Your Wishlist

ว่าไงคะ ท่านนายพล (บทที่ 65-66 : สิ่งที่พวกมันต้องการ, เสียงไซเรน)

Author: Han Wuji (Akira แปล)

กู้เหนียนจื่อ หญิงสาวอายุ 17 ปีผู้สูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก มีเพียงภาพที่ตนเองติดอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้เท่านั้นที่ยังฉายชัดอยู่ในความฝันของเธอ โชคดีที่เธอได้ฮัวเฉาเหิง ทหารหนุ่มผู้มีตำแหน่งพลตรีช่วยชีวิตเอาไว้ ชายหนุ่มถูกกองทัพของจักรวรรดิร้องขอให้เป็นผู้ปกครองของกู้เหนียนจื่อที่มีอายุเพียง 12 ปี และปกปิดประวัติที่แท้จริงของทั้งคู่เอาไว้ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่เธอก็อยู่กับเขานับตั้งแต่นั้นมา เธอใช้ชีวิตด้วยความกลัวและไม่มั่นคงมาตลอด เธอจะรู้สึกปลอดภัยเฉพาะเวลาได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ปกครองหนุ่มเท่านั้น ระหว่างนั้นกองทัพของจักรวรรดิได้ทำการสืบค้นประวัติของหญิงสาว แต่ก็ไม่สามารถค้นหาได้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ตัวตนที่แท้จริงของกู้เหนียนจื่อคือใครกันแน่? เหตุใดเธอจึงถูกลอบทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต?

จำนวนตอน : 2263

บทที่ 65-66 : สิ่งที่พวกมันต้องการ, เสียงไซเรน

  • 13/12/2564

บทที่ 65 : สิ่งที่พวกมันต้องการ

 

"เกิดอะไรขึ้น?" เหม่ยเสี่ยวเหวินขมวดคิ้วมองไปที่กู้เหนียนจื่อ “เธอกำลังพยายามจะพูดอะไรกันแน่”

 

หญิงสาวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และตัดสินใจว่าเพื่อนสนิทของเธอสมควรได้รับคำอธิบาย มันเป็นสิทธิ์ของพวกเขาที่จะได้รู้ความจริง

 

“เข้ามาสิ ฉันมีเรื่องจะพูด” กู้เหนียนจื่อเดินไปทางห้องของเธอ พอเข้ามาข้างใน เธอพูดกับรูมเมทสาวของเธอว่า “ยัยหนูชาเขียวฟ่าง คุณหนูเฉา นางมารน้อย ฉันมีเรื่องจะบอกพวกเธอ”

 

รูมเมททั้งสามคนและหัวหน้าห้องมารวมตัวกันรอบตัวเธอ พวกเขามองเธอด้วยความสงสัย

 

กู้เหนียนจื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มต้นด้วยการอธิบายสัญลักษณ์แปลก ๆ ที่เธอเคยเห็น ตามด้วยรถเอสยูวีสีดำและปืนไรเฟิลซุ่มยิง สิ่งที่เธอได้รู้จากพี่หลี่ ในที่สุดเธอก็ได้พูดถึงสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และไม่มีโทรศัพท์บ้าน...

 

“เราโชคดีที่ห้อง 2 ชนะเดิมพันแล้วได้จวนหมิงเยว่ไปจากเรา ฉันแค่หวังว่าพวกเขาจะมีไหวพริบพอที่จะผ่านเรื่องนี้ไปได้” สาวน้อยหยิบโทรศัพท์ของเธอออกมาแล้วใช้แอพวาดรูปเพื่อแสดงให้เพื่อน ๆ ของเธอเห็นถึงสัญลักษณ์วงกลมที่เธอเคยเจอ 

 

ทั้งสี่คนต่างก็พากันตกตะลึง พวกเขามองหน้ากันและถามด้วยความสงสัย “…เธอรู้ได้ยังไงว่ากล่องปืนไรเฟิลซุ่มยิงหน้าตาเป็นยังไง”

 

“ญาติห่าง ๆ คนหนึ่งของฉันเป็นทหาร เขามีกระเป๋าไรเฟิลซุ่มยิงเหมือนกับที่ชายคนนั้นถืออยู่เลย” กู้เหนียนจื่อไม่ได้บอกพวกเขาว่าเธอได้รับข้อมูลจากพี่หลี่ ต่างหูดอกไม้แพลตตินั่มอันวิจิตรของเธอส่องประกายภายใต้แสงไฟขณะที่เธอกวาดสายตามองทุกคนด้วยท่าทีสงบ 

 

เธออยู่กับฮัวเฉาเหิงมา 6 ปีแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้จากเขา นั่นก็คือการสงบสติอารมณ์ “ทุกคนไม่กังวลเลยเหรอ?”

 

"กังวล? แล้วไง” นางมารน้อยถามพลางจัดทรงผมอย่างระมัดระวัง “ฉันกังวลเรื่องเน็ตล่มมากกว่าอีก ฉันต้องต่อเน็ตให้ได้ถึงจะตรวจสอบเว่ยป๋อได้”

 

“ใช่ ทำไมเราต้องกังวลด้วย? โอเค ตอนนี้อาจมีคนไม่ดีอยู่ที่นี่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา” เหม่ยเสี่ยวเหวินไม่เข้าใจ เขาสวมแว่นตาขอบทองแล้วถามว่า “เธอไม่คิดมากไปเหรอ?”

 

“พวกเธอทุกคนมองโลกในแง่ดีมากไปแล้ว” กู้เหนียนจื่อรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากกับท่าทีของเพื่อน ๆ เธอเดินไปรอบ ๆ ทั้งสี่คนพร้อมกับพูดว่า “พวกเธอเป็นทายาทเศรษฐีหรือมีพ่อแม่อยู่ในสังคมระดับสูง ครอบครัวของพวกเธอไม่เคยเตือนว่าโลกเต็มไปด้วยอันตรายหรือไง”

 

จู่ ๆ หัวหน้าห้องก็นึกขึ้นได้ว่าเธอกำลังพูดอะไร เลือดสูบฉีดไปทั่วใบหน้าเรียวของเขาทันที “คิดว่าเป็นพวกเราเป็นเหยื่อเหรอเนี่ย! พวกมันกล้าดียังไง!”

 

ทายาทเศรษฐีมักเสี่ยงต่อการถูกลักพาตัว มันเป็นความกลัวที่ใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขา

 

มันเป็นความจริงที่คนลักพาตัวต้องการแค่เงิน แต่ก็จริงเหมือนกันที่หลายคนไม่ลังเลที่จะฆ่าตัวประกันหลังจากได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการ

 

ตระกลูเหม่ยเป็นตระกูลใหญ่ในเมือง C ตามกฎทั่วไป ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกเขาหากอยากอยู่ในเมือง C อย่างสงบสุข นี่คือเหตุผลที่เหม่ยเสี่ยวเหวินไม่เคยมีบอดี้การ์ดเลยตอนที่เขาอยู่ในเมือง

 

แต่เขามักถูกล้อมไปด้วยบอดี้การ์ดทุกครั้งที่ต้องก้าวออกจากเมือง C

 

กู้เหนียนจื่อและพี่หลี่ได้คาดเดาเจตนาของโจรโดยไม่ได้ใช้อะไรมากไปกว่าสามัญสำนึก ถ้ากู้เหนียนจื่อไม่ใช่เป้าหมาย มันก็มีเหตุผลที่สันนิษฐานได้ว่าคนเลวพวกนั้นตามเพื่อนร่วมชั้นที่ร่ำรวยของเธอมา

 

หญิงสาวมีความมั่นใจในตัวฮัวเฉาเหิงสูงมากที่สุด เขาได้ปกป้องเธอเป็นอย่างดี ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นมากกว่า ‘พลเมืองธรรมดา’ เธอจึงมั่นใจมากว่าตัวเองไม่ใช่เป้าหมาย

 

อันธพาลพวกนั้นคงคิดว่าเธอเป็นเพียงเพรียงของวาฬที่พวกเขากำลังล่า (ปรสิตที่เกาะบนตัววาฬ)

 

“…สาวน้อย พูดได้ดี…” คุณหนูเฉามองไปที่นางมารน้อย “ในชั้นเรียนของเรามีคนรวยและมีอำนาจมากมาย”

 

ไม่ใช่แค่เหม่ยเสี่ยวเหวิน ยังมีหวังจุนหยาหรือที่รู้จักในนามนางมารน้อย

 

ตระกูลหวังซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงมีความโดดเด่นและมีชื่อเสียง

 

ยัยหนูชาเขียวฟ่างก็มาจากครอบครัวที่มีธุรกิจมูลค่าหลาย 10 ล้าน

 

กู้เหนียนจื่อเป็นคนเดียวในห้องที่มาจากครอบครัวธรรมดา เธอถูกลากเข้ามาเกี่ยวในเรื่องนี้โดยบังเอิญ

 

“แล้วเราควรทำยังไงดี? เราจะยอมแพ้โดยไม่ต่อสู้อะไรเลยเหรอ!” หวังจุนหยากำลังรู้สึกประหม่า “เราควรบอกทุกคนไหม? ให้ทุกคนมารวมกันเพื่อเราจะได้คุยกันว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง”

 

สาวน้อยประจำกลุ่มส่ายหัว “ไม่ ฉันไม่คิดว่าเราควรบอกทุกคน เพราะยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้มากเท่าไหร่ คนจะยิ่งตื่นตระหนก ใครก็ตามที่อยู่ข้างนอกนั่นอาจเริ่มสนใจเรามากขึ้นถ้าพวกมันคิดว่าเรากำลังเล่นตุกติก”

 

“นั่นก็มีเหตุผล” เหม่ยเสี่ยวเหวินกำลังคิดเกี่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นในห้อง 2 “แต่แน่นอนว่าเราจะปล่อยให้พวกห้อง 2 ตกเป็นเหยื่อแทนไม่ได้ เราไปคุยกับพวกเขาดีไหม”

 

“แย่จังที่เป็นพวกห้อง 2” ยัยหนูชาเขียวฟ่างยกถ้วยชาของเธอขึ้นอย่างสง่างามแล้วเป่ามัน “แต่เดี๋ยวพวกเขาก็จะโกรธอีกถ้าเราไปเปลี่ยนห้องกับพวกเขา พวกเขาได้สิ่งที่ต้องการแล้ว โทษเราตอนนี้ก็ไม่ได้แล้ว”

 

“นี่ไม่ใช่เวลามาพูดอะไรแบบนี้นะ” กู้เหนียนจื่อกล่าวขณะที่เธอดึงมือของรูมเมทสาว “ฉันเป็นห่วงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา”

 

“ฉันจะขอให้พี่เบิ้มไปดู” หัวหน้าหนุ่มพยักหน้า “เราจะบอกให้พวกเขาระวังตัว ที่นั่นมีคนมากกว่า 20 คน ตราบใดที่พวกเขาอยู่ด้วยกันและล็อคประตูไว้ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย”

 

ด้วยเหตุนี้เหม่ยเสี่ยวเหวินจึงออกจากห้องของกู้เหนียนจื่อกลับไปที่ห้องที่เขาอยู่กับเล่ยเฉียงเชิง

 

ครู่ต่อมา พี่เบิ้มรีบสวมเสื้อกันฝนแบบใช้แล้วทิ้งออกจากห้องไป

 

 

ตอนนี้เป็นเวลา 20:00 น.พอดี อาหารและเครื่องดื่มได้ถูกจัดวางในห้องประชุมของวิลล่ารีสอร์ท ภายในอาคารบริหาร พนักงานของรีสอร์ททุกคนอยู่กันครบ คนที่ดูเหมือนผู้จัดการยืนอยู่ข้างหน้า เขาเรียกชื่อพนักงานและทำเครื่องหมายลงบนแต่ละรายชื่อ

 

5 นาทีต่อมา ชายคนนั้นกำลังเคาะประตูอยู่หน้าห้องผู้อำนวยการ “ผู้อำนวยการฝู ทุกคนอยู่ที่นี่แล้วครับ”

 

มีเสียงตอบกลับมาจากภายในสำนักงานว่า “บอกทุกคนว่าเริ่มทานอาหารก่อนได้เลย ฉันมีอะไรจะประกาศหลังจากทุกคนทานอาหารเสร็จแล้ว” เสียงอู้อี้และยากที่จะฟังดังขึ้น แต่ข้อความนั้นชัดเจน ผู้จัดการต้องกลับไปสั่งทุกคนให้ทานอาหารเย็นกันก่อน

 

คนเต้นผู้จัดการกลับไปที่ห้องประชุมและประกาศด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้อำนวยการฝูบอกว่าให้เราเริ่มทานอาหารได้ หลังอาหารเย็นจะมีเรื่องประกาศ!”

 

วันนี้พวกเขาคงถูกเรียกตัวมาเพื่อเลี้ยงอาหารค่ำ ไม่ได้มีอะไรสำคัญเป็นพิเศษ

 

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเริ่มทานอาหารกับดื่มเครื่องดื่มด้วยความสนุกสนานเฮฮา

 

 

พี่เบิ้มวิ่งฝ่าสายฝนไปถึงที่จวนหมิงเยว่

 

เขาเอื้อมมือออกไปผลักประตูเบา ๆ มันเปิดออกเมื่อเขาสัมผัสเบา ๆ ภายในห้องนั้นเงียบกริบ ยกเว้นเสียงฝนที่ตกหนัก

 

เล่ยเฉียงเชิงรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แล่นมาจากกระดูกสันหลัง

 

เขาเดินไปยังทางเดินที่มีหลังคาปกคลุมและเดินไปที่ห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นห้องที่หัวหน้าของห้อง 2 อาศัยอยู่ ไม่นานเขาก็มายืนอยู่หน้าประตู

 

ข้างในห้องไฟสว่าง แต่ไม่มีเสียงอะไรเล็ดรอดออกมา เขาเพิ่งมาจากห้องที่เสียงดังอึกทึกในสวนฉิงเฟิง ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง

 

“…หัวหน้าห้องชาง?” พี่เบิ้มเคาะประตูแต่ไม่มีใครตอบ

 

เขาตัดสินใจผลักประตูเข้าไป และสิ่งที่เขาเห็นแทบจะทำให้เขากรีดร้องออกมา!

 

มีหกหรือเจ็ดคนนอนอยู่บนพื้นระเกะระกะ และทุกคนหมดสติ!

 

ชายหนุ่มร่างกำยำเกือบกลืนหมัดทั้งสองข้างของเขาลงไปขณะที่เขาพยายามหยุดตัวเองไม่ให้กรีดร้อง

 

เขากลัวมากจนแทบจะไม่สามารถตั้งสติได้ เขาค่อย ๆ คืบคลานเข้าหาคนใกล้ตัวที่สุด ซึ่งบังเอิญเป็นหัวหน้าของห้อง 2

 

เมื่อเขาอยู่ใกล้พอที่จะเห็นอะไรชัดขึ้น เขาเห็นหน้าอกของทุกคนขยับขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นจังหวะ 

 

ทุกคนยังคงหายใจ!

 

เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

พี่เบิ้มรู้ว่าตัวเองจะเป็นบ้าหากพวกเขาตายกันหมด…

 

เขารวบรวมความกล้าและเริ่มตรวจดูห้องทั้งหมด แล้วพบว่านักศึกษาห้อง 2 ทุกคนหมดสติไปแล้ว

 

อาหารครึ่งหนึ่งในห้องพักทุกห้องถูกทานไปแล้ว เมื่อตรวจสอบอาหาร เขาพบว่านี่เป็นอาหารและเครื่องดื่มที่ทางรีสอร์ทส่งมาให้ฟรี

 

เขาก็มีอาหารฟรีเหล่านี้อยู่ในห้องของเขาเหมือนกัน โชคดีที่เขาไม่ได้แตะต้องมันเลย

 

ชายหนุ่มรีบวิ่งออกจากจวนหมิงเยว่ พร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ระหว่างทางกลับไปที่สวนฉิงเฟิง เขาเจอลูกแมวหลบฝนอยู่ภายในป่าไผ่ ใจของเขาละลายทันทีที่เห็นมัน เขาจึงพาลูกแมวกลับไปที่สวนฉิงเฟิงด้วย

 

“หัวหน้าห้อง มีข่าวร้าย” เล่ยเฉียงเชิงวางลูกแมวลงและอธิบายสิ่งที่เขาเห็นที่จวนหมิงเยว่ให้เหม่ยเสี่ยวเหวินฟัง “มันน่าจะเป็นอาหารที่ทางรีสอร์ทส่งมาให้ฟรี อย่างที่คนเขาพูดกันว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีอาหารฟรีนอกจากอาหารกลางวันของโรงเรียนแล้ว!”

 

ใบหน้าของหัวหน้าห้องหม่นลง เขาทุบกำปั้นด้วยความโกรธลงบนโต๊ะ ขณะที่เขาหันไป ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียง 'เมี้ยว' ดังขึ้น เขามองไปที่พี่เบิ้มและถามว่า “นายไปเอาแมวมาจากไหน”

 

“ฉันเจอมันระหว่างทางกลับ มันซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ กำลังหลบฝนอยู่ มันน่าสงสารมาก”

 

“ลองเอาอาหารเหลือพวกนี้ให้มัน” เหม่ยเสี่ยวเหวินชี้ไปที่อาหารฟรีที่เชฟของรีสอร์ทส่งมาให้

 

บทที่ 66 : เสียงไซเรน

 

ลูกแมวตัวนั้นคงจะหิวโหยทั้งคืนเพราะมันกินอาหารทันทีที่เห็น หลังจากนั้นเหม่ยเสี่ยวเหวินได้เปิดขวดน้ำแร่ที่ส่งมาพร้อมกับอาหารให้มันดื่ม ไม่ถึง 5 นาทีต่อมา ลูกแมวก็เอนตัวไปข้างหน้าและทรุดตัวลงกับพื้น 

 

“นี่มันอะไรกัน! อาหารที่ได้มาฟรีต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ! แต่ทำไมพนักงานรีสอร์ทถึงทำแบบนี้?” แล้วเขาก็หวนคิดถึงจวนหมิงเยว่ “ในจวนหมิงเยว่ พวกห้อง 2 ก็หมดสติแบบนี้!”

 

ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเขาไม่ได้ทานอาหารพวกนั้น! ผู้เป็นหัวหน้าห้อง 1 มีอาการหนาวสั่นไหลลงมาที่กระดูกสันหลัง ข้างนอกพายุกำลังเลวร้ายลง ตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่า กำลังเผชิญกับพายุลมแรงและฝนที่ตกหนัก

 

 

ห่างออกไป 25 กิโลเมตร ในห้องกลไกขนาดเล็กที่เงียบสงบในฐานปฏิบัติการกองกำลังพิเศษเมือง C คอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์ได้รับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ทุก ๆ 5 นาที การส่งสัญญาณประเภทนี้อาศัยเสาสัญญาณจากตำแหน่งต่าง ๆ ตราบใดที่โทรศัพท์มือถือไม่เสียหาย สัญญาณนี้สามารถส่งต่อไปยังห้องกลไกที่ซ่อนอยู่ที่ฐานปฏิบัติการพิเศษได้อย่างต่อเนื่อง

 

แต่วันนี้เป็นวันเสาร์และบุคลากรที่ประจำการอยู่นอกห้องเครื่องก็ผ่อนคลายลงมากกว่าปกติ พวกเขานั่งบนเก้าอี้สำนักงานพร้อมจิบชาและเล่นวิดีโอเกมด้วยกัน

 

คอมพิวเตอร์ในฐานไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ดังนั้นทุกคนจึงสามารถเรียกดูบนอินทราเน็ตในทีมได้เท่านั้น

 

ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ คอมพิวเตอร์เฉพาะที่ตั้งค่าให้รับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ไม่สามารถรับสัญญาณตามกำหนดการได้ หลังจากที่ไม่สามารถรับสัญญาณได้นานกว่าครึ่งชั่วโมง คอมพิวเตอร์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้เริ่มคำสั่งฉุกเฉินและเปิดใช้งานไซเรนก็มีเสียงดังขึ้นมา 

 

บี๊บ! บี๊บ! บี๊บ!

 

เสียงไซเรนดังขึ้นในห้องเครื่องพร้อม ๆ กับที่ไฟสีแดงเริ่มกะพริบ

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ เมื่อเขาได้ยินเสียงไซเรน เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะล้างสบู่ออกจากตัว ก่อนที่เขาจะใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่คลุมร่างกายส่วนล่างแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำ เขาเปิดคอมพิวเตอร์ทันทีและตรวจสอบโปรแกรมที่เขาออกแบบสำหรับกู้เหนียนจื่อ แล้วหัวใจของเขาก็กระตุก

 

นี่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วที่พวกเขาไม่สามารถรับสัญญาณได้

 

เกิดอะไรขึ้น?

 

กู้เหนียนจื่อมีอุปกรณ์ส่งสัญญาณพิเศษที่ส่งตำแหน่งของเธอโดยใช้เสาสัญญาณมือถือที่แพร่หลายในจักรวรรดิเพื่อส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ หากสัญญาณไม่ถูกส่งมาเกินครึ่งชั่วโมง โปรแกรมจะตั้งค่าเป็นระดับวิกฤตโดยอัตโนมัติ

 

เลขาหนุ่มรีบโทรหาหยินชือฉงทันที “ต้าฉง! ต้าฉง! เกิดอะไรขึ้นกับเหนียนจื่อ! แล้วเสี่ยวหลี่ [1] ล่ะ? เขาไม่ได้ไปที่ตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่ากับเธอเหรอ ทำไมสัญญาณของทั้งคู่ถึงหายไป!”

 

เสี่ยวหลี่เป็นสมาชิกของฐานทัพและเขายังถือเครื่องส่งสัญญาณตำแหน่งแบบเดียวกันตอนที่เขาออกไปปฏิบัติภารกิจ เครื่องส่งสัญญาณนั้นจะช่วยให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษสามารถค้นหาตัวเขาได้ง่ายและยังช่วยให้คนที่ครอบครองเครื่องส่งสัญญาณติดต่อกับฐานได้ทันที หากพวกเขาถูกตัดการเชื่อมต่อ แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน

 

หยินชือฉงเพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จและกำลังนอนบนโซฟาเพื่อย่อยอาหาร เขาได้รับสายจากเจี้ยวเลี่ยงจื่อจึงเด้งตัวลุกขึ้น "เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรเกิดขึ้นกับเหนียนจื่อและเสี่ยวหลี่หรือเปล่า? เหนียนจื่อส่งข้อความบอกฉันว่า 'ราตรีสวัสดิ์' เมื่อคืนนี้เอง!"

 

"คืนที่แล้ว? ผมกำลังพูดถึงตอนนี้! สัญญาณของพวกเขาหายไปครึ่งชั่วโมงแล้ว” แฮ็กเกอร์หนุ่มกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ผมจะตรวจสอบเสาสัญญาณมือถือ”

 

ต้าฉงรีบลุกขึ้น “ฉันจะไปที่สำนักงานและโทรหารีสอร์ท”

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อเข้าถึงระดับการอนุญาตสูงสุดของเขาและเข้าสู่เว็บไซต์โครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลเมือง C จากที่นั่น เขาสามารถตรวจสอบสถานะของเสาสัญญาณภายในระยะ 250 กิโลเมตรจากบ้านพักได้ เขาสังเกตเห็นในทันทีว่าหอคอยแห่งเดียวที่อยู่ติดกับวิลล่านั้นมีเครื่องหมาย “x” สีแดงขนาดใหญ่ หมายความว่าหอคอยนั้นเสียหาย ไม่สามารถทำงานได้

 

ชายหนุ่มถอนหายใจและสวมหูฟังเพื่อโทรหาหยินชือฉงอีกครั้ง “เสาสัญญาณมือถือของตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่าพัง ผมตรวจสอบสภาพอากาศแล้ว ที่นั่นมีพายุเข้า นั่นเป็นสาเหตุที่สัญญาณหายไป”

 

ต้าฉงตอบอีกฝ่ายแต่ยังคงกดโทรศัพท์ ในขณะที่ดวงตาของเขาเริ่มแสดงความกังวลมากขึ้น “เสี่ยวจื่อ นายช่วยตรวจสอบสถานะของรีสอร์ทได้ไหม? ดูเหมือนว่าโทรศัพท์บ้านของพวกเขาจะใช้ไม่ได้เหมือนกัน”

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อหยุดนิ่ง เสาสัญญาณมือถืออาจเสียหายจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ก็มีบางอย่างที่น่าสงสัยเกี่ยวกับโทรศัพท์บ้านที่ใช้การไม่ได้พร้อมกัน เขาเปิดโปรแกรมสื่อสารทันที ซึ่งโปรแกรมนั้นเขาเขียนขึ้นเองและส่งข้อความแยกไปยังกู้เหนียนจื่อและเสี่ยวหลี่

 

โปรแกรมนี้แตกต่างจากโปรแกรมทั่วไปในท้องตลาด เนื่องจากแฮ็กเกอร์หนุ่มสามารถใช้โปรแกรมดังกล่าวเพื่อดูเกี่ยวกับสถานะการเชื่อมต่อของผู้รับ ซึ่งคล้ายกับฟังก์ชัน ‘PIN’ [2] มันสามารถกำหนดความแรงของสัญญาณของผู้รับได้

 

ผลที่ได้ทำให้เขาตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก รีสอร์ทขาดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไม่มีสัญญาณมือถือ หรือ การเชื่อมต่อโทรศัพท์บ้านเลย  ภัยธรรมชาติแบบไหนที่ก่อให้เกิดความเสียหายมากมายขนาดนี้?

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อขมวดคิ้วและพูดกับเลขาหนุ่มอีกคน “ที่รีสอร์ทคงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น! ผมคิดว่าคุณควรโทรหาตำรวจท้องที่”

 

“นี่มันร้ายแรงมากจริง ๆ” มือของหยินชือฉงกำลังสั่นเมื่อเขาค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ของสถานีตำรวจใกล้เขาตู้เฟิง

 

“ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือกรณีก่อการร้าย ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันคงไม่ใช่เรื่องดี” นิ้วของเจี้ยวเลี่ยงจื่อเลื่อนไปมาบนแป้นพิมพ์ขณะที่แตะชุดคำสั่งเพื่อพยายามเชื่อมต่อกับรีสอร์ท แต่มันยังคงล้มเหลวอยู่เรื่อย ๆ เขาจึงสรุปว่าเป็นเพราะการทำลายทางกายภาพ ไม่ใช่ข้อผิดพลาดจากโปรแกรม

 

ในคืนที่ฝนตกหนัก สำนักงานที่สถานีตำรวจใกล้เขาตู้เฟิงได้รับโทรศัพท์จากผู้ปกครองของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย C

 

“เกิดอะไรขึ้นที่ตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่า? ทำไมโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ เสาสัญญาณมือถือก็พังด้วย ลูกของเรากำลังไปพักผ่อนที่นั่น คุณจะชดใช้ไหวไหมถ้าเกิดอะไรขึ้น?"

 

คน ๆ นั้นวางสายทันทีหลังจากพูดจบและตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ก็มึนงง เขาไม่ได้มีโอกาสที่จะถามชื่อของคนที่โทรมาด้วยซ้ำ จากไอดีของหมายเลขโทรศัพท์ มันดูเหมือนหมายเลขโทรศัพท์ตามปกติจากในเมือง C 

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจยศต่ำมองไปที่ฝนนอกหน้าต่างและคิดว่าตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่าอยู่ใกล้ ๆ นี่เป็นหน้าที่ของเขา เขาจึงใส่เสื้อกันฝน หยิบกระบองมาเหน็บที่เอว ก่อนจะหยิบปืนพกขนาดเล็กมาเช็กกระสุนแล้วเก็บเข้าปลอกข้างเอว

 

ตำรวจหนุ่มคนนี้มีอายุเพียง 20 ปี เขาเป็นคนในพื้นที่เขาตู้เฟิงจึงคุ้นเคยกับเขาตู้เฟิงมาก แม้ว่าตอนนี้ฝนจะตกหนัก เขาก็ยังสามารถเดินทางไปถึงถนนสายหลักไปยังรีสอร์ทได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สะดุดเกือบจะล้ม เขารีบพยุงตัวเองและส่องไฟฉายไปบนพื้นดิน

 

"ว้ากกกก!!" เขากรีดร้องตกใจจนเกือบจะโยนไฟฉายลงกับพื้น

 

สิ่งที่เขาสะดุดคือคน! บุคคลนั้นมีถุงพลาสติกสีดำครอบอยู่บนศีรษะและร่างกายที่เหยียดยาวของเขาใหญ่มาก นอกจากนี้เขายังมีปืนไรเฟิลอยู่ในมือด้วย

 

[1] เสี่ยวหลี่ คำว่าเสี่ยวมาจากคำที่เรียกคนที่มีอายุน้อยกว่า

[2] PIN (Personal Identification number) คือ รหัสประจำตัว ซึ่งเป็นตัวเลขจำนวน 6 หลักเท่านั้น ใช้สำหรับยืนยันตัวตนเพื่อดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ

 

ทุกวันเสาร์ เวลา 15:00
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป