Your Wishlist

ว่าไงคะ ท่านนายพล (บทที่ 51-52 : โดดเดี่ยว, ชุดนอนใต้หมอน)

Author: Han Wuji (Akira แปล)

กู้เหนียนจื่อ หญิงสาวอายุ 17 ปีผู้สูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก มีเพียงภาพที่ตนเองติดอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้เท่านั้นที่ยังฉายชัดอยู่ในความฝันของเธอ โชคดีที่เธอได้ฮัวเฉาเหิง ทหารหนุ่มผู้มีตำแหน่งพลตรีช่วยชีวิตเอาไว้ ชายหนุ่มถูกกองทัพของจักรวรรดิร้องขอให้เป็นผู้ปกครองของกู้เหนียนจื่อที่มีอายุเพียง 12 ปี และปกปิดประวัติที่แท้จริงของทั้งคู่เอาไว้ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่เธอก็อยู่กับเขานับตั้งแต่นั้นมา เธอใช้ชีวิตด้วยความกลัวและไม่มั่นคงมาตลอด เธอจะรู้สึกปลอดภัยเฉพาะเวลาได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ปกครองหนุ่มเท่านั้น ระหว่างนั้นกองทัพของจักรวรรดิได้ทำการสืบค้นประวัติของหญิงสาว แต่ก็ไม่สามารถค้นหาได้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ตัวตนที่แท้จริงของกู้เหนียนจื่อคือใครกันแน่? เหตุใดเธอจึงถูกลอบทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต?

จำนวนตอน : 2263

บทที่ 51-52 : โดดเดี่ยว, ชุดนอนใต้หมอน

  • 09/11/2564

บทที่ 51 : โดดเดี่ยว 

 

วันต่อมาก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ

 

แล้วเวลาก็ผ่านไป 3 สัปดาห์อย่างรวดเร็ว ตอนนี้เป็นปลายเดือนเมษายนแล้ว

 

กู้เหนียนจื่อกลับมาที่อพาร์ตเมนต์ในเขตเฟิงหยางของเธอตามหน้าที่ในช่วงสุดสัปดาห์ และปล่อยให้เฉินหลายทำการทดสอบและเก็บตัวอย่างเลือด

 

ทุกเย็นวันอาทิตย์ เหม่ยเสี่ยวเหวินจะมารับเธอและขับรถกลับไปที่มหาวิทยาลัย

 

ในทางกลับกัน ฮัวเฉาเหิงไม่เคยโทรหาเธออีกเลย

 

ส่วนเฉินหลายได้ประโยชน์มากที่สุดในเดือนที่ผ่านมา

 

เขาค้นพบบางอย่างจากการตรวจสุขภาพกู้เหนียนจื่อในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าเธอไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสเลยแม้แต่น้อย

 

สุขภาพที่ย่ำแย่อย่างน่าสยดสยองที่พบเห็นจากผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ถูกทดลองโดยโอดะ มาซาโอะไม่เหมือนกับกู้เหนียนจื่อเลย

 

เธอหายจากไวรัสได้อย่างปาฏิหาริย์ หมอหนุ่มยังเชื่อมั่นว่าร่างกายของหญิงสาวผลิตแอนติบอดี้ที่มีประสิทธิภาพ 100% ต่ออาวุธชีวภาพนี้

 

“…เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นแบบนี้ ผมได้สกัดแอนติบอดี้ออกมาแล้ว” เฉินหลายภูมิใจนำเสนอผลงานวิจัยล่าสุดของเขาให้ฮัวเฉาเหิงฟัง

 

แอนติบอดี้คือซีรั่มในเลือด หากใครตกเป็นเหยื่อของไวรัสอีก ในอนาคต พวกเขาจะรับมือด้วยการฉีดแอนติบอดี้เข้าไปในกระแสเลือดของเหยื่อ มันทั้งรวดเร็วและสะดวกสบาย

 

ขั้นตอนต่อไปคือการพัฒนาวัคซีน เพื่อให้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัส

 

นายพลหนุ่มกอดอกมองไปที่หลอดทดลองในมือของอีกฝ่าย ดวงตาของเขายังคงมืดมนเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน “อย่ารายงานเรื่องนี้กับใคร นายมีแอนติบอดี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

 

เขาไม่ต้องการให้กองทัพจักรวรรดิสนใจกู้เหนียนจื่อมากไปกว่านี้

 

ชายหนุ่มเป็นผู้ปกครองของเธอมา 6 ปีแล้ว ไม่มีจุดไหนที่เขาเคยรู้สึกว่าหญิงสาวผิดปกติหรือแตกต่างไปจากคนอื่น

 

เขาต้องการให้กู้เหนียนจื่อสามารถใช้ชีวิตเหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เขาไม่ต้องการให้เธอกลายเป็นหนูทดลองของเฉินหลาย

 

ผู้เป็นหมอเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ เขากลอกตาและพูดว่า “นี่ คุณคิดว่าผมจะตกต่ำขนาดนั้นเลยเหรอ? คุณคิดว่าผมเป็นใคร ด็อกเตอร์แฟรงเกนสไตน์หรือไง?”

 

ฮัวเฉาเหิงมองเขานิ่ง ๆ ด้วยท่าทางเคร่งขรึม “นายลงนามในคำสั่งทหารแล้ว อย่าลืม”

 

“คร้าบ ๆ” เฉินหลายใส่หลอดทดลองกลับเข้าไปในตู้เย็นทางการแพทย์ “โอเค แค่นี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย เหนียนจื่อไม่จำเป็นต้องมาที่นี่และเป็นหนูทดลองของผมอีกแล้ว”

 

 

ปลายเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดในเมือง C

 

นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย C อีกด้วย

 

คนที่สำเร็จการศึกษาในปีนี้ส่วนใหญ่หางานได้แล้วและบางคนที่สอบเข้าเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นก็ได้รับการตอบกลับแล้ว รวมถึงวิทยานิพนธ์จบการศึกษาของพวกเขาก็ใกล้จะเสร็จแล้วเหมือนกัน สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือการตรวจสอบและค้นหาข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติมอีกสองสามข้อเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์ของพวกเขา

 

กู้เหนียนจื่อและเหม่ยเสี่ยวเหวินยังคงตัวติดกันในเดือนที่ผ่านมา พวกเขาไปที่ชั้นเรียนด้วยกัน เรียนด้วยกัน และทำงานเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ในห้องสมุดด้วยกัน นอกจากนี้พวกเขายังทานข้าวเช้า กลางวันและเย็นด้วยกัน

 

นักศึกษาหลายคนเริ่มคิดว่าพวกเขาเป็นฝาแฝดตัวติดกันไปแล้ว

 

“หัวหน้าห้อง ทำไมนายไม่แต่งงานกับเหนียนจื่อที่รักของเราหลังจากเรียนจบเลยล่ะ” นางมารน้อยมาเจอทั้งสองคนที่โรงอาหาร เธอหัวเราะขณะที่เธอใช้ช้อนเคาะกับชามข้าวแล้วพูดแบบไม่สนใจอะไร “ดูนกเลิฟเบิร์ดสองตัวนั้นสิ เจ้านกเลิฟเบิร์ดตามไปทุกที่ที่พวกเธอไป คณะนักศึกษามหาวิทยาลัย C จะประท้วง PDA [1] ของพวกเธอกันแล้วนะ”

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินมองไปที่กู้เหนียนจื่อแล้วยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า “ถ้าเธอตกลง ฉันจะเริ่มเตรียมเอกสารทันที”

 

สาวน้อยหัวเราะและเปลี่ยนเรื่องคุย “นางมารน้อย เธอควรไปที่เคาน์เตอร์อาหารได้แล้วนะ ฉันได้ยินมาว่าวันนี้มีของที่เธอชอบอย่างมะระขี้นกกับไข่คนด้วย ถ้าไม่รีบล่ะก็หมดเกลี้ยงแน่…”

 

หวังจุนหยามีรสนิยมเฉพาะตัว จานนี้ถือได้ว่าเป็นจานโปรดของเธอจริง ๆ

 

เธอส่งเสียงกรี๊ดเบา ๆ แล้ววิ่งไปที่เคาน์เตอร์ที่ใกล้ที่สุด

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินมองไปที่กู้เหนียนจื่อที่กำลังเขินกับคำพูดตลก ๆ ของนางมารน้อย เขาพบว่าความไร้เดียงสาของเธอขับให้เธอมีเสน่ห์เป็นพิเศษ

 

เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาจะไม่มีวันเชื่อเขาถ้าเขาบอกทุกคนแบบนั้น แต่ความจริงก็คือ เขากับกู้เหนียนจื่อเพิ่งจะเคยจับมือกันในรอบเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่กลายเป็นคู่รักกันอย่างเป็นทางการ เขายังไม่ได้หอมแก้มเธอเลย

 

สำหรับนักศึกษาคนอื่น ๆ ทั้งคู่ยังไม่ใช่คู่รักกันจริง ๆ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีอะไรกันแล้ว นั่นคือมาตรฐานของพวกเขาสำหรับสิ่งที่นับเป็น ‘ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ’ 

 

ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่โรแมนติกจริง ๆ เหรอ? หรือว่าพวกเขาเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่คู่รักกันแน่นะ?

 

แต่ชายหนุ่มไม่ได้รีบร้อน เขายิ้มและพาหญิงสาวไปนั่งที่นั่งริมหน้าต่างบนชั้นสองของโรงอาหาร เขาแขวนกระเป๋านักเรียนไว้บนหลังเก้าอี้และวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ "นั่งรอตรงนี้นะ ฉันจะไปเอาข้าวเที่ยงของเรา”

 

กู้เหนียนจื่อพยักหน้า ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอเห็นทันทีว่าเป็นเบอร์ของฮัวเฉาเหิงและรับสายทันทีด้วยการปัดนิ้ว

 

“อาฮัว!” เธอรับสายด้วยน้ำเสียงสดใส ใบหน้าเล็ก ๆ ที่สวยงามของเธอเปล่งประกายขึ้นทันที ราวกับมีแสงสว่างจากภายในตัวเธอ

 

ไม่สำคัญว่าเธอจะบอกตัวเองว่ายังไง แต่เธอไม่สามารถต้านทานความสุขที่เอ่อล้นเวลาที่ฮัวเฉาเหิงโทรมาหาได้เลย เธอเป็นเหมือนแฟนคลับที่ไม่สามารถหยุดคลั่งไคล้ไอดอลของเธอได้

 

ในขณะนี้กู้เหนียนจื่อเป็นเหมือนดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ความน่ารักของเธอทำให้เหม่ยเสี่ยวเหวินตื่นตา แต่เขาต้องเบือนสายตาหนีเล็กน้อยขณะที่เขารีบเดินไปที่เคาน์เตอร์อาหาร

 

แต่เขาไม่เห็นใบหน้าของสาวน้อยที่ดิ่งวูบทันทีที่เจี้ยวเลี่ยงจื่อ เลขาส่วนตัวของฮัวเฉาเหิงพูดกับเธอจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง

 

เลขาหนุ่มถือโทรศัพท์ของเจ้านายไว้ในมือ เขารู้สึกผิดมากและต้องบังคับตัวเองให้พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “เหนียนจื่อ นี่พี่จื่อพูดนะ ช่วงนี้คุณฮัวยุ่งมาก เขากำลังจะเดินทางไปทำธุรกิจ เพราะงั้นเขาจะไม่ได้โทรหาเธอสักระยะหนึ่ง”

 

"อื้อ ฉันเข้าใจแล้ว” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงเบา ๆ เธอสลัดความผิดหวังออกไปได้แล้ว

 

ในขณะนี้เจี้ยวเลี่ยงจื่อกำลังยืนอยู่บนระเบียงของที่พักในเขตเฟิงหยาง โดยมีหลาย ๆ คนกำลังเก็บข้าวของของฮัวเฉาเหิง

 

“เหนียนจื่อ คุณฮัวฝากบอกเธอว่า ตอนนี้เธอโตแล้ว เธอสามารถทำอะไรก็ได้ที่เธอต้องการ เธอไม่จำเป็นต้องถามความคิดเห็นของเขาอีกแล้ว” ชายหนุ่มจับตาดูความเรียบร้อยขณะที่พวกเขาเก็บของทั่วอพาร์ตเมนต์ เขาหันหน้าจากระเบียงไปที่โรงยิมบนชั้นสอง

 

ตอนนี้นายพลหนุ่มกำลังตรวจสอบอุปกรณ์ออกกำลังกายภายในโรงยิม

 

คำพูดของเลขาหนุ่มฟังดูเหมือนคำอำลา

 

กู้เหนียนจื่อรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังเดินอยู่บนเชือกเส้นหนึ่ง เท้าของเธอแกว่งไปมากลางอากาศ แต่ตอนนี้เธอติดอยู่ตรงกลางระหว่างท้องฟ้าเบื้องบนกับพื้นดินเบื้องล่าง

 

เวลานี้เป็นตอนเที่ยง โรงอาหารเต็มไปด้วยแสงแดด ผู้คน เสียงพูดคุย และเสียงหัวเราะ แต่เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอถูกส่งตัวไปยังถิ่นทุรกันดารที่แห้งแล้ง

 

หญิงสาวต้องกัดริมฝีปากของเธอเพื่อระงับความตื่นตระหนกที่เดือดพล่านอยู่ภายในตัวเธอ

 

ราวกับว่าเธอกลับมาอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้อีกครั้ง เธอกำลังร้องไห้ ตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง แต่ไม่มีใครตอบกลับเธอเลยสักคน

 

ตอนนี้ไฟได้ปิดทางออกทั้งหมด แยกเธอจากอดีตและอนาคตของเธอ ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเธอได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาจะอยู่กับเธอไม่นาน ตอนนี้เธอกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง

 

แม้แต่ฮัวเฉาเหิงก็ทิ้งเธอไป…

 

“เหนียนจื่อ? เหนียนจื่อ? เธอยังอยู่ไหม?" เจี้ยวเลี่ยงจื่อรอสักครู่ แต่ไม่ได้ยินคำตอบจากปลายสาย มีบางอย่างดูผิดปกติ เขาอดไม่ได้ที่จะปิดไมค์และพูดกับเจ้านายที่กำลังยุ่งอยู่กับการขันสกรูด้วยเสียงเบา ๆ “ท่านครับ เหนียนจื่อดูไม่มีความสุขเลย”

 

ฮัวเฉาเหิงไม่สนใจคนพูด มือของเขาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว แม่นยำและมั่นคง

 

เลขาหนุ่มยิ้มและเดินออกจากโรงยิมโดยถือโทรศัพท์ไว้ในมือ

 

อีกด้านหนึ่ง กู้เหนียนจื่อก็กลับมามีสติได้ในที่สุด เธอบังคับตัวเองให้ยิ้มขณะที่พูดว่า “…ฉันยังอยู่ ฉันได้ยินพี่แล้ว ฉันเข้าใจ"

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาพูดเสียงเบาลงว่า "ดีมาก โอเค ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้ไปหาต้าฉงนะ คุณฮัวกับฉันจะไปทำธุระ เพราะงั้นเราจะไม่ได้พบเธออีกสักพัก ดูแลตัวเองดี ๆ นะ”

 

หญิงสาวรู้สึกตื่นตระหนกอีกครั้ง เธอรีบพูดว่า “พี่จื่อ อย่าเพิ่งวางสาย! เมื่อไหร่... พี่สองคนจะกลับมาเมื่อไหร่? ฉันขอพบอาฮัวก่อนที่เขาจะไปได้ไหม”

 

เสียงของเธอดังออกมาทางโทรศัพท์จนใครก็ตามที่อยู่ใกล้เคียงสามารถได้ยินเธอ

 

เลขาหนุ่มกำลังจะยอมรับคำขอของเธอ แต่แล้วเขาก็เห็นว่าฮัวเฉาเหิงเดินออกมาจากโรงยิมด้วยดวงตาที่มืดมนไม่อาจเข้าใจได้พร้อมกับส่ายหัวให้เขา

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อถูกบังคับให้ตอบกลับไปว่า “ไม่มีเวลาแล้ว เธอก็รู้ว่ามันเป็นยังไง… เอาล่ะ ฉันวางสายก่อนนะ เราต้องไปแล้ว แล้วเจอกัน”

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อวางสาย คิ้วของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหันไปหาผู้เป็นเจ้านายและพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “หุ้นต้องไปไกลถึงขนาดนี้เลยเหรอ? เหนียนจื่อเติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลของเรา ทำไมคุณถึงได้ทำแบบนี้?"

 

[1] การแสดงความรักในที่สาธารณะ (อังกฤษ: public displays of affection, PDA) เป็นการแสดงความใกล้ชิดทางกายให้คนอื่นเห็น ความเหมาะสมในการแสดงความรักแตกต่างกันไปในแต่ละบริบทและวัฒนธรรม การแสดงความรักในที่สาธารณะ เช่น บนถนน มีโอกาสถูกวิจารณ์มากกว่าการกระทำแบบเดียวกันในพื้นที่ส่วนตัวที่มีแต่คนจากวัฒนธรรมเดียวกัน บางองค์กรมีกฎจำกัดหรือห้ามการแสดงความรักในที่สาธารณะ (https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0 )

 

บทที่ 52 : ชุดนอนใต้หมอน

 

“เธอโตแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นอิสระ เธอพึ่งพาคนอื่นไปตลอดไม่ได้หรอก” โดยปกติแล้วฮัวเฉาเหิงไม่เคยอธิบายการกระทำของตัวเอง แต่คราวนี้ต่างออกไป เขาเดินเลี้ยวหัวมุมและเดินไปที่ห้องนอนของกู้เหนียนจื่อ

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อติดตามเขาไปและยังคงแสดงความไม่พอใจ “คุณพูดถูกครับ แต่คุณไม่ควรทำแบบนี้หรือเปล่า เธอไม่ได้แข็งกระด้างหรือทนทานเหมือนผมหรือต้าฉง และไม่ใช่หนึ่งในทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษของคุณ! การตัดเธอไปดื้อ ๆ จะทำให้สาวน้อยอย่างเธอเสียใจ!”

 

“ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วง” นายพลหนุ่มไม่สนใจ เขาหยุดยืนอยู่หน้าห้องของกู้เหนียนจื่อ ก่อนจะหันไปมองเลขาของเขา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะสงบ แต่ดวงตากลับแข็งกระด้าง เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังทำให้เขาไม่พอใจ

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อก้มหน้าลงด้วยความกลัว แต่เขายังคงปฏิเสธที่จะถอยกลับและพึมพำว่า “เหนียนจื่อเป็นคนขวัญอ่อน เธอกลัวมากจนเธอสูญเสียความทรงจำ คุณไม่กังวลเหรอว่าเธอจะกลัวอีกครั้งและลืมคุณไปด้วย”

 

ฮัวเฉาเหิงไม่ได้สนใจที่จะตอบคำถามสมมุติฐานดังกล่าว สายตาของเขามองไปรอบ ๆ ห้องของกู้เหนียนจื่อ เธอเก็บทุกอย่างเรียบร้อยและเป็นระเบียบมาก ผ้าปูที่นอนพิมพ์ลายไม้ไผ่สีขาวทอด้วยเส้นด้ายจากผ้าฝ้ายอียิปต์ถึง 1800 เส้น ปูด้วยเตียงขนาดใหญ่ที่นุ่มสบาย

 

เธอวางตุ๊กตาหลายตัวไว้ที่หัวเตียง ตุ๊กตาเหล่านั้นสวมชุดเจ้าหญิงที่วิจิตรงดงาม มีผมม้าหนา ตากลมโต ใบหน้ารูปหัวใจ และรูปร่างที่เล็กกระทัดรัด พวกมันไม่เหมือนกับตุ๊กตาสไตล์ตะวันตกทั่วไป และชวนให้นึกถึงตุ๊กตาสไตล์จักรวรรดิโบราณ

 

คนที่มีสายตาที่เฉียบแหลมจะรู้ว่าพวกมันไม่ได้ถูกซื้อในห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่ได้รับการสั่งทำขึ้นเอง ภาพของกู้เหนียนจื่อวัย 12 ปีที่กำลังกอดตุ๊กตาเหล่านี้ส่องประกายในหัวของชายหนุ่ม ตอนนั้นเขายุ่งพอ ๆ กัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลามากพอที่จะอยู่กับเธอทุกวัน เธอจะร้องไห้ทุกครั้งที่ไม่เห็นเขา

 

ต่อมาเฉินหลายแนะนำว่า จากการศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก ความวิตกกังวลของเธออาจบรรเทาลงได้ หากพวกเขาให้สิ่งของแทนตัวแก่เธอ ตุ๊กตาเหล่านี้เหมือนกับตุ๊กตาที่เธอกอดในรูปถ่าย ดังนั้นจึงนับได้ว่าตุ๊กตาเป็นสิ่งของแทนตัวเขา จากนั้นพวกเขาก็สั่งตุ๊กตาตามสั่งที่เหมือนกับตุ๊กตาในภาพ

 

“นายได้ตรวจสอบห้องนี้หรือยัง” ดวงตาของฮัวเฉาเหิงเลื่อนจากตุ๊กตาไปที่เจี้ยวเลี่ยงจื่ออย่างสงบ “เอาทุกอย่างที่เป็นของฉันออกไป”

 

“นี่คือห้องของเหนียนจื่อ ทำไมของของคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!” เลขาหนุ่มต้องใช้ความกล้าหาญทั้งหมดในชีวิตที่จะไม่กลอกตาต่อหน้าเจ้านาย

 

ฮัวเฉาเหิงไพล่มือไว้ด้านหลังด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม “นี่คือคำสั่ง”

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอะไรและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบเสียงดังว่า “ครับท่าน!”

 

‘คำสั่งทหารถือว่าเป็นที่สุดแล้ว ฉันจะแย้งได้ยังไง? แต่นี่คือห้องของเหนียนจื่อ เราจะมาค้นตามใจกันได้หรือไง?’ ชายหนุ่มบ่นพึมพำในหัวของเขา

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อยังคงลังเลใจ ดังนั้นนายพลหนุ่มจึงกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ค้นให้ละเอียด”

 

'ได้' คนเป็นเลขาถอนหายใจ 'ฉันจะทำเอง' ในเมื่อต้องค้นห้องแต่ไม่สามารถทิ้งร่องรอยอะไรไว้ได้ เรื่องนี้คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำได้ เลขาส่วนตัวที่โชคร้ายและพิถีพิถันเป็นพิเศษ เจี้ยวเลี่ยงจื่อกระแอมไอก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นสูงแล้วเดินเข้าไปในห้องของกู้เหนียนจื่อ

 

ที่จริงแล้วของถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อย เขาเดินผ่านสิ่งของของเธออย่างระมัดระวังและแอบมองเข้าไปในประตูห้องน้ำ ซึ่งเป็นที่ที่หญิงสาวจะเก็บของใช้ส่วนตัวของเธอ แต่ไม่เห็นของที่เป็นของฮัวเฉาเหิง

 

“ชิ โรคจิตจริง ๆ ทำไมถึงคิดว่าเธอจะมีของที่เป็นของผู้ชายในห้องของเธอ” เจี้ยวเลี่ยงจื่อแอบบ่นเจ้านายของตัวเอง ขณะที่เขาออกจากห้องน้ำ เขาเห็นฮัวเฉาเหิงนั่งอยู่บนเตียงของเจ้าของห้อง เขาจึงยืนตัวตรงทันทีพร้อมกับรายงานเสียงดัง “ห้องนี้ไม่มีของของคุณครับ!”

 

“นายหาละเอียดแล้วเหรอ?” นายพลหนุ่มมองไปที่อีกฝ่าย “หาดูทุกที่แล้วหรือยัง ขาดอะไรไปหรือเปล่า”

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อเกาศีรษะและสาปแช่งตัวเองภายในใจ เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า? คนเป็นเจ้านายมักจะถามคำถามประเภทนี้ตอนที่เขากำลังจะเปิดเผยความผิดพลาดของผู้ใต้บังคับบัญชา เจี้ยวเลี่ยงจื่อจึงกดริมฝีปากเข้าหากันเงียบ ๆ

 

ฮัวเฉาเหิงจ้องเขาขณะที่เขาเอื้อมมือไปใต้หมอนของกู้เหนียนจื่อเพื่อดึงเสื้อยืดสีดำออกมาแล้วโบกมือให้อีกฝ่ายดู “แล้วนี่อะไร”

 

ดวงตาของคนถูกถามแทบจะถลนออกมาจากเบ้า!

 

อะไรเนี่ย! ทำไมมีเสื้อยืดผู้ชายอยู่ใต้หมอน!

 

ฮัวเฉาเหิงไม่รู้ว่าทำไมเสื้อของเขาถึงอยู่ที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้น ทำไมเขาถึงเปิดหมอนของเธอ

 

"เอามันออกไป" ชายหนุ่มเหวี่ยงเสื้อยืดสีดำขนาดใหญ่ไปที่เลขาของเขา 

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อตั้งใจจะขัดใจเจ้านายครั้งสุดท้ายและตั้งคำถามว่านายพลรู้ได้ยังไงว่าเสื้อนี้เป็นของเขา ไม่ใช่ว่าพลตรีฮัวเป็นคนเดียวในโลกที่สวมเสื้อแบบนี้! แต่เมื่อตรวจสอบป้ายบนเสื้อ เจี้ยวเลี่ยงจื่อก็ทำได้เพียงหุบปาก มันเป็นของเขาจริง ๆ นี่เป็นชุดลำลองที่กองทัพจัดให้ เมื่อพิจารณาถึงตำแหน่งของฮัวเฉาเหิง สิ่งของทั้งหมดของเขามีรหัสเฉพาะ

 

เลขาหนุ่มลูบจมูกของเขาและเริ่มกวาดตาผ่านตู้เสื้อผ้าของกู้เหนียนจื่ออีกครั้ง

 

คนเป็นเจ้านายเหิงลุกขึ้นเดินออกไปและไปที่ห้องหนังสือเพื่อเอาของไปใส่ในตู้นิรภัย

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อตรวจสอบห้องหลายครั้งเพื่อยืนยันว่าไม่มีสิ่งของของฮัวเฉาเหิงอีกแล้วก่อนที่เขาจะแอบโทรหากู้เหนียนจื่อ

 

“เหนียนจื่อ ทำไมเสื้อยืดของคุณฮัวถึงอยู่ใต้หมอนของเธอ”

 

ในเวลานี้กู้เหนียนจื่อกำลังรับประทานอาหารอยู่ในโรงอาหาร "ห้ะ? นั่นคือชุดนอนของฉัน! ฉันจะเอาไปทำอะไรได้อีก”

 

“เธอใช้เสื้อยืดของเขาเป็นชุดนอนเหรอ!” เจี้ยวเลี่ยงจื่อยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก “นี่จริงจังเหรอ? เขาไม่ได้ซื้อชุดนอนให้เธอหรือไง”

 

ใบหน้าของสาวน้อยแดงก่ำ “พี่จื่อ อย่าตกใจไป มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด”

 

“ฉันกำลังคิดอะไรอยู่” เจี้ยวเลี่ยงจื่อยัดเสื้อยืดลงในถุงพลาสติกด้วยความขุ่นเคือง “ฉันต้องถามต้าฉงสิว่าเขาดูแลเธอยังไง? คุณฮัวงานยุ่งอยู่แล้ว แต่ต้าฉงไม่ใช่!”

 

กู้เหนียนจื่อรีบปิดโทรศัพท์และหันไปทางหน้าต่างแล้วพูดอย่างเบา ๆ ” พี่จื่อ พี่เข้าใจผิดแล้ว ฉันชอบใส่เสื้อยืดผู้ชายนอน! เสื้อตัวนั้นเป็นผ้าฝ้าย 100% ระบายอากาศได้ดีและซับเหงื่อ นอกจากนี้เสื้อตัวนั้นใส่สบายจริง ๆ ฉันสวมเสื้อของอาเป็นชุดนอนตั้งแต่ฉันอายุ 12 ขวบ และฉันคิดว่าฉันคงชินกับมันแล้ว”

 

คำพูดของเธอเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง

 

ความจริงก็คือไม่มีใครเตรียมชุดนอนให้เธอตอนที่เธอเริ่มอาศัยอยู่กับฮัวเฉาเหิง เขาเป็นเพียงชายโสดที่สมบุกสมบันและไม่คุ้นเคยกับโลกของผู้หญิง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เขาจะโยนเสื้อยืดสีดำตัวใหม่จากหน่วยปฏิบัติการพิเศษให้เธอใช้เป็นชุดนอน ในตอนแรกเธอไม่คุ้นเคยกับมัน แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ชอบมัน

 

นอกจากอันใต้หมอนที่พวกเขาพบในอพาร์ตเมนต์ เธอยังซ่อนเสื้อยืดสีดำใหม่เอี่ยมอีกสามหรือสี่ตัวที่กองทัพได้แจกจ่ายมาไว้อีก ฮัวเฉาเหิงคงลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กู้เหนียนจื่อไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเขาในชุดนอน และฮัวเฉาเหิงไม่เคยไปที่ห้องของเธอ

 

เจี้ยวเลี่ยงจื่อถามเพื่อยืนยันด้วยความสงสัย “สบายขนาดนั้นเลยเหรอ? ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ”

 

หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “บางทีพี่น่าจะลองดู จะได้รู้” แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ทันใด “หือ? เดี๋ยวนะ พี่รู้ได้ยังไงว่าฉันมีชุดนอนอยู่ใต้หมอน!”

 

เลขาหนุ่มหัวเราะและปิดกระเป๋าเดินทางที่เขาจัดไว้ ก่อนจะพูดกับปลายสายว่า "ฉันมีเรื่องต้องจัดการ ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง"

 

พูดจบแล้วเขาก็วางสายไป 

 

ทุกวันเสาร์ เวลา 15:00
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป