องอักขระ เพียงแต่ว่าเขาไม่สามารถตอบสนองความต้องการของบุตรสาวได้ก็เท่านั้น เขารู้ดีว่าผู้ใช้อักขระนั้นหาตัวพบยากมากเพียงใด แม้แต่แคว้นเกาก็ไม่มีผู้ใช้อักขระแม้แต่ผู้เดียว

เสียดายก็แต่เทียนหรงไม่รู้เลยว่าบุตรสาวของเขาหาได้ต้องการอาจารย์อักขระเป็นผู้สอน ในสถานที่ที่นางจากมานางสามารถหาจารึกโบราณได้อย่างง่ายดาย ในยุคสมัยที่ใช้จารึกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อักขระจารึกโบราณจึงไม่เป็นที่สนใจมากนัก ทุกครั้งที่มีการค้นพบสุสารหนังสือตำราโบราณจะถูกนำขึ้นมาประมูล หรือไม่ก็อยู่ในร้านขายของเก่าโบราณ

แต่ก็น่าสงสัยทำไมในยุคสมัยที่ใช้ภาษาโบราณที่นางได้ศึกษา แต่อักขระในสมัยนั้นกลับขาดแคลนตำราอักขระในการฝึกฝน ทั้งที่ในยุคสมัยของนางกลับมีมากมาย

 

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป