Your Wishlist

ว่าไงคะ ท่านนายพล (บทที่ 63-64 : ไม่มีสัญญาณ, ผู้คุ้มกัน)

Author: Han Wuji (Akira แปล)

กู้เหนียนจื่อ หญิงสาวอายุ 17 ปีผู้สูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก มีเพียงภาพที่ตนเองติดอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้เท่านั้นที่ยังฉายชัดอยู่ในความฝันของเธอ โชคดีที่เธอได้ฮัวเฉาเหิง ทหารหนุ่มผู้มีตำแหน่งพลตรีช่วยชีวิตเอาไว้ ชายหนุ่มถูกกองทัพของจักรวรรดิร้องขอให้เป็นผู้ปกครองของกู้เหนียนจื่อที่มีอายุเพียง 12 ปี และปกปิดประวัติที่แท้จริงของทั้งคู่เอาไว้ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่เธอก็อยู่กับเขานับตั้งแต่นั้นมา เธอใช้ชีวิตด้วยความกลัวและไม่มั่นคงมาตลอด เธอจะรู้สึกปลอดภัยเฉพาะเวลาได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ปกครองหนุ่มเท่านั้น ระหว่างนั้นกองทัพของจักรวรรดิได้ทำการสืบค้นประวัติของหญิงสาว แต่ก็ไม่สามารถค้นหาได้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ตัวตนที่แท้จริงของกู้เหนียนจื่อคือใครกันแน่? เหตุใดเธอจึงถูกลอบทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต?

จำนวนตอน : 2263

บทที่ 63-64 : ไม่มีสัญญาณ, ผู้คุ้มกัน

  • 30/11/2564

บทที่ 63 : ไม่มีสัญญาณ

 

พี่เบิ้มรีบออกไปเซ็นรับของ เขาเพิ่งนำอาหารเย็นของทุกคนเข้ามาด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมชั้นชายอีกสองคน แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น

 

เปรี้ยง!

 

เวลาต่อมาเสียงฝนก็ตามมาราวกับว่าอ่างเก็บน้ำบนท้องฟ้าเปิดออก ฝนเทลงมาอย่างไม่หยุดยั้งเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกราก

 

พนักงานที่ส่งอาหารก็รีบกลับออกไปข้างนอก แล้วหายไปในสายลมและสายฝนอย่างรวดเร็ว

 

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทานอาหารนอกบ้านในขณะที่ฝนตกแบบนี้

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินให้ทุกคนมารับอาหารเย็นแล้วกลับไปทานที่ห้องของตนเอง

 

ตามนิสัยปกติของกู้เหนียนจื่อ เธอจ้องไปที่โทรศัพท์ของเธอขณะทานอาหารเย็นไปด้วย ทันใดนั้น เธอก็ขมวดคิ้ว รอยย่นตรงระหว่างคิ้วของเธอชัดขึ้นทุกวินาที

 

“มีอะไรเหรอสาวน้อย ทำไมเธอดูอารมณ์เสียมาก? ในวันนี้หัวหน้าห้องก็ทำตัวดีมากเลยนะ เขาทำเหมือนยัยตีสองหน้าจากห้อง 2 นั่นเหมือนไม่มีตัวตน ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก!” นางมารน้อยคิดว่ากู้เหนียนจื่อ โกรธเหม่ยเสี่ยวเหวิน

 

แต่อีกฝ่ายไม่สนใจตอบ เธอวางตะเกียบลง แล้วเดินไปรอบ ๆ ห้องพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้น เธอพยายามเดินไปทุกจุด และในที่สุดก็เดินไปที่ประตู โทรศัพท์ของเธอยังคงยกสูงเหนือหัว

 

ข้างนอกฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง ทั้งแมวและสุนัขต่างก็พากันวิ่งหาที่ซ่อน เพราะมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นครั้งคราว

 

มันเป็นเพราะฝนตกเหรอ ทำไมถึงไม่มีสัญญาณโทรศัพท์?

 

"เธอกำลังทำอะไร?" ยัยหนูชาเขียวฟ่างตกใจ เธอหันไปถามคุณหนูเฉาว่า “สาวน้อยกินอะไรผิดสำแดงเข้าไปหรือเปล่า”

 

เฉาหยุนซานก็ขมวดคิ้วจ้องมองโทรศัพท์ของเธอแล้วพูดอย่างงุนงง “สาวน้อยกำลังหาสัญญาณ เกิดอะไรขึ้น? โทรศัพท์ของฉันไม่มีสัญญาณเหมือนกัน”

 

“อาจจะเป็นเพราะโทรศัพท์ของเธอเสียหรือเปล่า?” นางมารน้อยโชว์โทรศัพท์ของเธอ “ดูสิ! โทรศัพท์เวอร์ทูรุ่นล่าสุดของฉัน! เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนนะ… ดูเหมือนว่าเธอพูดถูก ไม่มีสัญญาณจริง ๆ ด้วย!”

 

ยัยหนูชาเขียวฟ่างหยิบไอโฟนออกมา และพบว่าของเธอก็ไม่มีสัญญาณเหมือนกัน

 

กู้เหนียนจื่อหันกลับไปหารูมเมทสาว เธอมองพวกเธอด้วยใบหน้าที่ซีดมาก แม้ว่าเธอพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ แต่เธอก็ไม่สามารถซ่อนความตื่นตระหนกในดวงตาของเธอได้

 

“ไม่มีสัญญาณ ไม่มีสัญญาณทุกที่เลย” สาวน้อยพูดขณะที่ใบหน้าของเธอขาวซีด “ฉันจะลองเช็คเน็ตดู”

 

เธอพยายามเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ของรีสอร์ท แต่กลับพบว่าแม้แต่สัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ล่ม!

 

"เกิดอะไรขึ้น?!" หวังจุนหยาถามด้วยความกังวล “ไม่มีอินเทอร์เน็ต? มีคนพยายามจะฆ่าพวกเราเหรอ!” เธอทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว

 

ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ติดอยู่กับโลกอินเทอร์เน็ต และคาดหวังว่าจะสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา

 

ในยุคนี้การไม่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้มันเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจจินตนาการได้ เท่ากับการลงโทษที่โหดร้ายและเป็นสิ่งผิดปกติ

 

กู้เหนียนจื่อจ้องโทรศัพท์ของเธอและคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอเปิดประตูและเดินไปตามทางเดินที่มีหลังคาปกคลุมเพื่อมองหาเหม่ยเสี่ยวเหวิน เธอต้องการถามเขาว่าเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทและขอยืมโทรศัพท์ได้หรือไม่

 

 

“เหนียนจื่อ เธอมาทำไมเหรอ! มาหาหัวหน้าห้องหรือเปล่า?” พี่เบิ้มเห็นหญิงสาวสวมเสื้อยืดลายพรางสีเขียวมะกอก เขาจึงรีบเชิญเธอเข้ามาข้างในอย่างกระตือรือร้น

 

กู้เหนียนจื่อส่ายหัว “ฉันจะรอที่นี่”

 

“หัวหน้าห้อง! เหนียนจื่อมาหา!” เล่ยเฉียงเชิงรีบหันกลับไปเรียกเพื่อนของเขา เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้ามาข้างในห้อง

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินเพิ่งทานอาหารและอาบน้ำเสร็จ เมื่อได้ยินพี่เบิ้มพูดว่าเหนียนจื่อมาหา เขาก็รีบเช็ดผมให้แห้งด้วยผ้าขนหนูและออกมาจากห้องน้ำ เขามองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นคนที่เขามองหา เขาจึงคว้าตัวเพื่อนแล้วถามว่า “เหนียนจื่ออยู่ไหน? ฉันคิดว่าฉันได้ยินนายบอกว่าเธอมาที่นี่นะ”

 

“เธออยู่ที่ประตู เธอไม่ยอมเข้ามา” เล่ยเฉียงเชิงพูดพร้อมยิ้มและชี้ไปที่ประตู

 

ชายหนุ่มเปิดประตูก้าวออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว เวลานี้ข้างนอกมืดแล้ว กู้เหนียนจื่อยืนอยู่บนทางเดินที่มีหลังคาปกคลุม เธอดูเพรียวบางและสง่างาม โดยมีสายฝนโปรยปรายเป็นฉากหลัง ต่างหูดอกไม้แพลตตินัมสีขาวมุกส่องสว่างที่ติ่งหูของเธอ เสริมกับผิวสีครีมของเธอ ทำให้เธอดูช่างบอบบางและสวยมาก เขาอยากที่จะโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา อีกใจหนึ่งเขากลัวที่จะทำอย่างนั้น เธอดูบอบบางมากจนดูเหมือนว่าแค่เขาหายใจแรง ๆ เธอก็อาจจะถูกพัดหายไป

 

หัวใจของเหม่ยเสี่ยวเหวินเต้นแรงขึ้น “เหนียนจื่อ ฉันคิดว่าจะไปหาเธออยู่พอดี เธออ่านใจฉันได้ เราต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ ๆ เลย”

 

สาวน้อยเพิกเฉยต่อสายตาของหัวหน้าหนุ่มที่เหมือนมีแสงสีชมพูวาบผ่าน เธอเอามือโอบแขนของเขาแล้วดึงเขาไปที่ประตู เธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ว่า “เสี่ยวเหวิน ฉันอยากโทรหาครอบครัวของฉัน แต่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตก็ล่ม นายช่วยฉันหน่อยได้ไหม นายขอยืมโทรศัพท์จากพนักงานวิลล่าได้ไหม”

 

ในกรณีฉุกเฉินแบบนี้ โทรศัพท์บ้านคงจะไม่มีปัญหาแม้ว่าเสาสัญญาณจะมีเกิดการขัดข้อง 

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “โทรศัพท์ของเธอไม่มีสัญญาณ ไม่มีอินเทอร์เน็ตเหรอ? เป็นไปไม่ได้ ฉันเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว และฉันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้เลย”

 

เขารีบเข้าไปในห้องของเขา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาและลองใช้งาน กู้เหนียนจื่อพูดถูก มันไม่มีสัญญาณ เขาลองใช้ Wi-Fi และได้รับข้อความแสดงข้อผิดพลาดเท่านั้น

 

“มันจะเป็นไปได้ยังไง” คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันด้วยความโมโห

 

ทุกวันนี้ การทำโทรศัพท์มือถือหายหรือการขาดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมักจะทำให้คนที่สงบสติอารมณ์ได้ดีที่สุดไม่พอใจกับปัญหาเรื่องนี้

 

"เห็นไหม? ฉันไม่ได้โกหก ไปหาโทรศัพท์กันไหม” หญิงสาวเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินมองเธอและยัดโทรศัพท์ของเขากลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขา “แต่ข้างนอกฝนยังตก รอให้ฝนหยุดก่อนค่อยไปยืมโทรศัพท์กันดีไหม”

 

กู้เหนียนจื่อหันไปมองดูสายฝนที่ตกหนักจนแทบมองไม่เห็นทาง หยาดฝนตกลงมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเธอกำลังจ้องมองม่านน้ำ เธอพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “โอเค งั้นฉันกลับห้องก่อนนะ”

 

ขณะที่เธอกำลังจะเดินกลับไปอย่างท้อแท้ใจ เธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากสายฝน “คุณกู้ คุณทำถุงพลาสติกใบนี้ตกหรือเปล่า”

 

เจ้าของชื่อหันไปมองอย่างสับสน

 

ในคืนที่มืดมิดและฝนตกลงมา มีผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่สวมเสื้อสเวตเตอร์ยืนอยู่ รูปร่างลักษณะของเขานั้นธรรมดามากจนเป็นไปไม่ได้ที่จะพบเขาอีกหากต้องเดินเข้าไปในฝูงชน เขากำลังเดินท่ามกลางสายฝนไปทางกู้เหนียนจื่อพร้อมถุงพลาสติกสีดำในมือ

 

หญิงสาวกำลังจะพูดว่าถุงพลาสติกนั้นไม่ใช่ของเธอ แต่เมื่อเธอมองเข้าไปใกล้ ๆ เธอก็ตระหนักว่านี่คือคนที่เธอรู้จักจริง ๆ

 

ใบหน้าของเขาดูคุ้นเคยสำหรับเธอมาก ย้อนกลับไปตอนที่เธออาศัยอยู่กับฮัวเฉาเหิงในฐานทัพหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เธอไม่ได้เจอเขาอีกเลยหลังจากย้ายออกจากฐานไปเรียนที่มหาวิทยาลัย C

 

หัวใจของกู้เหนียนจื่อเต้นแรง เธอถามทันทีว่า “คุณเจอมันที่ไหน!”

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินเหลือบมองที่ถุงพลาสติก คิ้วของเขาขมวดแน่นมากขึ้น “เหนียนจื่อ ทำไมเธอถึงใช้ถุงพลาสติกล่ะ มันเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมนะ”

 

สาวน้อยรู้สึกกระวนกระวายอยากจะพูดคุยกับชายคนนั้น เธอดันตัวหัวหน้าห้องกลับเข้าไปในห้องของเขาและพูดว่า “เสี่ยวเหวิน นายกลับเข้าไปข้างในก่อนนะ ฉันอยากคุยกับเขา ฉันรู้จักเขา ไม่ต้องห่วง”

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินมองไปยังชายหน้าตาธรรมดาแล้วหันไปมองกู้เหนียนจื่อ เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันและกลับไปที่ห้องด้วยอารมณ์บูดบึ้ง

 

ทันทีที่อีกฝ่ายกลับไป ชายคนนั้นก็พาหญิงสาวไปยังมุมที่ห่างไกลของสวนฉิงเฟิง ซึ่งอยู่ห่างจากห้องนอนอื่น ๆ เขาพูดด้วยเสียงที่เบาลงว่า “คุณกู้ คุณจำผมได้ไหม ผมทำงานกับคุณฮัว มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องปกป้องคุณในฐานะผู้คุ้มกันของคุณ”

 

กู้เหนียนจื่อพยักหน้าตอบ "ฉันจำคุณได้ ดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้ง พี่หลี่ ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่? ฮัวเฉาและคนอื่น ๆ อยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า?”

 

เธอรู้สึกดีใจกับความคิดนี้ ทำให้ดวงตาของเธอเป็นประกาย

 

ถ้าฮัวเฉาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว!

 

“นี่ไม่ใช่เวลามาคุยกัน” ใบหน้าของพี่หลี่ดูเคร่งขรึมมาก “คุณฮัวไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาส่งผมมาที่นี่เพื่อปกป้องคุณ ผมติดตามคุณมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น วันนี้เราขาดทั้งสัญญาณโทรศัพท์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต มีบางอย่างผิดปกติ ผมก็เลยมาที่นี่เพื่อเตือนคุณ”

 

ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น เขาสังเกตเห็นว่าสัญญาณโทรศัพท์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหายไปเกือบพร้อมกัน เขารีบไปที่หอสัญญาณที่ตั้งอยู่ในภูเขาใกล้เคียงแล้วพบว่ามันถูกใครบางคนจงใจทำลาย ความเสียหายนั้นกว้างขวาง ไม่สามารถซ่อมแซมได้ชั่วขณะหนึ่ง

 

เขาขาดการติดต่อกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนอื่น ๆ ในทีมรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติหรือไม่ และวันนี้เป็นวันเสาร์ ทำให้มีคนประจำการอยู่ที่ฐานน้อยกว่าปกติ

 

หากผู้ปฏิบัติหน้าที่หลับในที่ทำงานเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ยาวนาน อาจต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มก่อนที่จะมีคนรู้ว่ามีสถานการณ์เกิดขึ้นที่รีสอร์ท

 

เขาไม่สามารถรอจนกว่าจะถึงวันถัดไปเพื่อรับคำตอบจากฐาน มันอาจจะสายเกินไปแล้ว

 

พี่หลี่ไม่อยากเสียเวลาพยายามติดต่อกับฐานอีก และเขากำลังวิตกกังวล เขาจึงมาบอกกู้เหนียนจื่อโดยตรงแทนด้วยความตั้งใจที่จะพาเธอไปจากที่นี่ทันที

 

ตราบใดที่พวกเขาสามารถไปถึงสถานที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ได้ พวกเขาจะปลอดภัย

 

กู้เหนียนจื่อกำลังจ้องมองที่อีกฝ่ายแล้วอ้าปากค้าง “ฮัวเฉาส่งคุณมาเพื่อปกป้องฉันเหรอ? ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้เลย”

 

บทที่ 64 : ผู้คุ้มกัน 

 

"คุณหมายถึงอะไร? คิดถึงสิ่งที่เราทำเพื่อหาเลี้ยงชีพสิ ถ้าแม้แต่คุณสังเกตเห็นเรา เราก็ควรลาออกจากงานนี้ซะ” พี่หลี่หัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติแล้วส่งถุงพลาสติกสีดำให้เธอ “ที่นี่อันตราย คุณควรสวมเสื้อเกราะกันกระสุนนี้ ผมต้องไปตรวจดูพื้นที่ก่อน แล้วพาคุณไปกับผม เราจะออกจากที่นี่กัน”

 

"เกิดอะไรขึ้น?" กู้เหนียนจื่อหยิบเสื้อเกราะกันกระสุนมา หัวใจของเธอกำลังดิ่งลงเหวอีกครั้ง “ทำไมเราถึงต้องสวมเสื้อเกราะด้วย”

 

ทหารหนุ่มอธิบายด้วยเสียงที่เบาลง “คุณจำรถเอสยูวีสีดำคันนั้นที่มาที่นี่เมื่อคืนนี้ได้ไหม? มันตามรถทัวร์ของคุณมา”

 

“ฉันคิดว่าฉันเห็น แต่แล้วยังไงล่ะ”

 

“ผมตรวจสอบหอสัญญาณบนภูเขาก่อนหน้านี้ และพบว่ามันถูกใครบางคนทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีเลย และมันซ่อมไม่ได้ พอผมกลับมา ผมเห็นคนถือกระเป๋าปืนไรเฟิลเข้าไปในรถเอสยูวีแล้วมุ่งหน้าไปยังเส้นทางนั้น” พี่หลี่ชี้ไปที่จวนหมิงเยว่และพูดด้วยความหงุดหงิด “พวกคุณกำลังถูกติดตามมาติด ๆ และผมเพิ่งรู้เมื่อกี้นี้เอง!”

 

หญิงสาวตัวสั่นอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ “พวกมันกำลังจับตาดูเราเหรอ พวกมันกำลังวางแผนที่จะทำอะไร ทำไม? พี่หลี่รู้หรือเปล่า?”

 

“ผมยังไม่รู้รายละเอียด แต่ผมสามารถเดาได้” ชายหนุ่มชะงักไปชั่วคราวเมื่อเห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของสาวน้อยและขจัดความกังวลของเธอทันทีด้วยรอยยิ้มกว้าง “คุณไม่ใช่เป้าหมายของพวกมันอย่างแน่นอน คุณอาจถูกทำให้หมดสติ แต่ไม่ต้องกังวล ผมจะไปตรวจสอบพื้นที่รอบ ๆ ตอนนี้ และเมื่อผมพบสัญญาณมือถือ ผมจะติดต่อกับฐาน คนพวกนี้ไม่มีโอกาสได้ทำร้ายเราหรอก”

 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นั้นรุนแรงกว่าที่พี่หลี่คิดไว้มาก แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่าอาชญากรกำลังตั้งเป้าไปที่กู้เหนียนจื่อ แต่เขารู้ตั้งแต่แรกว่าอีกฝ่ายกระหายเลือดและจะไม่ยอมให้ใครหลุดรอดไปได้ ตอนนี้นอกจากรีสอร์ทบนภูเขาจะไม่มีสัญญาณมือถือและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้ว แต่โทรศัพท์บ้านยังขัดข้องอีกด้วย มันกลายเป็นเหมือนเกาะที่ไร้การติดต่อกับโลกภายนอก อาชญากรมีมือปืนซุ่มโจมตี และน่าจะประจำการอยู่บนเส้นทางไปยังวิลล่าตอนนี้ พร้อมที่จะกำจัดใครก็ตามที่พยายามจะหลบหนี เขารีบพากู้เหนียนจื่อออกไปไม่ได้ เขาจึงต้องหาวิธีกำจัดพวกสไนเปอร์ก่อน

 

“ผมจะไปส่องกล้องดู และเมื่อทางโล่ง เราจะไปที่รถแล้วขับออกไป” ทหารหนุ่มชี้ไปที่ถุงพลาสติกสีดำแล้วลดเสียงลง  "อย่าลืมสวมเสื้อเกราะกันกระสุนด้วย คืนนี้มันจะมีประโยชน์สำหรับคุณ”

 

หญิงสาวกำถุงพลาสติกแน่นและถามอย่างกังวลว่า “แล้วพี่หลี่ล่ะ? คุณมีอีกอันหนึ่งใช่ไหม”

 

ถ้ามีนักแม่นปืนจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด เสื้อเกราะกันกระสุนก็เป็นสิ่งจำเป็น

 

ชายหนุ่มเหลือบมองเธออย่างลังเล เขาหยิบจดหมายจากกระเป๋าเสื้อตัวในและส่งให้เธอ “ถ้าผมไม่กลับมา ช่วยมอบจดหมายนี้ให้ต้าฉงด้วย”

 

“จดหมายนี้มีไว้เพื่ออะไร” กู้เหนียนจื่อไม่เข้าใจ “คุณใส่ไว้ในกล่องจดหมายแล้วส่งกลับไปไม่ได้เหรอ” คนในปัจจุบันแทบไม่ได้ใช้อีเมลกันแล้วและเลือกใช้โซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อสื่อสารกันทันที การเขียนและการส่งจดหมายนั้นจึงเป็นวิธีที่ล้าสมัยยิ่งกว่าเดิม

 

พี่หลี่ยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว เขากังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ยังไงเขาก็ควรบอกเธอ “นี่คือจดหมายฉบับสุดท้ายของผม ถ้าผมไม่กลับมา ผมขอให้คุณมอบมันให้ต้าฉง แล้วเขาจะส่งต่อให้ครอบครัวของผม ถ้าผมกลับมา คุณค่อยคืนจดหมายนี้ให้ผม”

 

"หืม?" รอยยิ้มของหญิงสาวหยุดนิ่ง เธอกุมจดหมายแน่นจนข้อนิ้วกลายเป็นสีขาว

 

“ไม่ต้องห่วง นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ทุกคนจะเตรียมจดหมายฉบับสุดท้ายของตัวเองก่อนปฏิบัติการใหญ่และมอบให้ผู้บังคับบัญชาเพื่อความปลอดภัย คราวนี้ผมคิดว่าผมจะมาเที่ยวพักผ่อนเพราะผมมาเฝ้าคุณที่รีสอร์ท แต่ตอนนี้ผมต้องขอให้คุณช่วย”

 

ทหารหนุ่มมองดูสาวน้อยตรงหน้าและยิ้มกว้างให้เธออีกครั้งพลางตบไหล่ของเธอ “คุณต้องเอาตัวรอดไปให้ได้ หาทางเอาตัวรอด คุณต้องป้องกันตัวเองก่อนที่คนของเราจะมาถึงที่นี่”

 

น้ำตาของกู้เหนียนจื่อเอ่อล้นขอบตาเมื่อเธอรู้ว่าพี่หลี่ต้องสละเสื้อเกราะกันกระสุนให้เธอ เธอจึงรีบยัดถุงพลาสติกสีดำกลับไปให้เขา “พี่หลี่ คุณใส่เสื้อเกราะเถอะ ฉันไม่ต้องการมัน”

 

"ฟังผม! นี่คือคำสั่ง!” ใบหน้าของชายหนุ่มดูแข็งกร้าวขณะที่เขาดันถุงพลาสติกกลับไป “คุณลืมสิ่งที่คุณฮัวสอนไปแล้วเหรอ”

 

อย่างไรก็ตาม กู้เหนียนจื่อเชื่อฟังฮัวเฉาเหิงเท่านั้นและไม่เห็นเหตุผลที่จะฟังคนอื่น

 

“พี่หลี่ ถ้ามันเป็นเพราะฮัวเฉา ฉันขอคืนเสื้อเกราะกันกระสุนให้คุณ เว้นแต่คุณมีตัวสำรอง” หญิงสาวกลั้นน้ำตาของเธอไว้และยิ้มออกมาก่อนจะผลักถุงพลาสติกกลับไปที่อีกฝ่าย “คุณต้องไปตรวจสอบพื้นที่ด้วย เพราะฉะนั้นคุณจะตกเป็นเป้าหมายของคนพวกนั้นอย่างแน่นอน โอกาสสำเร็จของคุณจะเพิ่มขึ้นถ้าคุณสวมใส่เสื้อเกราะนี้ ถ้าคุณทำสำเร็จ ฉันจะปลอดภัยมากขึ้น”

 

ทหารหนุ่มตระหนักว่าเขาไม่สามารถเอาชนะกู้เหนียนจื่อได้ หญิงสาวพูดเหตุผลที่โต้แย้งไม่ได้ เขากดริมฝีปากเข้าหากันอย่างกังวล จากนั้นก็เปิดปากเพื่อพยายามประท้วงอีกครั้ง แต่อีกคนก็หยุดเขาไว้ “อย่าพูดอีกเลย คุณต้องรีบไปแล้ว ตอนนี้ฝนตกหนักมาก คุณคงเคลื่อนไหวลำบาก”

 

พี่หลี่รู้ว่าเรื่องต่าง ๆ เลวร้ายและเขาไม่สามารถเสียเวลาไปกับการยื้อแย่งกันได้อีกต่อไป เขาหยุดขัดขืนและรับถุงพลาสติกมา เขาเตือนเธออีกครั้งว่า “อย่าไปไหน อยู่ในสวนฉิงเฟิง รอผมกลับมา ถ้าผมไม่กลับมาให้กระโดดลงไปในทะเลสาบลิตเติ้ลมิเรอร์ ผมรู้ว่าคุณเป็นนักว่ายน้ำที่ดี ทะเลสาบมีขนาดใหญ่และเป็นเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดที่นี่”

 

"ตกลง พี่หลี่ระวังตัวด้วย ฉันจะรอส่งจดหมายนี้คืนให้คุณ” กู้เหนียนจื่อถือจดหมายฉบับสุดท้ายของอีกฝ่ายแนบกับหัวใจของเธอขณะที่เฝ้าดูเขาเดินออกไป เธอมองดูเขาหายตัวไปในตอนกลางคืนก่อนจะหันกลับมาที่ห้องของเธอเอง ทันทีที่เธอเดินไปที่มุมห้อง เธอเห็นเหม่ยเสี่ยวเหวินยืนพิงประตูห้อง สอดมือของเขาไว้ในกระเป๋ากางเกง เขาจ้องมองเธอนิ่ง ๆ และดูเหมือนว่าจะรอเธออยู่

 

“เสี่ยวเหวิน?” เธอเรียกอีกคนอย่างระแวดระวัง “ทุกคนอยู่ที่นี่หรือเปล่า”

 

“มีแค่ 20 คนที่อยู่ที่นี่ คนที่เหลืออีก 4 คนยังไม่กลับมาจากจวนหมิงเยว่” หัวหน้าหนุ่มตอบเธอแบบห้วน ๆ เขาเชิดคางไปทางที่พี่หลี่เคยอยู่แล้วถามว่า “นั่นใคร เธอรู้จักเขาเหรอ?"

 

“ไม่ เขาเข้าใจผิดน่ะ ถุงนั้นไม่ใช่ของฉัน” หญิงสาวไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม "ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันจะไปพักผ่อนสักหน่อย”

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินมองลงไปที่บุหรี่ในมือของเขา ก่อนจะถามอย่างเศร้าใจ “เหนียนจื่อ เกิดอะไรขึ้น เธอไม่สนุกเหรอ? ฉันเลือกที่นี่เพื่อเธอโดยเฉพาะเลยนะ”

 

การเดินทางมาฉลองรับปริญญาที่เขาวางแผนมาอย่างดียังไม่ช่วยให้คนที่เขารักมีความสุขอย่างที่เขาคาดหวัง ชายหนุ่มมีท่าทางเหมือนหมดแรง

 

กู้เหนียนจื่อรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นแฟนหนุ่มของเธอเป็นแบบนี้ แต่เธอไม่รู้วิธีการปลอบโยนเขาในขณะนี้ ใจของเธอกำลังย่ำแย่จากภัยคุกคามที่ใกล้เข้ามาในรีสอร์ท เธอลูบเสาประตูตรงหน้าเธอขณะที่เธอยืนอยู่ในความเงียบ จากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เสี่ยวเหวิน ที่นี่สวยมากและฉันขอบคุณทุกสิ่งที่นายทำให้ฉันจริง ๆ ฉัน... แต่ฉันรู้สึกว่าที่นี่มีเรื่องแปลก ๆ”

 

ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะถากถาง

 

“อะไรที่แปลก ๆ? ไม่มีสัญญาณมือถือ? ไม่มีอินเทอร์เน็ต? ไม่มีโทรศัพท์เข้าน่ะเหรอ?” เหม่ยเสี่ยวเหวินถอดแว่นตาและบีบสันจมูกของตัวเอง “เหนียนจื่อ ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะยอมรับปัญหาพวกนี้ได้น้อยกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่” 

 

หญิงสาวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพียงเพราะเธอเป็นเด็กกำพร้า เธอควรจะสามารถทนได้มากกว่าเหล่าทายาทเศรษฐีที่พ่อแม่ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ?

 

ฮัวเฉาไม่เคยปล่อยให้เธอต้องขาดแคลนในแง่ของความจำเป็นพื้นฐานของชีวิตเพียงเพราะ 'ชีวิตช่างโหดร้าย' เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะคอยช่วยเหลือและยอมรับทุกอย่างได้มากขึ้นหรือเก็บความเจ็บปวด ความกังวลของเธอไว้กับตัวเอง เพราะการเป็นเด็กกำพร้าหมายถึงการมีความ ‘ยืดหยุ่น’ มากขึ้น เขาได้อนุญาตให้เธอเป็นตัวของตัวเองและใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงสถานะและภูมิหลังของเธอ

 

กู้เหนียนจื่อไม่ได้โกรธเหม่ยเสี่ยวเหวิน และการชี้นำที่มั่นคงของฮัวเฉาทำให้เธอมีความกล้า หัวใจของเธอไม่ได้เหมือนแก้วที่จะแตกสลายด้วยคำพูดที่โหดร้ายหรือความคิดเห็นที่แสดงถึงความเกลียดชัง

 

“เสี่ยวเหวิน นั่นไม่ใช่เรื่องตลก” เธอชำเลืองมองไปทางด้านข้างแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ฝนเริ่มตกหนักขึ้นแล้ว อย่าปล่อยให้คนอื่น ๆ ออกไปข้างนอก บอกให้พวกเขาล็อคประตูด้วย”

 

ทุกวันเสาร์ เวลา 15:00
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป