Your Wishlist

ว่าไงคะ ท่านนายพล (บทที่ 67-68 : การยกระดับ, แผนการ)

Author: Han Wuji (Akira แปล)

กู้เหนียนจื่อ หญิงสาวอายุ 17 ปีผู้สูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก มีเพียงภาพที่ตนเองติดอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้เท่านั้นที่ยังฉายชัดอยู่ในความฝันของเธอ โชคดีที่เธอได้ฮัวเฉาเหิง ทหารหนุ่มผู้มีตำแหน่งพลตรีช่วยชีวิตเอาไว้ ชายหนุ่มถูกกองทัพของจักรวรรดิร้องขอให้เป็นผู้ปกครองของกู้เหนียนจื่อที่มีอายุเพียง 12 ปี และปกปิดประวัติที่แท้จริงของทั้งคู่เอาไว้ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่เธอก็อยู่กับเขานับตั้งแต่นั้นมา เธอใช้ชีวิตด้วยความกลัวและไม่มั่นคงมาตลอด เธอจะรู้สึกปลอดภัยเฉพาะเวลาได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ปกครองหนุ่มเท่านั้น ระหว่างนั้นกองทัพของจักรวรรดิได้ทำการสืบค้นประวัติของหญิงสาว แต่ก็ไม่สามารถค้นหาได้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ตัวตนที่แท้จริงของกู้เหนียนจื่อคือใครกันแน่? เหตุใดเธอจึงถูกลอบทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต?

จำนวนตอน : 2263

บทที่ 67-68 : การยกระดับ, แผนการ

  • 13/12/2564

บทที่ 67 : การยกระดับ

 

ในค่ำคืนนั้นมืดมิด ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก กิ่งก้านของต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ในพื้นที่กำลังแกว่งไปแกว่งมาตามสายลม

 

ถนนที่คดเคี้ยวแห่งนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาสองลูก ทำให้ทางนี้เป็นทางผ่านของลมที่พัดแรงมากและเต็มไปด้วยเสียงสะท้อน มันทำให้เขาจินตนาการถึงปีศาจที่ซุ่มซ่อนอยู่ในขุมนรก แล้วกำลังเผยให้เห็นร่างกายที่แปลกประหลาดของมันออกมาได้ทุกเมื่อ

 

นายตำรวจหนุ่มจ้องมองร่างนั้นอย่างไม่แน่ใจครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงปืนพกออกมา โดยตอนนี้เขากำลังถือปืนในมือข้างหนึ่งและไฟฉายในมืออีกข้าง แล้วหันมือทั้งสองไปทางร่างที่นอนอยู่บนพื้น

 

เมื่อเขาใกล้จะถึงแล้ว เขาก็ยื่นขาเตะปืนไรเฟิลออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ตลอดการเคลื่อนไหวนี้ นายตำรวจผู้น้อยคอยจับจ้องสายตาไปยังชายที่นอนอยู่บนพื้น เขากลัวว่าจู่ ๆ ชายคนนั้นจะกระโดดขึ้นมาคร่อมตัวเขาเพื่อแย่งปืน หรือเอาถุงพลาสติกครอบหัวเขาหรือเปล่า

 

1 นาทีผ่านไป ชายคนนั้นยังไม่เคลื่อนไหว

 

ในเวลานี้ฝนยังตกกระหน่ำ ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาเปียกโชก

 

เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยตอนนี้กล้าหาญขึ้นเล็กน้อย เขาค่อย ๆ ขยับตัวไปหาแล้วใช้เท้าสะกิดร่างอีกฝ่าย

 

ชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นยังไม่เคลื่อนไหว

 

ในที่สุดเจ้าหน้าที่หนุ่มก็มั่นใจ เขาคุกเข่าลงพยายามดึงถุงพลาสติกออกจากหัวของชายคนนั้น แต่พยายามสุดความสามารถแล้ว เขาไม่สามารถแก้ถุงพลาสติกที่ดูธรรมดาออกได้

 

“บ้าอะไรเนี่ย? มันก็แค่ถุงพลาสติกงี่เง่า ทำไมมันรัดแน่นขนาดนี้” นายตำรวจหนุ่มบ่นพลางดึงมีดพกออกมา เขาใช้มีดกรีดเปิดถุงพลาสติก

 

ทันใดนั้น สายฟ้าแลบวาบผ่านท้องฟ้า ตามด้วยเสียงฟ้าร้องดังก้องในหูของเขา

 

เปรี้ยง! 

 

ใบหน้าของร่างที่นอนอยู่โผล่ออกมาจากถุงพลาสติกสีดำ เลือดไหลซึมจากทุกช่องของใบหน้า และดวงตาที่ไร้ชีวิตก็เบิกกว้าง แล้วภาพนั้นดูน่ากลัวยิ่งขึ้นด้วยแสงสว่างวาบของสายฟ้าเป็นระยะ ๆ

 

นายตำรวจหนุ่มกรีดร้องเป็นครั้งที่สอง เขารีบถอยหลังออกไป สะดุดล้มหงายหลังด้วยความตื่นตระหนก

 

"หัวหน้า! หัวหน้า! เกิดเรื่องแล้ว!” เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยและมีประสบการณ์เพียงไม่กี่ปี รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและพยายามรายงานต่อเจ้านายของเขา

 

เขาพยายามหลายครั้งแต่ไม่สามารถติดต่อใครได้

 

เขาดูข้อความแสดงข้อผิดพลาดบนโทรศัพท์ของเขา “บ้าเอ๊ย! ที่นี่ไม่มีสัญญาณ!”

 

ตำรวจหนุ่มมองไปที่ถนนสายหลักที่นำไปสู่รีสอร์ท ตอนนี้ฝนตกหนักจนบริเวณรอบ ๆ ขาวโพลนบดบังทางเข้าไปจนหมด เขามองไปยังทิศทางที่เขามา ทางนั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบเหมือนกัน

 

เขารีบลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าเหยียบลงบนโคลนด้วยก้าวหนัก ๆ และคว้าปืนไรเฟิลที่เขาเตะออกไป ก่อนจะวิ่งกลับไปที่สถานีตำรวจให้เร็วที่สุด

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น ผู้กำกับการสถานีตำรวจใกล้เขาตู้เฟิงก็ถูกปลุกให้ตื่นจากการนอนหลับด้วยเสียงโทรศัพท์ของเขา

 

"เกิดอะไรขึ้น?" ผู้กำกับการถามขณะที่เขารีบเข้าไปในสถานีตำรวจ เขาเห็นปืนไรเฟิลที่นายตำรวจหนุ่มนำกลับมาจากถนนที่เต็มไปด้วยโคลน ดวงตาของเขาหรี่ลงทันที “นั่นมันปืนไรเฟิลซุ่มยิงของอเมริกันทันเดอร์โบลท์นี่! นายไปเอามาจากไหน”

 

“บนถนนที่มุ่งสู่ตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่าครับ” น้ำเสียงคนตอบยังมีความกลัวแฝงอยู่ รวมถึงในดวงตาของนายตำรวจประสบการณ์น้อยคนนั้น เขารีบสะบัดความรู้สึกหวาดกลัวทิ้งแล้วมองผู้บังคับบัญชาอย่างชื่นชม “หัวหน้า คุณจำปืนนี้ได้เหรอครับ!”

 

เขารู้ว่าผู้บังคับบัญชาเป็นทหารผ่านศึก แต่เขาไม่คิดว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธปืน

 

ผู้กำกับยิ้ม เขาจ้องไปที่ปืนไรเฟิล แล้วดวงตาของเขาก็เหม่อมองไปไกล “ฉันจำช่วงเวลานั้นได้ ฉันอยากเป็นสไนเปอร์ในทีมมาก ฉันก็เลยพยายามศึกษาทุกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับปืนไรเฟิล ท้ายที่สุดแล้ว ก็มีคนอื่นแย่งตำแหน่งนั้นจากฉันไป ฉันไม่ได้รับตำแหน่ง”

 

นี่เป็นความทรงจำที่เจ็บปวดสำหรับผู้กำกับ เจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชาที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “หัวหน้าครับ มีคนตายอยู่ที่นั่นด้วย มีถุงพลาสติกพันรอบศีรษะ ผมเจอปืนไรเฟิลนี้อยู่ข้าง ๆ เขา”

 

"อะไรนะ? ร่างของคนตายที่มีถุงพลาสติกพันรอบศีรษะอย่างนั้นเหรอ?” กรามของผู้กำกับอ้าค้างทันที “เทพเจ้าแห่งสงครามองค์ไหนกันที่ตัดสินใจลงโทษเขาตู้เฟิงที่ต่ำต้อยของเรา?!” 

 

นายตำรวจชั้นผู้น้อยมองไปที่ผู้กำกับที่กำลังหวาดกลัว เขาไม่รู้ว่าหัวหน้าของเขากำลังพูดถึงอะไร

 

“หัวหน้าครับ มีโทรศัพท์จากผู้ปกครองของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย C เมื่อค่ำนี้ด้วย พวกเขาบอกว่านักศึกษาคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย C กำลังพักอยู่ที่ตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่า แต่ไม่มีใครสามารถติดต่อพวกเขาผ่านทางโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ตหรือแม้แต่โทรศัพท์บ้านได้เลย พวกเขากังวลว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น และต้องการให้เราไปดู ผมไปตรวจดูแล้ว แต่ผมไม่ได้เข้าไปในวิลล่าเพราะผมเห็น…สิ่งนี้อยู่บนถนน” เขาชี้ไปที่ปืนไรเฟิล

 

“โทรหาตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่าแล้วพาตาแก่ต้วนที่อยู่สำนักงานรักษาความปลอดภัยมา” ผู้กำกับการนั่งตัวตรง เขาจุดบุหรี่และเริ่มสูบบุหรี่เพื่อทำให้จิตใจปลอดโปร่ง

 

นายตำรวจหนุ่มยืนขึ้นและส่ายหัว พลางกดเครื่องรับโทรศัพท์ “อย่างที่ผมพูด สายโทรศัพท์ที่ตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่าขัดข้อง ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ผมต้องไปตรวจสอบดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะไปถึงรีสอร์ท ผมพบคนตายกับปืนที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้” เขาพูดเสริมต่อว่า “แล้วร่างเขายังนอนอยู่บนถนนครับ”

 

“มีคนตาย! ไม่มีสัญญาณ?!” สีหน้าของผู้กำกับดูจริงจังมาก เขาเอาบุหรี่เข้าปากอย่างไม่สมอารมณ์ “ฉันได้ยินมามากพอแล้ว ปลุกทุกคน บอกให้พวกเขาสวมเสื้อเกราะกันกระสุน เราจะไปที่ภูเขากัน!”

 

5 นาทีต่อมา ตำรวจกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีเครื่องรับส่งวิทยุและเสื้อเกราะกันกระสุนมารวมตัวกัน พวกเขาสวมเสื้อกันฝนและเริ่มเดินทางไปที่ตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่า เนื่องจากมีพวกเขามีอุปกรณ์เตรียมพร้อม พวกเขาจึงเคลื่อนไหวได้เร็วและในไม่ช้าก็มาถึงจุดที่นายตำรวจผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาพบปืนไรเฟิลซุ่มยิงและศพ

 

คนตายยังคงนอนอยู่บนพื้น ถุงพลาสติกที่ถูกกรีดหลุดจากปมที่แก้ไม่ได้รอบคอของเขา

 

ผู้กำกับฉายไฟฉายส่องไปทั่วร่างของศพแล้วเรียกตำรวจสองนายให้มาหาเขา “พาเขากลับไปที่สถานีและระบุตัวตนเขาให้เร็วที่สุด พวกนายที่เหลือตามฉันมา”

 

เขาวิ่งอย่างรวดเร็วไปท่ามกลางสายฝนโดยมีตำรวจ 8 นายตามอยู่ข้างหลังเขา

 

เขากำลังจะไปถึงประตูวิลล่า และทันใดนั้น—

 

ฟิ้ว!

 

กระสุนพุ่งออกมาจากป่าใกล้กับวิลล่า มันปะทะเข้ากับอกของตำรวจนายหนึ่งซึ่งกำลังนำทาง

 

ชายคนนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและล้มลงกับพื้นทันที 

 

"หมอบ! ทุกคนหมอบลงไป!” ผู้กำกับการโบกมืออย่างรวดเร็ว สั่งให้ทุกคนหมอบลงไปที่พื้น

 

เขาคลานไปหาเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชาที่ถูกยิงและถามเบา ๆ “ต้าเหมา เป็นอะไรไหม”

 

พวกเขาทั้งหมดสวมเสื้อเกราะกันกระสุน กระสุนที่เสื้อกั๊กอาจจะทำให้เจ็บ แต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

 

เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยร้องครวญคราง “อ๊าก! เจ็บโคตรพ่อโคตรแม่เลย!”

 

“พ่อแม่ของแกยังอยู่ดี อย่าไปแช่งพวกเขาสิ ไอ้เด็กเนรคุณ!” ผู้กำกับการกล่าวอย่างไม่พอใจขณะที่เขาตบหลังอีกฝ่าย เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นและตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ก่อนที่จะออกคำสั่ง “ไป!”

 

นายตำรวจที่เพิ่งถูกยิงที่หน้าอกก็ลุกขึ้นเช่นกัน

 

ทันใดนั้น กระสุนอีกนัดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหลังต้นไม้

 

คราวนี้กระสุนเจาะเข้าไปในหมวกกันน็อคของเขา

 

หมวกกันน็อคของเขาไม่กันกระสุน เขาทรุดตัวลงอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ส่งเสียงอะไรเลย

 

ตำรวจอีกคนที่ยืนอยู่ข้างตำรวจรุ่นน้องรีบตะโกนว่า “หัวหน้า! ต้าเหมาโดนยิงอีกแล้ว!” เขาเอื้อมมือไปหาร่างของอีกคนที่ฟุบอยู่ในโคลนแล้วดึงไปด้านข้าง

 

ผู้กำกับการยิงสวนไปหลายนัดติดต่อกันในทิศทางที่กระสุนนัดที่สองพุ่งมาพร้อมกับตะโกนว่า “ตรงนั้น! ยิงพวกมัน! ยิงพวกมันให้ตาย!”

 

ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! 

 

ในสนามรบ พลซุ่มยิงคนใดก็ตามที่เป็นคนคอยคุ้มกันจะต้องย้ายไปยังตำแหน่งใหม่ทุกครั้งหลังการยิง ไม่อย่างนั้น ศัตรูจะสามารถติดตามตำแหน่งของคนซุ่มยิงได้โดยการวิเคราะห์วิถีกระสุนของเขา

 

เมื่อพวกเขารู้ตำแหน่งของคนซุ่มยิงแล้ว มือปืนคนนั้นจะถูกโจมตีอย่างไร้ความปราณี นี่คือเหตุผลที่พลซุ่มยิงถูกเรียกอีกอย่างว่า "หน่วยกล้าตาย" เมื่อออกไปในสนามรบ

 

ในป่าบนภูเขาของจักรวรรดิ ผู้กำกับการตระหนักว่ามือปืนที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นมือสมัครเล่น

 

เพราะกระสุนทั้งสองนัดมาจากทิศทางเดียวกัน

 

ตำรวจไม่รีรอที่จะดึงปืนออกมาแล้วยิงโต้กลับ

 

ปืนของพวกเขาไม่ได้ทรงพลังเท่าไรเฟิลซุ่มยิง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีประสิทธิภาพในการยิงกระสุนได้ถี่กว่า เสียงปืนดังขึ้นไม่หยุดท่ามกลางเสียงฝนโปรยปราย ชายผู้พยายามจะยิงพวกเขาจากป่าพบว่าตนเองถูกเสียงปืนกลบหมด เขาไม่สามารถหาโอกาสยิงสวนได้ และไม่สามารถแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นจากที่ซ่อนของเขา

 

ผ่านไปไม่นานก่อนที่กลุ่มตำรวจจะได้ยินเสียงเบา ๆ ดังมาจากในป่ารกไม่กี่ครั้ง ตำรวจยิงโต้ตอบอีกครั้ง แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ อีกต่อไป

 

ตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางดึกและมีฝนตกอย่างหนักจนวิสัยทัศแย่มาก

 

การประเมินสถานการณ์ของพวกเขาคือ เจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจเขาตู้เฟิงถูกฆ่าตายในระหว่างปฏิบัติการ พร้อมกับคนตายที่ไม่ปรากฏหลักฐานและมือปืนที่หนีไปได้ นี่เป็นเรื่องร้ายแรง

 

“นำต้าเหมากลับไปที่สถานี เรียกเจ้าหน้าที่ระดับสูงและกองกำลังในพื้นที่มาสมทบ! บอกพวกเขาว่าเรามีเหตุร้ายแรงที่นี่!” ผู้กำกับการกล่าวอย่างร้อนรน เขาเช็ดใบหน้าที่เปียกชุ่ม ขณะนี้เขาไม่สามารถบอกได้อีกต่อไปว่าใบหน้าของเขาเปียกโชกจากฝน เหงื่อ หรือน้ำตาของเขากันแน่

 

บทที่ 68 : แผนการ

 

ในสำนักงานของกรรมการผู้จัดการ หยางต้าเว่ย หัวหน้าแก๊งวงเวียนใหญ่กำลังจ้องมองที่นาฬิกาจับเวลาของเขา ส่วนมืออีกข้างถือเครื่องส่งรับวิทยุ เขากัดฟันกับเสียงกรีดร้องและความโกลาหลที่ดังผ่านลำโพง

 

“บัดซบเอ๊ย! พวกมันฆ่าพี่แปด!”

 

ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งที่เปียกโชกจากสายฝนก็พุ่งเข้ามา มือข้างหนึ่งจับปืนไรเฟิล อีกมือหนึ่งที่สวมถุงมือหนังชุ่มไปด้วยเลือดที่ไหลออกจากไหล่ของเขา

 

"พี่ใหญ่!" เขาหอบหายใจแรง “ตำรวจรู้เรื่องแล้ว! เราจำเป็นต้องล้มเลิกแผน!” พี่เจ็ดรีบวิ่งกลับไปที่ฐานของพวกเขาอย่างรวดเร็วที่สุดหลังจากที่เขาปะทะกับกองกำลังตำรวจที่ป่าไผ่ แม้ว่าเขาจะทำบางอย่างเพื่อขัดขวางพวกเขา แต่สถานการณ์ตอนนี้ทำให้แก๊งวงเวียนใหญ่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผน

 

ผู้เป็นหัวหน้าแก๊งสบถออกมาอีกครั้ง “ตำรวจรู้ด้วยเหรอ!” คิ้วของเขาขมวดแน่น “บอกให้คนของเรารีบพานักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งสามมาที่นี่เร็วเข้า เราต้องรีบหนีกันแล้ว” เขาวางแผนที่จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างใจเย็น แต่ตำรวจมาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้ ถ้าไม่หนีตอนนี้คงไม่รอดแน่ ๆ

 

“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!” พี่สามซึ่งเฝ้าดูอยู่ที่สำนักงานกรรมการผู้จัดการกับหยางต้าเว่ยหยิบปืนขึ้นมาและสั่งให้คนของเขาย้ายออกไป เขามองเข้าไปในห้องประชุมหลักขณะที่เดินผ่านไป พวกเขาล็อคประตูจากด้านนอก เอาราวเหล็กมากั้นไว้ ถ้ากรรมการผู้จัดการตื่นขึ้น เขาจะไม่สร้างปัญหาให้กับพวกเขาเพราะอีกฝ่ายถูกขังอยู่

 

 

ในสวนฉิงเฟิง กู้เหนียนจื่อรอมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่พี่หลี่ยังไม่กลับมา หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นทุกนาที เหม่ยเสี่ยวเหวินกอดอกยืนอยู่หน้าหน้าต่างขณะที่มองดูสายฝน ดวงตาของเขาที่อยู่ด้านหลังแว่นกรอบทองนั้นดูมืดมน

 

พี่เบิ้มซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังของสวนฉิงเฟิงเพื่อคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านนอกผ่านประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ เขาเห็นคนสองคนถือปืนวิ่งผ่านไปที่ทางเดินด้านนอก เขาตัวแข็งทื่อเพราะกลัวว่าจะถูกพบ หลังจากที่เขารอให้ทั้งสองคนเดินออกไปไกล ๆ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาและพูดกับเพื่อนของเขาด้วยน้ำเสียงกระซิบว่า “หัวหน้าห้อง มีคนสองคนวิ่งไปที่จวนหมิงเยว่ ฉันเห็นพวกมันถือปืนด้วย!”

 

“พระเจ้า พวกมันจะทำจริง ๆ เหรอ? แล้วเราจะทำยังไงดี? จะนั่งรอความตายเฉย ๆ หรือไง!” นางมารน้อยยกมือขึ้นกุมศีรษะและขยี้ผมตัวเองอย่างสิ้นหวัง “ไม่มีทาง ไม่มีทาง! ฉันยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย! ฉันไม่ควรมาตายแบบนี้!”

 

“ไม่หรอก! เราไม่ได้อยู่คนเดียว” กู้เหนียนจื่อยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เธอหันกลับมากวาดสายตามองใบหน้าของเพื่อนทุกคนในห้อง เธอยิ้มให้พวกเขา ใบหน้าของเธอไม่มีร่องรอยของความวิตกกังวลหรือความกลัว เธอมั่นใจในความปลอดภัยของพวกเขา การแสดงออกของเธอถือเป็นกำลังใจให้ทุกคน

 

“แล้วเธอมีแผนว่ายังไง” สายตาของเหม่ยเสี่ยวเหวินจับจ้องมาที่เธอ ทั้งการแสดงออก ใบหน้าที่ใจดีและเด็ดเดี่ยวนั้น ทำให้เขาตกหลุมรักเธอตลอดมา

 

สาวน้อยเลือกเสื้อกันฝนแบบใช้แล้วทิ้งมาจากของใช้ที่พนักงานรีสอร์ทจัดไว้ในห้องของพวกเขา เธอมองขึ้นไปที่โคมสไตล์ชาววังที่สว่างไสวเหนือศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะไปที่เบรกเกอร์วงจร”

 

หากความมืดปกคลุมไปทั่ว อาชญากรจะสับสนได้ง่ายกว่าเดิม ซึ่งมันจะช่วยลดความได้เปรียบของอาชญากรและเตือนผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้รีสอร์ทด้วย เธอมั่นใจว่าพวกอันธพาลไม่มีเวลาหรือแรงจูงใจที่จะฆ่าทุกคนในวิลล่าทั้งหมด ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ส่งอาหารใส่ยานอนหลับให้นักศึกษาในจวนหมิงเยว่ 

 

ขณะนั้นเพื่อน ๆ ของเธอจับใจความได้และเริ่มวางแผน

 

หัวหน้าห้องออกตัวอาสาอย่างรวดเร็ว “ฉันจะไปเอง เพราะฉันรู้ว่าเบรกเกอร์อยู่ที่ไหน”

 

“ถ้าอย่างนั้นนายก็มากับฉัน ฉันคุ้นเคยกับการทำให้เบรกเกอร์พังที่สุด” กู้เหนียนจื่อขยิบตาให้อีกฝ่าย

 

จากท่าทางที่มั่นใจมาตลอด เธอมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว เธอสังเกตเห็นว่าฝ่ามือของตัวเองมีเหงื่อออกและตระหนักว่าเธอกำลังรู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ

 

ในสถานการณ์นี้เพียงแค่รู้ตำแหน่งของเบรกเกอร์ที่ใช้ในการเปิด-ปิดวงจรไฟฟ้าหลักก็ไม่ได้มีผลอะไร พวกเขาจำเป็นต้องตัดกระแสไฟ แต่วงจรสมัยใหม่มีความซับซ้อนมากกว่ารุ่นเก่าที่เคยใช้ มันทั้งมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยและระบบสายไฟที่ซับซ้อนมากขึ้น หากไม่ได้ผ่านการฝึกอบรม อาจต้องใช้เวลามากในการตัดไฟในสถานที่ที่ใหญ่เท่ากับตู้เฟิง เมาน์เทน รีสอร์ท วิลล่าในครั้งเดียว

 

แต่กู้เหนียนจื่ออาศัยอยู่ที่ฐานทัพปฏิบัติการพิเศษเป็นเวลา 2 ปี เธอเฝ้าดูทหารฝึกอย่างใกล้ชิด และลองฝึกด้วยตัวเอง การทำให้เบรกเกอร์สะดุดหรือแฮ็คเข้าสู่ระบบรักษาความปลอดภัยนี้เป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ ที่พวกเขาฝึกและเธอก็ไปเล่นด้วยความสนุกสนาน

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินมีความลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า "ตกลง"

 

ชายหนุ่มสวมเสื้อกันฝนแล้วรีบวิ่งไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักพร้อมกับสาวน้อย เขาเคยมาพักที่นี่หลายครั้งแล้ว และเคยเดินทางมาที่นี่กับครอบครัวครั้งหนึ่งในฐานะแขกวีไอพีของกรรมการผู้จัดการ ผู้อำนวยการฝูได้นำทางพวกเขาเยี่ยมชมวิลล่าด้วยตัวเอง และเหม่ยเสี่ยวเหวินจำได้ว่าพวกเขาเคยผ่านสถานที่ที่ผู้อำนวยการระบุว่าเป็นห้องไฟฟ้า

 

ห้องไฟฟ้าที่อยู่ภายในมีเบรกเกอร์หลักสำหรับทั้งรีสอร์ท แม้ว่าจะผ่านมาหนึ่งหรือสองปีแล้ว ภาพนั้นก็ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา

 

หัวหน้าหนุ่มเดินไปตามทางที่เขาจำได้เพื่อพากู้เหนียนจื่อไปที่ห้องไฟฟ้า ท่ามกลางฝนตกหนักและกลางคืนที่มืดมิดทำให้การนำทางลำบาก

 

พวกเขาจับมือกันและเผลอสะดุดที่ขั้นบันไดของห้องไฟฟ้า ข้างหน้าคือประตูที่ปิดสนิทและมีแสงจากด้านนอกลอดผ่านรอยแยกของประตู เหม่ยเสี่ยวเหวินเข้าไปใกล้มันก่อนจะอุทานด้วยความประหลาดใจ “ไม่มีใครอยู่ข้างใน!”

 

โดยปกติห้องไฟฟ้าจะมีคนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นขณะที่เธอค่อย ๆ ดันตัวชายหนุ่มไปด้านข้าง "ขอฉันลองก่อน" 

 

เธอถือพวงกุญแจที่ดูธรรมดาที่ห้อยอยู่กับกุญแจของเธอแล้วเอามือป้องรูกุญแจขณะที่เธอเสียบมันเข้าไป แต่นี่เป็นตัวเปิดล็อคที่หยินชือฉงเคยมอบเป็นของขวัญให้เธอในวันเกิด เธอสัมผัสสลักที่อยู่ในรูกุญแจแล้วค่อย ๆ หมุนไปสองสามครั้งจนในที่สุดประตูก็เปิดออกพร้อมเสียงคลิกเบา ๆ

 

คนเป็นหัวหน้าห้องจ้องมองคนตรงหน้าสลับกับประตูที่เปิดอยู่ แล้วหันกลับมามองเธอ "เธอทำได้ยังไง?!"

 

“ความลับน่ะ” กู้เหนียนจื่อขยิบตาให้เขา การแสดงออกที่ขี้เล่นของเธอทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินรู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวสาวน้อยคนนี้ที่แตกต่างออกไปจากปกติ เธอมักจะมีท่าทีอ่อนโยนและเงียบขรึม ความขยันขันแข็งและมีความเป็นตัวของตัวเองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขาชอบเธอ นอกเหนือจากความสามารถของเธอแล้ว ความงามอันน่าทึ่งของเธอก็มากล้นพอ ๆ กัน แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะมีความสุขกับการตกเป็นเป้าสายตาท่ามกลางผู้คนมากมาย

 

กู้เหนียนจื่อตรงหน้าเขานั้นช่างน่าตื่นเต้น ตอนนี้ในจินตนาการของเขา เธอเหมือนมีพลังงานดิบเล็ดลอดออกมา เธอมีท่าทางมั่นใจและกระตือรือร้น เห็นได้ชัดว่าเธอมีทักษะในการจารกรรมและยุทธวิธีทางทหาร นั่นทำให้เหม่ยเสี่ยวเหวินตกหลุมรักเธอมากขึ้น

 

เขาจ้องไปที่ใบหน้าของหญิงสาวและฟังเสียงของเธอขณะที่เขาเฝ้ามองอยู่ที่ประตูด้วยความมึนงง ในช่วงเวลานั้น เขาจะยอมทำตามที่เธอขอไม่ว่าจะสุดโต่งแค่ไหน

 

สาวน้อยพบว่ามันแปลกที่หัวหน้าห้องอยู่ ๆ ก็เชื่อฟังเธอขึ้นมา แต่เธอไม่มีเวลาจะมาสนใจเขาแล้วเดินเข้าไปในห้อง ภายในห้องไฟฟ้า มีตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลักและเบรกเกอร์วงจรต่าง ๆ อยู่มากมาย

 

ความจริงก็คือถ้าเหม่ยเสี่ยวเหวินมาคนเดียว เขาจะไม่รู้วิธีตัดวงจรหลัก แล้วทำให้เบรกเกอร์สะดุดเท่านั้นซึ่งมันจะทำให้คนร้ายรู้ตัว

 

กู้เหนียนจื่อตรวจสอบห้องไฟฟ้าอย่างรวดเร็วและมองไปที่ตู้กระจกขนาดกลางบนผนังด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จากวงจรดูเหมือนมันจะหุ้มเบรกเกอร์หลักเอาไว้ เธอก้าวไปตรวจสอบอย่างรวดเร็ว

 

ตู้กระจกมีการรักษาความปลอดภัยโดยใช้ตัวล็อคขนาดใหญ่ และเมื่อตรวจสอบใกล้ชิด เธอตระหนักว่าการใช้ที่เปิดล็อคของเธอเหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะตัวล็อคอันนี้เชื่อมต่อกับลวด นั่นคือเหตุผลที่ว่าเธอไม่สามารถใช้ที่เปิดล็อคได้ แต่ในตู้กระจกมีสวิทช์หลัก เธอจ้องที่มันสักครู่แล้วค้นหารอบห้องไฟฟ้า เธอหยิบค้อนจากกล่องเครื่องมือในห้องพักและเหวี่ยงมันที่เป็นศูนย์กลางของตู้กระจกอย่างรุนแรง

 

เพล้ง!

 

มันแตกในทันที เผยให้เห็นตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าของเบรกเกอร์ที่ใช้ในการเปิด-ปิดวงจรไฟฟ้าหลัก เช่นเดียวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ทั้งหมด มันสร้างได้ยากแต่ทำลายได้ง่าย

 

หญิงสาวคิดอย่างขบขัน เธอหยิบปากกานำไฟฟ้าในกล่องเครื่องมือมาเพื่อแทงแผงสวิตช์ ประกายไฟพุ่งออกมาจากมันทันที มันส่งเสียงดังหลายครั้ง หลอดไฟในห้องไฟฟ้ากะพริบถี่ ๆ ก่อนที่แสงไฟระลอกคลื่นจากห้องไฟฟ้าจะส่งออกไปและความมืดแผ่กระจายไปทั่วทั้งรีสอร์ท

 

ทุกวันเสาร์ เวลา 15:00
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป