Your Wishlist

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะเหนือภพ (บทที่ 2)

Author: หอสมุดจีน

หลินหลานเฟิน อัจฉริยะสาวต้องมาตาย ในระหว่างที่กำลังค้นคว้าตำราที่ซื้อมาจากร้านขายของเก่า เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีปรากฏว่ามาอยู่ในร่างของเด็กน้อยวัย 8 ขวบ ที่ป่วยขี้โรคเป็น 'ขยะ' ไร้ค่าที่ผู้คนต่างดูถูก

จำนวนตอน : N/A

บทที่ 2

  • 02/09/2564

บทที่ 2

หลานเฟินนั่งฟังบุคคลทั้งสามพูดคุยกัน ในหัวก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เธอจำได้ว่าเธอกำลังหาวิธีเปิดตำราอยู่ในห้องทดลองของเธอ หลังจากนั้นก็...?

หลานเฟิน ใช้มือน้อยๆของเธอกุมไปที่ศีรษะของเธอพยายามนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้าที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะหมดสติไป เมื่อมองไปที่มืออันสั่นเทาของตนเอง ความทรงจำอันเรือนร่างก็ค่อยๆเริ่มแจ่มชัดขึ้นมา

‘พอเราเข้ามาในห้อง เราก็พยายามเปิดตำรา จนค้นพบวิธี แล้วสัญลักษณ์รูปดาวห้าแฉกก็ปรากฏออกมา จากนั้นเราก็ใช้จี้หยกรูปหยดน้ำและโลหิตในการเปิดประตู แล้วก็มีแสงสว่างสีแดงปรากฏขึ้น ก็จะพุ่งมาหาเรา สัญลักษณ์นั่นที่หลังมือด้านขวา' เมื่อนึกขึ้นมาได้เธอก็มองมาที่หลังมือของเธอทันที

มันยังอยู่!!

สัญลักษณ์นั้นยังอยู่บนหลังมือของเธอ แต่รู้สึกว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นสัญลักษณ์นี้นอกจากตัวเธอเท่านั้น

หลานเฟินจัดระเบียบความคิดของเธออยู่สักพัก ตอนนี้จิตใจของเธอสงบลงแล้ว เมื่อมองไปที่ชายหญิงสองคนที่เรียกตัวเธอว่าลูกอยู่นั้นมันก็ทำให้เธอพูดไม่ออกอีกครั้ง

ทั้งสองคนอายุก็ยังไม่เยอะเท่าไหร่มากกว่าเธอเพียงไม่กีปีเท่านั้น และการแต่งตัวของพวกเขาก็แปลก มีเพียงภาษาพูดเท่านั้นที่เธอคุ้นเคยเพราะนั่นคือภาษาโบราณที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเธอค้นคว้าตำราโบราณมาหลายยุคหลายสมัยถึงแม้ภาษาโบราณนี้แทบจะหายสาปสูญไปจากยุคสมัยของเธอไปนานแล้ว

แต่เธอก็ยังศึกษาเศษเสี้ยวของตำราที่เธอสามารถค้นพบได้ถึงแม้มันจะน้อยนิดก็ตาม นอกจากภาษาที่พวกเขาใช้แล้วห้องพักที่สร้างขึ้นมาจากไม้และเครื่องเรือนก็ยังแปลกตา และมือของเธอที่เล็กลงแต่หากลองดูอีกทีไม่ใช่แค่มือของเธอเท่านั้นที่เล็กลงกระทั่งตัวของเธอก็เล็กลงด้วยเช่นกัน

ดูท่าแล้วคงเกิดเรื่องขึ้นกับตัวเธอเป็นแน่ เพราะความจำสุดท้ายของเธอคือ ความเจ็บปวดอย่างมากก่อนที่ร่างแตกและสลายไป

“ฮือๆๆ...เฟินเอ๋อร์ลูกแม่ทำไมต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับลูกด้วย ท่านหมอแล้วเฟินเอ๋อร์จะกลับมาจำความได้อีกหรือไม่เจ้าคะ”

“เรียนท่านฮูหยิน...ตาเฒ่าผู้นี้ไร้ซึ่งฝีมือ ข้าจนปัญญาที่จะช่วยบางทีความทรงจำของคุณหนูอาจจะกลับมาจำความได้อีกครั้ง แต่อาจจะต้องใช้เวลา บางทีอาจใช้เวลาสักระยะ หรือบางทีความทรงจำของคุณหนูอาจจะไม่กลับมาอีกเลยก็เป็นได้” หมอชราเอ่ยขึ้นด้วยความจนปัญญา

“ไม่เป็นไรท่านหมอ ขอบคุณท่านมากที่เสียเวลา นี่คือสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆ ท่านหมอโปรดรับไว้” ถึงแม้จะพูดออกไปว่าไม่เป็นไร ในฐานะที่เป็นบิดาภายในใจกลับรู้สึกเหมือนมีใครเอามีดมากรีดที่หัวใจ

“ท่านแม่ทัพเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าหาได้ช่วยเหลืออันใดไม่ บอกตามตรงข้าไม่กล้ารับคำขอบคุณครั้งนี้ไว้จริงๆ” ชายชราถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยคามจนใจ

เขาเป็นหมอรักษาคนมาครึ่งค่อนชีวิต มีแต่เพียงครั้งนี้เท่านั้นที่เขาไม่สามารถช่วยได้จริงๆ กระทั่งวินิจฉัยอาการเขายังไม่สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณหนูตระกูลหลินนั้นเกินกว่าสามัญสำนึกของเขาจะตัดสินได้ เขาที่เป็นหมอทำได้เพียงแค่ส่ายหัวเท่านั้น

หลังจากไปส่งท่านหมอที่หน้าจวนแล้ว สองสามีภรรยาก็กลับเข้ามาในห้องของ หลานเฟินอีกครั้ง เด็กน้อยมองทั้งสองคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสายตาที่สงบนิ่ง แต่ถ้าหากสังเกตุดูดีๆนั้น แววตาของเธอนั้นกับแฝงไปด้วยความตื่นเต้นอยู่ลึกๆ

หลานเฟินเป็นเด็กกำพร้าเธอไม่มีอะไรให้เป็นห่วงในสถานที่ที่เธอจากมา นอกจากชายชราขี้เมาที่หายไป เมื่อเธอสามารถเรียบเรียงเรื่องราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้แล้วเธอก็จะใช้ชีวิตแทนเด็กน้อยคนนี้เอง ตอนนี้หลานเฟินได้ยอมรับสถานะเป็นบุตรีขี้โรคของตระกูลหลินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ท่านพ่อท่านแม่ ใช่หรือไม่? คือเกิดอะไรขึ้นกับลูกเจ้าคะ” เสียงเล็กเอ่ยถามทั้งสองคน หลานเฟินพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานที่

“ใช่แล้วล่ะเฟินเอ๋อร์ ตอนนี้ลูกยังไม่ต้องคิดอะไร พักผ่อนร่างกายให้สบายก่อน เดี๋ยวลูกดีขึ้นเราค่อยมาคุยกันก็ได้” เสียงของชายผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย

“เจ้าค่ะ” หลานเฟินตอบรับ

นางต้องการเวลาในการปรับสภาพจิตใจของนางเช่นกัน

หลังจากที่ตื่นขึ้นมา หลานเฟินที่อยู่ในสภาพร่างของเด็กน้อย นี่ก็ผ่านมาแล้วสามวัน หลานเฟินได้รับรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับตนเองและครอบครัว นางรู้ว่าร่างนี้และนางมีชื่อเดียวกัน และฐานะตระกูลของนางในตอนนี้

ท่านพ่อของนางเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเกา ซึ่งเป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือที่มีสภาพอากาศที่หนาวเย็น แต่ตอนนี้ท่านพ่อของนางเป็นเพียงอดีตแม่ทัพในแคว้นเกาไปแล้วเพราะเหตุใดในตอนนี้นางยังไม่รู้ แต่นางคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

บิดาของนางมีชื่อว่า หลินเทียนหรง ส่วนมารดาของนางนั้นเป็นบุตรีของราชครูของจักรพรรดิ์พระองค์ก่อนชื่อว่า หลิงหมิงเยว่ และนางยังมีพี่ชายอีกสองคน พี่ชายคนโตอายุห่างจากนางห้าปีชื่อว่า หลินเฟยหรง พี่ชายคนรองอายุห่างจากนางสามปีชื่อว่า หลินหยาง ส่วนนางชื่อว่า หลินหลานเฟิน เป็นบุตรตรีคนเล็ก

ตอนนี้นางต้องมาอยู่ในร่างของเด็กน้อยอายุแปดขวบยังไม่พอในโลกใบนี้ที่มีการฝึกปราณ เด็กน้อยนางนี้ไม่สามารถฝึกฝนลมปราณได้ ไม่สามารถดูดซับพลังแห่งฟ้าดินได้ แถมยังมีร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่เกิด เรียกได้ว่าไร้ประโยชน์แบบสุดๆ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วเพราะว่าหลานเฟินในตอนนี้คือปรามาจารย์ด้านจารึก นางจะรักษาร่างกายนี้จนสามารถฝึกฝนลมปราณให้ได้ นางจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสถานที่แห่งนี้

หลานเฟินนั่งมองตราสัญลักษณ์บนหลังมือของตนเอง

‘อ่า... ตราสัญลักษณ์นี้มันคืออะไรกันแน่ เรียกมันว่าตราประทับโลหิตก็แล้วกัน สักวันเราต้องหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ได้’ นี่คือสิ่งที่หลานเฟินกำลังคิดอยู่ในหัว ก่อนหน้านี้หลังจากที่หลานเฟิน เริ่มปรับตัวให้เข้ากับสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว นางก็ใช้เวลาพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์บนหลังมือ

หลานเฟินได้ลองส่งกระแสจิตเข้าไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อใช้จิตสัมผัสไปที่ตราสัญลักษณ์นั้น ก็เหมือนจะมีกำแพงที่มองไม่เห็นคอยปิดกั้นไว้อยู่

‘ดูเหมือนตอนนี้เราจะมีพลังไม่พอจะทำอะไรก็ไม่สะดวก’

หลังจากคิดได้ดังนั้นแล้ว หลานเฟินก็เริ่มใช้กระจิตตรวจสอบร่างกายของตนเอง ท่านพ่อเคยบอกว่า หลานเฟินไม่สามารถดูดซับพลังฟ้าดินได้แต่นั่นก็คือหลานเฟินคนเก่า ส่วนตอนนี้ร่างกายของหลานเฟิง ปกติดีทุกอย่างพร้อมที่จะดูดซับพลัง สำหรับหลานเฟินแล้วการดูดซับพลังไม่ใช่เรื่องยากอันใด เพียงแค่เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ก็เท่านั้น ตำราโบราณที่นางศึกษามีเศษเสี่ยววิธีที่ใช้ในการฝึกฝนลมปราณมากมาย

ไม่เช่นนั้นนางจะสามารถอนุมานวิชาออกมามากมาย จากโลกที่แล้วของนางได้อย่างไร

หลานเฟินลองที่จะส่งกระแสจิตเข้าไปที่ตราประทับโลหิตอีกครั้ง หลังจากที่หลานเฟินใช้เวลาสามวันในการเพิ่มระดับพลังบ่มเพาะและตอนนี้ หลานเฟินสามารถที่ใช้ลมปราณได้คล่องขึ้นแล้ว และอีกไม่นานเธอก็จะเข้าขั้นปราณระดับแรกเริ่มที่มีสีแดงแล้ว

วูบบบบ.....

“ได้แล้ว” ร่างจิตของหลานเฟินปรากฏในตราประทับโลหิต หลานเฟินสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของตำราเล่มนั้น เหมือนว่าตำราเล่มนั้นจะสัมผัสถึงพลังของหลานเฟินได้

ตำราเล่มนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที จากตำราเก่าแก่ที่ตัวอักษรขาดหาย ตอนนี้กลายเป็นตำราที่แผ่กระจายกลิ่นอายโบราณออกมา ‘วิถีสวรรค์' เขียนไว้บนปกของตำรา

หลานเฟินรู้ดีการที่นางมาอยู่ในสภาพนี้ ส่วนหนึ่งมาจากตำราเก่าทั้ง 5 เล่มนั้นหลานเฟินอ่านชื่อที่จารึกบนปกตำราอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นตำราโบราณก็กลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปที่หว่างคิ้วของ หลานเฟิน

‘ความรูสึกนี้ แดจาวู ชัดๆ'

เนื้อหาข้อความในตำราปรากฏขึ้นภายในหัวของ หลานเฟิน ตอนนี้นางสามารถอ่านได้แค่หน้าแรกเท่านั้น

‘วิถีแรก วิถีฟ้าดิน นี่คือวิธีการใช้พลังแห่งฟ้าดินในยุคแรกเริ่ม’

หลานเฟิน พยายามทำความเข้าใจเนื้อหาในตำรา เนื้อหาในตำรา เริ่มจากสัมผัสพลังฟ้า ต่อมาก็รับรู้พลังดิน

“สัมผัสฟ้า ยิบยืมพลังแห่งดวงดารา น่าจะหมายความว่า ให้ดูดซับพลังจากดวงดาว ลองดูก่อนแล้วกัน ดวงอาทิตย์ก็นับเป็นดวงดาวชนิดหนึ่งน่าจะสามารถดูดซับได้ ส่วนรับรู้พลังดิน จิตเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ น่าจะเป็นเคล็ดการฝึกใช้พลังแห่งจิตใช้จิตสัมผัส”

สำหรับหลานเฟิน การฝึกใช้พลังจิต มันก็เหมือนกับกินข้าวเช้าทุกวัน นางที่เป็นผู้ใช้จารึกอักขระอาคมและผู้ปรุงยาในโลกเก่าของนาง ทุกอย่างต้องใช้พลังจิตเป็นรากฐานอยู่แล้ว

หลานเฟิน ใช้เวลาในการศึกษาตำราโบราณตลอดช่วงเช้า ในที่สุดก็ผ่านไปอีกวัน

หลานเฟินใช้เวลาในการฝึกไปแล้วห้าวันกับขั้นตอนแรกนี้ ในที่สุดก็สำเร็จตอนที่นางตัดผ่านไปที่ชั้นสีส้มได้แล้ว

ถ้าหากใครรู้ว่าเด็กน้อนอายุเพียงแปดปีสามารถฝึกลมปราณไปจนถึงขั้นสีส้มแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะคิดว่าตนเองเป็นเพียงคนไร้ค่าก็เป็นได้ คนปกติทั่วไปจะเริ่มฝึกลมปราณตั้งแต่อายุห้าปีก็จริง แต่ไม่มีใครสามารถตัดผ่านระดับแรกก่อนอายุแปดปีได้ อย่างต่ำก็ต้องใช้เวลาสี่ถึงห้าปีขึ้นไปถึงจะตัดผ่านขั้นแรกได้ แต่หลานเฟินคือใคร

นางเป็นถึงอัจฉริยะนางเริ่มศึกษาตำราและฝึกฝนตั้งแต่จำความได้ จะอย่างไรก็ตามตอนนี้นางคือหลินหลานเฟิน บุตรีคนเดียวของอดีตแม่ทัพหลินเทียนหรง ยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุแค่แปดปี นางต้องปิดเรื่องที่นางตัดผ่านระดับขั้นสีส้มเป็นความลับ แต่นางจะไม่ปิดบังเรื่องที่นางฝึกลมปราณได้แล้ว

“นี่เราก็ฝึกขั้นแรกสำเร็จแล้ว ไม่รู้ว่าจะเปิดอ่านตำราหน้าต่อไปได้หรือยัง”

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะพยายามเปิดตำราหน้าที่สองสักเพียงใด ก็ไม่สามารถทำได้

“อ๊ะ... เปิดได้แล้ว แต่ว่านี่อะไร ทำไมหน้าที่สองนี้ถึงว่างเปล่า” หน้าที่สองเป็นเพียงแค่กระดาษเปล่าเท่านั้น นี่นางพยายามที่จะเปิด เพื่อดูกระดาษเปล่าอย่างนั้นหรือ

แต่แล้วนางก็เห็นหน้ากระดาษที่ว่างเปล่านั้น เปล่งแสงออกมา บนกระดาษเปล่านั้นปรากฏภาพขึ้นมา เมื่อภาพนั้นสมบูรณ์ พื้นที่รอบกายของนางก็เริ่มบิดเบี้ยว พื้นที่รอบกายของนางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ตำราที่ลอยอยู่ตรงหน้าของนางหายไป

ปรากฏกระท่อมหลังเล็กขึ้นมาตรงหน้าของนางแทน ถัดมาจากกระท่อมเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ด้านหน้ากระท่อมนั้นเป็นทะเลสาบขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำในทะเลสาบใสกระจ่างประดุดกระจก ด้านหลังกระท่อมมีม่านน้ำตกขนาดใหญ่ตกลงมา ราวกับน้ำตกนั้นตกลงมาจากสรวงสวรรค์ก็มิปาน เมื่อมองทะลุม่านน้ำตกนั้นจะเห็นดวกไม้พืชพรรณอยู่หลังม่านน้ำตก และยังมีกำแพงสีรุ้งมีปิดกั้นรอบด้านทั้งสี่ด้าน แบ่งกั้นขอบเขตพื้นที่

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกระทันหันทำให้ หลานเฟินยืนนิ่งอึ้งค้างไปชั่วขณะ

เมื่อได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา หลานเฟินเริ่มที่จะสงบใจเรียบเรียงความคิดทำความเข้าใจ กับทัศนียภาพที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ ภาพทิวทัศที่หลานเฟินเห็นเหมือนกับในภาพที่ปรากฏขึ้นมาในตำราหน้าที่สองแบบไม่มีผิดเพี้ยน

แสดงว่าสถานที่นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของตำรา หลานเฟินมองหาตำราที่นำพามาซึ่งความอัศจรรย์ แต่แล้วก็หาไม่เจอ

 

 

ทุกวัน
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป