Your Wishlist

ว่าไงคะ ท่านนายพล (บทที่ 53-54 : หยาบคายชะมัด, ไม่คาดฝัน)

Author: Han Wuji (Akira แปล)

กู้เหนียนจื่อ หญิงสาวอายุ 17 ปีผู้สูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก มีเพียงภาพที่ตนเองติดอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้เท่านั้นที่ยังฉายชัดอยู่ในความฝันของเธอ โชคดีที่เธอได้ฮัวเฉาเหิง ทหารหนุ่มผู้มีตำแหน่งพลตรีช่วยชีวิตเอาไว้ ชายหนุ่มถูกกองทัพของจักรวรรดิร้องขอให้เป็นผู้ปกครองของกู้เหนียนจื่อที่มีอายุเพียง 12 ปี และปกปิดประวัติที่แท้จริงของทั้งคู่เอาไว้ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่เธอก็อยู่กับเขานับตั้งแต่นั้นมา เธอใช้ชีวิตด้วยความกลัวและไม่มั่นคงมาตลอด เธอจะรู้สึกปลอดภัยเฉพาะเวลาได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ปกครองหนุ่มเท่านั้น ระหว่างนั้นกองทัพของจักรวรรดิได้ทำการสืบค้นประวัติของหญิงสาว แต่ก็ไม่สามารถค้นหาได้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ตัวตนที่แท้จริงของกู้เหนียนจื่อคือใครกันแน่? เหตุใดเธอจึงถูกลอบทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต?

จำนวนตอน : 2263

บทที่ 53-54 : หยาบคายชะมัด, ไม่คาดฝัน

  • 12/11/2564

บทที่ 53 : หยาบคายชะมัด

 

กู้เหนียนจื่อจ้องที่โทรศัพท์ของเธอพลางสงสัยว่าเจี้ยวเลี่ยงจื่อทำอะไรอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของเธอในขณะนี้ แต่เธอก็ถูกเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของเหม่ยเสี่ยวเหวินที่เขาวางไว้บนโต๊ะขัดจัหวะ 

 

มันเป็นข้อความ

 

หญิงสาวเหลือบมองโทรศัพท์ของเขาโดยอัตโนมัติและเห็นข้อความนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ข้อความดังกล่าวมาจากอ้ายเว่ยหนาน

 

[เว่ยหนาน]: ‘ถึงเวลานั้นของเดือนแล้ว ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย… ฉันคิดถึงชาขิงที่นายเคยทำให้ฉันเมื่อหลายปีก่อน…’

 

จิตใจของกู้เหนียนจื่อรู้สึกหดหู่เมื่อเห็นข้อความนี้ ปากของเธอกระตุกขณะที่เธอดันโทรศัพท์ของเหม่ยเสี่ยวเหวินออกไปห่าง ๆ

 

ไม่นานเจ้าของโทรศัพท์ก็เดินมาพร้อมกับถาดอาหารขนาดใหญ่ เขาวางมันลงต่อหน้าหญิงสาวและจัดอาหารสองจานที่อยู่บนถาดลงบนโต๊ะ

 

สาวน้อยหยิบตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งคู่หนึ่งของเธอขึ้นมาทานอาหารอย่างเงียบ ๆ 

 

ชายหนุ่มนั่งลงข้างเธอ สายตาของเขาจับจ้องคนที่เขารักขณะที่เขาทานอาหาร รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังไม่จางหายไปไหน

 

กู้เหนียนจื่อรู้สึกเขินสายตาของอีกฝ่าย เธอเคาะชามของหัวหน้าห้องด้วยตะเกียบพร้อมกับพูดว่า “ข้าวกลางวันของนายอยู่นี่ นายมองไปตรงไหนน่ะ?"

 

ดวงตาของเหม่ยเสี่ยวเหวินเป็นประกายอยู่หลังแว่นตาขอบทอง เขาหัวเราะและพูดว่า “ฉันกำลังมองเธออยู่ไง…”

 

“ไร้สาระน่า ฉันไม่ใช่ของกินสักหน่อย นายจะมองฉันทำไม” หญิงสาวกล่าวก่อนจะจิบนมเย็น

 

“เธอคืออาหารตาที่ดีที่สุดของฉัน” ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปจับมือเธอ 

 

กู้เหนียนจื่อรีบดึงมือออก “อย่าทำอะไรรุ่มร่ามสิ ฉันยังกินข้าวอยู่นะ”

 

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน โทรศัพท์ของเหม่ยเสี่ยวเหวินก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

เขาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ แต่สิ่งแรกที่เขาเห็นคือข้อความจากอ้ายเว่ยหนานที่เขายังไม่ได้อ่าน

 

ในขณะนี้โทรศัพท์ยังคงดังไม่หยุด แต่เขาก็ไม่รับสาย เขาจ้องไปที่ข้อความของอ้ายเว่ยหนาน แล้วเขาก็ปล่อยความคิดล่องลอยไกล มันอดไม่ได้จริง ๆ เขากำลังจมอยู่ในความทรงจำเก่า ๆ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคำว่า ‘ชาขิง’

 

กู้เหนียนจื่อรู้สึกว่ามันแปลกที่เหม่ยเสี่ยวเหวินไม่รับโทรศัพท์ เธอจึงถามว่า “มีอะไรเหรอ? ใครกำลังโทรมา? ถ้านายไม่อยากรับสาย ก็กดวางไปเถอะ มันเสียงดังไปหน่อย”

 

"อ่อ สภานักเรียนน่ะ” หัวหน้าหนุ่มกลับมารู้สึกตัวแล้ว เขาปลดล็อคโทรศัพท์เพื่อรับสาย

 

เขาตอบกลับแบบขอไปทีกับใครก็ตามที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ก่อนที่จะวางสายเพื่อตรวจสอบเว่ยป๋อบนโทรศัพท์ของเขา

 

ตอนนี้หญิงสาวทานข้าวเสร็จแล้ว เธอเห็นว่าอีกฝ่ายยังเหลืออาหารส่วนใหญ่ไว้โดยไม่ได้แตะต้อง เธอจึงถามว่า “เป็นอะไรเหรอ? ไม่หิวหรือไง มีอะไรเกิดขึ้นที่สภานักเรียนหรือเปล่า”

 

“ใช่ ฉันมีเรื่องของสภานักเรียนที่ต้องไปจัดการ แต่เดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอกลับก่อน” เหม่ยเสี่ยวเหวินยืนขึ้น เพราะทานอะไรไม่ลงแล้ว เขาทิ้งอาหารที่เหลือของเขาไปทันที

 

เมื่อทั้งสองคนลุกขึ้นจากไป ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดใหม่ล่าสุดจากช่วงฤดูร้อนล่าสุดของชาแนลก็เดินเข้ามาในโรงอาหาร

 

คน ๆ นั้นคือเฟิงอี้เฉิน พี่สาวของเฟิงอี้ซี 

 

เธอมองไปที่กู้เหนียนจื่อ ขณะที่เธอเดินผ่านอีกฝ่าย กู้เหนียนจื่อเปล่งประกายไปด้วยความสุขและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วมีชายร่างสูง ผอมเพรียวและสง่างามอยู่ข้าง ๆ เธอโอบแขนของเขาไว้รอบไหล่ของเธอ

 

หญิงสาวจำผู้ชายคนนั้นได้ นั่นคือเหม่ยเสี่ยวเหวิน หัวหน้าห้องของน้องสาวเธอ และยังเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเหม่ยซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง C ก่อนหน้านี้ครอบครัวเฟิงเคยพยายามที่จะประจบประแจงพวกเขาอยู่

 

ทั้งสองคนเดินผ่านเธอไปโดยที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเหมือนโลกทั้งใบมีแค่พวกเขาสองคน แล้วก็ทำเป็นไม่รู้จักเธอ

 

เฟิงอี้เฉินหันกลับมามองเหม่ยเสี่ยวเหวินเปิดประตูให้กู้เหนียนจื่อ

 

“อี้เฉิน มองอะไรอยู่” รูมเมทของหญิงสาวมองตามสายตาเธอไปแล้วเห็นกู้เหนียนจื่อและเหม่ยเสี่ยวเหวิน “อ่อ นั่นคือคู่สร้างคู่สมจากห้อง 1 รุ่นพี่ระดับปริญญาตรีจากแผนกของเรา พวกเขาเหมือนกิ่งทองกับใบหยก มันเป็นการจับคู่ที่สวรรค์สร้างมาชัด ๆ”

 

“พวกเขากำลังเดทกันอยู่เหรอ” ในที่สุดเฟิงอี้เฉินก็ละสายตาไปและเดินขึ้นไปบนชั้นสองของโรงอาหารพร้อมกับรูมเมทของเธอ

 

“พวกเขาเดทกันมาระยะหนึ่งแล้ว เดือนกว่าแล้วมั้ง? เธอก็รู้ว่ามันเป็นยังไง ปีสุดท้ายคือช่วงที่คู่รักเลิกรากัน แต่ก็เป็นช่วงที่คู่รักคู่ใหม่ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดด้วย”

 

เฟิงอี้เฉินและรูมเมทของเธอต่างก็เป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายในแผนกกฎหมายของมหาวิทยาลัย C พวกเธอเองก็จะสำเร็จการศึกษาในปีนี้

 

เธอไม่ชอบที่จะได้ยินเพื่อนของเธอพูดอวยเหม่ยเสี่ยวเหวินและกู้เหนียนจื่อ

 

“กิ่งทองกับใบหยก?” เธอยิ้มแปลก ๆ และพูดต่อว่า “…อยากจะอ้วก”

 

"เธอว่าไงนะ?" รูมเมทของเฟิงอี้เฉินกำลังจดจ่ออยู่กับเมนูอาหารและไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของอีกฝ่ายเท่าไหร่ 

 

"ไม่มีอะไร แค่จะบอกว่าพวกเขาดูเข้ากันได้ดี” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปนั่งตรงนั้นกัน”

 

แต่รูมเมทของเธอยังพูดถึงสองคนนั้นไม่จบ หลังจากได้ที่นั่งแล้ว เธอพูดด้วยความสนใจมากว่า “…ยังไงก็ตาม ฉันได้ยินมาว่าศาสตราจารย์เฮอจือชู ศาสตราจารย์ชื่อดังจากมหาวิทยาลัย B ยอมรับกู้เหนียนจื่อเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของเขาแล้ว น่าสงสารน้องสาวของเธอจังเลย ถ้าเธอไม่มีเรื่องก่อน ที่ตรงนั้นก็คงจะเป็นของเธอ!”

 

"อะไรนะ?!" เฟิงอี้เฉินตกใจ ดวงตาอัลมอนด์ของเธอหรี่ลงพร้อมกับใบหน้าที่ขุ่นมัว “กู้เหนียนจื่อไม่ได้พลาดการสัมภาษณ์เหรอ?”

 

เฮอฉือชูมีชื่อเสียงในด้านไม่อดทนอดกลั้นต่อผู้ที่ไม่ตรงต่อเวลา แล้วเรื่องนี้มันเป็นไปได้ยังไง?

 

“ตอนแรกเธอพลาดไป แต่ฉันได้ยินมาว่านั่นเป็นเพราะเธอป่วยหนัก เธอมีใบรับรองแพทย์ที่พิสูจน์ว่าเธอป่วยจริง ศาสตราจารย์เฮอก็เลยให้โอกาสสัมภาษณ์อีกครั้ง”

 

“เธอแน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงของเฟิงอี้เฉินต่ำมากและฟังดูน่ากลัว

 

รูมเมทสาวมองไปที่เพื่อนของเธออย่างประหลาดใจ “อืม ฉันแน่ใจ! เธอไม่ได้ไปที่อาคารบริหารเลยใช่ไหม? รายชื่อการรับเข้าเรียนของระดับบัณฑิตศึกษาถูกประกาศไว้ที่นั่นซึ่งมันได้รับการยืนยันแล้ว”

 

ความอยากอาหารของหญิงสาวหายไปในทันที

 

เธอเขี่ยอาหารในชามของเธอสองสามครั้งก่อนจะยืนขึ้นและพูดว่า “ฉันต้องไปแล้ว ฉันมีบางอย่างที่ต้องทำ” หลังจากพูดจบเธอก็เดินออกจากโรงอาหารไปอย่างรวดเร็ว 

 

รูมเมทของเฟิงอี้ซีบ่นตามหลังเธอไป ที่จริงเธอรำคาญกับพฤติกรรมของอีกฝ่ายมาตลอด “ชิ! น่าเบื่อจริง ๆ! เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ฐานะทายาทผู้มั่งคั่งของเธอมันจบไปแล้ว…”

 

 

และแล้วก็มาถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกครั้ง

 

กู้เหนียนจื่อไม่ได้วางแผนที่จะกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ในเขตเฟิงหยางเหมือนเดิม

 

เฉินหลายได้บอกกับเธอว่าเธอหายดีแล้ว ดังนั้นการตรวจร่างกายทุกสัปดาห์จึงไม่จำเป็นอีกต่อไป สำหรับฮัวเฉาเหิงเห็นได้ชัดว่าเขาได้ย้ายออกจากเมือง C ไปแล้ว

 

เธอไม่รู้ว่าจะกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ที่ว่างเปล่านั้นทำไม

 

แต่เนื่องจากเธอได้รับโทรศัพท์จากเจี้ยวเลี่ยงจื่อเมื่อวันพฤหัสบดีที่ถามเกี่ยวกับชุดนอนของเธอ เธอจึงค่อนข้างกระวนกระวายใจ เธอยังคงสงสัยว่าเขาเจอชุดนอนของเธอได้ยังไง…

 

แต่เหม่ยเสี่ยวเหวินยุ่งกับงานสภานักเรียนตั้งแต่รับประทานอาหารกลางวันด้วยกันในวันพฤหัสบดี เขายุ่งเกินกว่าจะมาหากับเธอ ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาที่ดีที่เธอจะกลับไปที่อพาร์ตเมนต์

 

 

สาวน้อยรีบกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของเธอ และสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทันที

 

เธอรีบเข้าไปในห้องของฮัวเฉาเหิง แล้วพบว่าของใช้ส่วนตัวของเขาทั้งหมดหายไป ราวกับว่าห้องของเขาไม่เคยมีคนอยู่

 

ห้องน้ำก็สะอาดสะอ้าน มันสามารถนำไปตั้งเป็นห้องน้ำตัวอย่างได้เลยเพราะมันดูใหม่เอี่ยม ไม่มีของใช้ส่วนตัวเลยสักชิ้น

 

ห้องอ่านหนังสือ ยิมและห้องยิงปืนชั้นบนก็เหมือนกัน ทุกอย่างที่เป็นของชายหนุ่มหายไปหมด

 

ข้าวของของเธอไม่บุบสลาย ยกเว้นชุดนอนใต้หมอน แต่นั่นก็เป็นของเขา…

 

ถ้าอพาร์ตเมนต์ถูกขโมยขึ้นจริง ๆ ขโมยจะต้องมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง

 

ลึก ๆ ข้างในใจ เธอรู้ว่าเธอแค่คิดเล่น ๆ นี่คงไม่ใช่ฝีมือของหัวขโมย เธอนึกถึงโทรศัพท์ของเจี้ยวเลี่ยงจื่อและทุกอย่างก็ชัดเจน

 

กู้เหนียนจื่อพิงประตูห้องยิงปืนและค่อย ๆ เลื่อนตัวลงไปนั่งที่พื้น เธอซบหน้าลงระหว่างเข่าของเธอ

 

ประตูห้องนี้เก็บเสียง มันถูกหุ้มด้วยหนังสีดำหนา ๆ ด้านนอก ยึดด้วยตะปูทองเหลืองสีดำหลายสิบอัน มันเป็นประตูที่สง่างามมาก

 

ขณะที่เธอพิงประตูขนาดใหญ่ที่มืดมิดนี้อยู่คนเดียว สาวน้อยก็ดูตัวเล็กลงและเปราะบางกว่าปกติ

 

เธอนั่งคุกเข่าอยู่ที่นั่นตลอดทั้งคืน จิตใจของเธอว่างเปล่าและหัวใจของเธอรู้สึกโหวง ๆ

 

ครั้งนี้เธอมั่นใจว่าฮัวเฉาเหิงไม่ต้องการเกี่ยวข้องอะไรกับเธออีกต่อไป

 

ถึงยังไง อีกไม่ถึงครึ่งปีเธอจะอายุ 18 ปีแล้ว ความรับผิดชอบของฮัวเฉาเหิงในฐานะผู้ปกครองของเธอจะสิ้นสุดลง

 

เธอรู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว

 

แต่เขาควรพูดกับเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อหน้าก็ได้ไม่ใช่เหรอ?

 

แต่เขากลับแอบเอาข้าวของทั้งหมดของเขาไปอย่างลับ ๆ ตอนที่เธอไม่อยู่ การทำแบบนั้นมันไม่หยาบคายไปหน่อยหรือไง 

 

อาฮัวไม่ใช่คนอย่างนั้น

 

เกิดอะไรขึ้น?

 

เมื่อรุ่งสางมาถึง กู้เหนียนจื่อค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ริมฝีปากของเธอเม้มเป็นเส้นตรงพลางมองดูอพาร์ตเมนต์ที่ค่อย ๆ สว่างขึ้นและชัดเจนขึ้นต่อหน้าต่อตา

 

ตอนนี้เป็นเช้าวันใหม่แล้ว

 

ขาของเธอแข็งและชา เธอใช้มือถูมันแล้วกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

 

 

บทที่ 54 : ไม่คาดฝัน 

 

กู้เหนียนจื่อปลดล็อกโทรศัพท์และเห็นว่าเหม่ยเสี่ยวเหวินโทรมา การได้รู้ว่าใครบางคนกำลังตามหาเธอในขณะที่เธอกำลังเหงา ก็เหมือนกับการได้รับของขวัญเป็นตะเกียงในยามค่ำคืนของฤดูหนาว เหมือนกับนักเดินทางที่เหนื่อยล้าได้พบกับน้ำพุกลางทะเลทราย ใครจะปฏิเสธความอบอุ่นแบบนั้นได้ลง เธอรับสายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

 

ชายหนุ่มยิ้มให้ปลายสาย “เหนียนจื่อ เธอกลับบ้านแล้วเหรอ? มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?"

 

หญิงสาวส่ายหัวก่อนจะตอบไปว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ฉันอยากกลับมหาวิทยาลัยแล้ว”

 

“งั้นฉันจะไปรับเธอ” หัวหน้าห้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปออกกำลังกายและเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้ทานข้าวกับกู้เหนียนจื่อมาหลายวันแล้ว เขาจึงรีบโทรหาเธอ

 

กู้เหนียนจื่อพยุงตัวเองไว้กับประตูกันเสียงของสนามยิงปืนเพื่อค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย “ฉันเพิ่งตื่น ไว้ฉันจะโทรหานายหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จนะ”

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินหัวเราะในขณะที่เขาตอบตกลงและวางสาย สาวน้อยวางโทรศัพท์ของเธอลงแล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกลังเลขึ้นมา ถ้าฮัวเฉาเหิงเอาข้าวของของเขาไปหมดแล้ว เธอควรจะย้ายออกไปด้วยไหม? อพาร์ตเมนต์เป็นชื่อของเขา เมื่อเจ้าของไม่อยู่แล้ว มันคงไม่เหมาะสมหากเธอจะมานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่นี่ เธอกำลังจะสำเร็จการศึกษาและจะไม่เริ่มงานหลังจบการศึกษาจนถึงปีหน้า ดังนั้นเธอจึงยังมีเวลาหางานทำในช่วงฤดูร้อน พอมีรายได้เธอจะสามารถเช่าบ้านของตัวเองได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครบุกเข้ามาเอาข้าวของไป เธอทำหน้าเคร่งเครียดก่อนจะโทรหาหยินชือฉง

 

“พี่ฉง” กู้เหนียนจื่อกล่าว “ฉันปลุกพี่หรือเปล่าเนี่ย”

 

หยินชือฉงกำลังประชุมกับฮัวเฉาเหิง เจี้ยวเลี่ยงจื่อและสมาชิกคนสำคัญของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวโทรมา เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีและลุกขึ้นออกจากห้องประชุม

 

“ไม่หรอก ฉันตื่นแล้ว” เลขาหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าไปในห้องแล้วทำปากพูดว่า ‘กู้เหนียนจื่อ’ ไปทางเจ้านายเพื่อบอกให้เขารู้ว่าเธอกำลังโทรมา

 

นายพลหนุ่มไม่ได้ขยับแม้แต่นิ้วเดียว แต่กลับส่งสายตาให้หยินชือฉงคุยกับเธอต่อไป

 

“ระยะแรกของการเตรียมการสำหรับกองทัพภาคที่ 6 ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เงินทุนและบุคลากรมีความพร้อม นายพลฮัว เราควรจะยืนยันแผนและรายงานผลนะครับ” เจี้ยวเลี่ยงจื่อหยิบรายงานจากเครื่องพิมพ์และแจกจ่ายให้ทุกคนในที่ประชุม

 

กู้เหนียนจื่อกัดฟันและพูดกับปลายสายว่า “พี่ฉง ฉันอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ในเขตเฟิงหยาง ของอาฮัวหายไปหมดเลย เราถูกปล้นเหรอ? ฉันควรโทรแจ้งตำรวจไหม”

 

"ห้ะ?! ไม่! อย่าแจ้งตำรวจ!” หน้าผากของชายหนุ่มเริ่มชื้นเหงื่อ “มะ… ไม่มีขโมย! ใครจะกล้าขโมยของในอพาร์ตเมนต์ของเธอกัน”

 

“อพาร์ตเมนต์ของฉัน? นี่ไม่ใช่อพาร์ตเมนต์ของฉันสักหน่อย ฉันแค่มาอาศัยอยู่ที่นี่” หญิงสาวพูดอย่างใจเย็นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง

 

“ถ้าอย่างนั้นทำไมของของอาฮัวถึงหายไปล่ะ”

 

“นั่น… เป็นเพราะ…” หยินชือฉงเป็นคนมีไหวพริบอยู่เสมอ แต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ออกจริง ๆ เขาพูดตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เธอจะไปที่เมืองหลวงเพื่อเรียนต่อในระดับบัณฑิตศึกษาไม่ใช่เหรอ พวกเราก็เลย—”

 

“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว พี่ฉง อย่าหาข้อแก้ตัวมั่ว ๆ เลย พี่รู้ไหมว่าฉันจะไม่ไปเมืองหลวงหลังจากเรียนจบจนถึงฤดูใบไม้ผลิหน้า ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันไม่กังวลแล้วเพราะฉันรู้ว่าเราไม่ได้ถูกปล้น พี่ก็รู้ว่าของของอาฮัวเป็นความลับ ถ้าของพวกนั้นหายคงแย่แน่ อาฮัวทำงานดูแลโน่นนี่เป็นวันละพันอย่าง ฉันเข้าใจและจะไม่ทำให้เขาลำบาก ช่วยบอกเขาด้วยว่าฉันจะย้ายออกวันนี้” หากกู้เหนียนจื่อตัดสินใจจะทำอะไร เธอสามารถพูดได้เด็ดขาดกว่าหยินชือฉงหรือแม้แต่อาของเธอ

 

"ไม่! อย่าย้ายออกไป!” ในตอนนี้คารมคมคายของเลขาหนุ่มไร้ประโยชน์ เขาปิดเสียงโทรศัพท์อย่างรวดเร็วและยื่นศีรษะเข้าไปในห้องประชุม “นายพลฮัว ช่วยออกมาสักครู่ได้ไหมครับ มีเรื่องด่วน” ฮัวเฉาเหิงยังคงไม่ขยับตัว ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดเสริมว่า “มันเกี่ยวกับคุณกู้”

 

คนเป็นเจ้านายมองไปที่เขา การแสดงออกของเขาไม่แยแสเหมือนเดิม “นั่นเป็นความรับผิดชอบของนาย”

 

“แต่เธอบอกว่าเธอจะย้ายออกไปนะครับ!” หยินชือฉงทำอะไรไม่ถูก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโพล่งออกมา

 

ฮัวเฉาเหิงยังคงนิ่งเงียบ แต่เจี้ยวเลี่ยงจื่อแสร้งทำเป็นไอแล้วตบเมาส์อย่างแรงก่อนจะพูดขึ้นมาลอย ๆ “จำได้ไหมว่าฉันบอกอะไรไป! พวกเราหน่วยปฏิบัติการพิเศษไม่สามารถละเลยงานเกี่ยวกับพลเรือนได้!”

 

ฮัวเฉาเหิงไม่สนใจเขาและลุกขึ้นจากที่นั่ง เข็มขัดสีดำที่เอวช่วยเน้นย้ำช่วงกลางลำตัวที่กระชับ เขาล้วงมือข้างหนึ่งในกระเป๋าเสื้อ ส่วนอีกข้างถือบุหรี่ในขณะที่เขาเดินออกไปพร้อมกับเสียงรองเท้าบูททหารทรงสูงกระทบกับพื้น

 

หยินชือฉงรีบพูดย้ำคำพูดของกู้เหนียนจื่อและบ่นเสียงเบา ๆ “ผมไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้กับเธอยังไงดี! เธอคิดว่าอพาร์ตเมนต์ถูกปล้นและจะแจ้งตำรวจ! เห็นไหม ผมบอกคุณแล้วว่าคุณไม่ควรย้ายของออก มันมากเกินไป! เธอจะรับไม่ได้และตอนนี้เธอกำลังพูดถึงการย้ายออก—”

 

“ย้ายออก?” นายพลหนุ่มสะบัดเถ้าบุหรี่ “บอกเธอว่าตอนนี้อพาร์ตเมนต์เป็นชื่อของเธอ มันเป็นของเธอ โฉนดอยู่ในตู้เซฟในห้องหนังสือ เธอรู้รหัสผ่าน”

 

คนเป็นเลขาเกือบสำลัก เขาพูดตะกุกตะกักอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “อะ-อพาร์ตเมนต์นี้เป็นชื่อของเหนียนจื่อแล้วเหรอครับ?”

 

พระเจ้า นั่นคือเพนท์เฮาส์ในบริเวณที่ดีที่สุดของเขตเฟิงหยาง ด้วยพื้นที่ใช้สอย 160 ตร.ม. และมูลค่าตลาดปัจจุบันอย่างน้อย 5 ล้านหยวน…เขาเพิ่งมอบมันให้กู้เหนียนจื่อเหรอ?

 

ฮัวเฉาเหิงพูดต่อว่า “นอกจากนี้ วิลล่าในเขตเต๋อซินก็เป็นสินสอดของเธอ แต่อย่าเพิ่งบอกเธอตอนนี้"

 

เขาหันกลับมาที่ห้องประชุมและพูดก่อนจะจากไป “เอาล่ะ นายต้องโน้มน้าวเธอให้ได้ ฉันจะไปประชุมต่อ”

 

หยินชือฉงมองตามแผ่นหลังกว้างของเจ้านายไปด้วยความยำเกรง ประตูห้องประชุมปิดใส่หน้าเขาด้วยเสียงอันดัง เขานิ่งๆเงียบๆจ้องไปที่ประตู ตอนนี้เขาอยากลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้นให้รู้แล้วรู้รอด

 

นี่คือผู้ปกครองที่ดีที่สุดในจักรวรรดิ และเป็นแบบอย่างของเราจริง ๆ ใช่ไหม! หยินชือฉงคิดด้วยความสงสัย

 

น่าเสียดายที่เขาไม่มีความสามารถในการให้ของขวัญเป็นอพาร์ตเมนต์หรือเพนท์เฮาส์หรู ๆ จากนั้นเขาจึงรวบรวมสติตัวเองและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดกับปลายสายว่า “อย่าเพิ่งโกรธนะ เหนียนจื่อ คุณฮัวมีธุระต้องดูแล นอกจากนี้อพาร์ตเมนต์นั้นเป็นชื่อของเธอแล้ว เพราะงั้นมันเลยไม่เหมาะสมที่เขาจะอยู่ที่นั่นต่อไป นั่นเป็นเหตุผลที่ของของเขาถูกย้ายออก ถ้าเธอไม่ชอบอยู่คนเดียวก็มาพักที่ฐานของเราสิ! เธอมีห้องที่นี่ด้วย ลืมไปแล้วเหรอ? ทำไมถึงต้องย้ายออกล่ะ”

 

กู้เหนียนจื่อไม่ได้คิดว่าเรื่องราวจะเป็นแบบนี้และหยุดไปชั่วครู่เพราะตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เธอตอบสนองเหมือนที่หยินชือฉงทำและพูดติดอ่าง “พะ-พี่พูดอะไร อพาร์ตเมนต์นี้เป็นชื่อของฉันเหรอ?! ที่นี่คือบ้านของอาฮัว! ฉันรับมันไว้ไม่ได้!”

 

"ฉันรู้ คุณฮัวบอกว่า…” เลขาหนุ่มเกือบโพล่งความจริงออกไปจึงรีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “คุณฮัวทำเอกสารเสร็จก่อนที่เขาจะออกไปทำธุระ ไปดูในตู้เซฟในห้องทำงานสิ โฉนดน่าจะอยู่ที่นั่น เธอรู้รหัสผ่านใช่ไหม”

 

หญิงสาวจับโทรศัพท์แน่น น้ำเสียงของเธอสั่นขณะที่เธอพูดออกมา “ฉัน…ฉันคิดว่าอาฮัวจะไม่สนใจฉันอีกแล้ว”

 

“ทำไมเขาถึงไม่สนใจเธอล่ะ” หยินชือฉงประหลาดใจ “เธอลืมไปแล้วเหรอว่าเธอมีห้องของตัวเองอยู่ในห้องของคุณฮัวที่ฐาน? ถ้าเขาไม่สนใจเธอแล้วจริง ๆ ทำไมเขาถึงจัดเตรียมเรื่องพวกนี้ให้เธอล่ะ”

 

เขาเตรียมสินสอดไว้ด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ในตอนนี้ ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาตำหนิฮัวเฉาเหิงอยู่ในใจและคิดอีกครั้งว่าเจ้านายทำอะไรซับซ้อนเกินไปกับสิ่งที่ควรจะเป็นเรื่องง่าย ๆ

 

สาวน้อยทรุดตัวลงกับประตูอีกครั้งและรู้สึกละอายเหลือเกิน เธอทำตัวไร้ค่าโดยตัดสินการกระทำของฮัวเฉาเหิงด้วยความคิดลบ ๆ ของเธอเอง เธอยกมือขึ้นตบตัวเองอย่างแรงหนึ่งครั้ง

 

“เหนียนจื่อ เกิดอะไรขึ้น” หยินชือฉงได้ยินเสียงดังผ่านสายโทรศัพท์ราวกับว่ามีคนเพิ่งถูกตบหน้า เขาตื่นตัวทันที “มีใครตีเธอหรือเปล่า!”

 

กู้เหนียนจื่อพูดเบา ๆ “ไม่มีอะไร ฉันแค่ตบหน้าตัวเองน่ะ”

 

เลขาหนุ่มอ้าปากค้าง "ทำอะไรของเธอเนี่ย! เหนียนจื่อ เธอเศร้ามากจนต้องตบตัวเองเลยเหรอ!”

 

ทุกวันเสาร์ เวลา 15:00
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป