Your Wishlist

ว่าไงคะ ท่านนายพล (บทที่ 41-42 : สัมผัสความเลือดเย็น, เราเป็นแค่พี่น้องกันจริง ๆ)

Author: Han Wuji (Akira แปล)

กู้เหนียนจื่อ หญิงสาวอายุ 17 ปีผู้สูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก มีเพียงภาพที่ตนเองติดอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้เท่านั้นที่ยังฉายชัดอยู่ในความฝันของเธอ โชคดีที่เธอได้ฮัวเฉาเหิง ทหารหนุ่มผู้มีตำแหน่งพลตรีช่วยชีวิตเอาไว้ ชายหนุ่มถูกกองทัพของจักรวรรดิร้องขอให้เป็นผู้ปกครองของกู้เหนียนจื่อที่มีอายุเพียง 12 ปี และปกปิดประวัติที่แท้จริงของทั้งคู่เอาไว้ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่เธอก็อยู่กับเขานับตั้งแต่นั้นมา เธอใช้ชีวิตด้วยความกลัวและไม่มั่นคงมาตลอด เธอจะรู้สึกปลอดภัยเฉพาะเวลาได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ปกครองหนุ่มเท่านั้น ระหว่างนั้นกองทัพของจักรวรรดิได้ทำการสืบค้นประวัติของหญิงสาว แต่ก็ไม่สามารถค้นหาได้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ตัวตนที่แท้จริงของกู้เหนียนจื่อคือใครกันแน่? เหตุใดเธอจึงถูกลอบทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต?

จำนวนตอน : 2263

บทที่ 41-42 : สัมผัสความเลือดเย็น, เราเป็นแค่พี่น้องกันจริง ๆ

  • 22/10/2564

บทที่ 41 : สัมผัสความเลือดเย็น

 

ร่างกายของเหวินเฉียวอี้เย็นลง  เธอรู้ตัวดีว่าเธอกำลังโดนเล่นงาน...

 

เธอเองก็เสียใจกับการกระทำของเธอที่ทำกับกู้เหนียนจื่อ เธอคิดว่าเธอจะรอดเมื่อเฮอจือชูไม่พูดถึงเรื่องนี้หลังจากฟังคลิปเสียง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อระบายความโกรธของเขา

 

เมื่อคิดย้อนกลับไป เธอพลาดเอง มันเป็นเรื่องปกติที่คนอย่างเฮอจือชูจะเก็บไพ่ตายไว้ในมือก่อน

 

ถ้าเขาต้องการลงโทษใครสักคน เขาจะทำมันอย่างไม่ทันให้คนถูกลงโทษรู้ตัว..

 

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนที่เขาอายุเพียง 26 ปี เขาได้เป็นหุ้นส่วนในสำนักงานกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ที่เขาประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่เพราะความสามารถพิเศษในฐานะทนายความ แต่มันเป็นเพราะเขาคิดนำหน้าคนอื่นไปหนึ่งก้าวเสมอ...

 

“ศาสตราจารย์เฮอ ยกโทษให้ฉันด้วยค่ะ ฉันผิดไปแล้วจริง ๆ” ผู้ช่วยสาวกล่าวขณะที่เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “แล้วคดีนี้ล่ะ? คุณจะรับไหม”

 

“ไม่ ฉันไม่รับ” ศาสตราจารย์หนุ่มกล่าวอย่างหมดความอดทนพลางลุกขึ้นจากที่นั่ง “หยุดเอาเรื่องไร้สาระมาบอกฉันด้วย ช่วงนี้เธอเลอะเทอะไปมากเลยนะ บางทีเธออาจทำงานหนักเกินไป ฉันควรให้เธอหยุดยาวดีไหม หรือเธออยากจะลาออกกลับบ้านไปหาครอบครัวของเธอก็ได้นะ ฉันสามารถหาผู้ช่วยคนอื่นมาแทนได้อยู่แล้ว”

 

ความสงบของเหวินเฉียวอี้หายไปเมื่อได้ยินสิ่งที่เฮอฉือชูพูด ตอนนี้จิตใจของเธอกำลังสั่นคลอน เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะกล้าไล่เธอออกจริง ๆ!

 

“ศาสตราจารย์เฮอ! ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย! ฉันทำงานซื่อสัตย์กับคุณมาหลายปีแล้ว!” ดวงตาของหญิงสาวเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา เธอดูเหมือนพร้อมที่จะคุกเข่าคร่ำครวญต่อหน้าอีกคนได้ทุกเมื่อ 

 

ท่าทางที่สงบและเฉยเมยของเธอหายไปจนหมด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกลัวจนร่างกายของเธอสั่นสะท้านและริมฝีปากที่เย้ายวนของเธอก็สั่นระริก

 

ชายหนุ่มมองเธออย่างเงียบ ๆ เขาเอื้อมมือออกไปปัดแก้มเธอ ขณะที่เขาเช็ดน้ำตาจากใบหน้าของอีกฝ่าย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและชัดเจนว่า “ดีมาก แต่จะไม่มีครั้งต่อไป” เขาเดินออกไปที่ประตูหลังจากที่พูดจบ

 

เหวินเฉียวอี้ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เธอนั่งนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโต๊ะทำงานเพราะขาเธอยังอ่อนแรง

 

เธอยกมือขึ้นและแตะใบหน้าของเธอที่เฮอจือชูได้เช็ดน้ำตาให้จนสะอาดแล้ว และบอกกับตัวเองว่าเธอไม่สามารถทำผิดพลาดได้อีก

 

เธอรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนเลือดเย็นและไร้ความปราณีแค่ไหน

 

 

ในเวลาเดียวกัน กู้เหนียนจื่อเดินออกจากอาคารบริหารของแผนกกฎหมายอย่างมีความสุข และวิ่งไปหาเหม่ยเสี่ยวเหวินที่กำลังรอเธออยู่ที่จุดจอดรถใกล้ ๆ พอมาถึงตรงหน้าชายหนุ่ม เธอแสดงอีเมลการลงทะเบียนทางโทรศัพท์ของเธอให้เขาดูและพูดว่า “ศาสตราจารย์เขายอมรับฉันเป็นลูกศิษย์ของเขาแล้ว!”

 

“เขายอมรับเธอแล้วใช่ไหม” หัวหน้าหนุ่มยิ้มกว้าง เขาเปิดดูอีเมลในโทรศัพท์ของเธอ “โอ้ มันเป็นจดหมายตอบรับเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย B จริง ๆ ยินดีด้วยเหนียนจื่อ!”

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินจับมือหญิงสาว จากนั้นก็เอาแขนพาดไหล่ของเธอ ท่าทางนั้นทำให้เหมือนเขาแทบจะกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนในขณะที่เขาดึงเธอเข้าไปในรถ

 

กู้เหนียนจื่อรู้สึกอึดอัดที่เขาทำแบบนี้ แต่โชคดีที่เขาปล่อยเธอทันทีที่พวกเขาอยู่ในรถ แต่เมื่อเขาโน้มตัวมาทางเธอเพื่อคาดเข็มขัดนิรภัยให้ เธอก็รีบดันมือของเขาออกแล้วพูดว่า “ฉันทำเองได้”

 

พอเห็นท่าทางของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงหันกลับไปสตาร์ทรถและเริ่มขับรถไปที่ตึกหอพักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับพูดว่า “ฉันจองร้านอาหารที่โรงแรมดี ๆ ไว้แล้ว เราจะฉลองให้เธอคืนนี้!”

 

กู้เหนียนจื่อยิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณมากเลย หัวหน้าห้อง!”

 

ระหว่างที่เธอพูดขอบคุณ โทรศัพท์ของเธอก็เริ่มดังขึ้น ซึ่งปลายสายคือหยินชือฉง

 

หยินชือฉงหัวเราะเสียงดังในขณะที่เขาแสดงความยินดีกับหญิงสาวผ่านทางโทรศัพท์ “…รอจนกว่านายพลฮัวรู้เรื่องนี้ ฉันพนันได้เลยว่าเขาคงแทบจะดีใจจนตัวลอย ฉันส่งข้อความไปหาเขาแล้ว”

 

“ขอบคุณนะ พี่ฉง” กู้เหนียนจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง

 

หลังจากคุยโทรศัพท์กับเลขาหนุ่ม ข้อความจากเฉินหลายก็ถูกส่งมา ‘ยินดีด้วยเหนียนจื่อ! ถ้าวันไหนเธอกลับมา ฉันจะเลี้ยงอาหารค่ำดี ๆ ให้เธอเอง!’

 

‘ฉันรู้อยู่แล้วว่าพี่เฉินเป็นคนรักษาคำพูด’ เธอส่งข้อความตอบกลับ

 

ข้อความของหมอหนุ่มตอบกลับเกือบจะในทันที ‘แน่นอน พี่เฉินของเธอเคยโกหกเธอหรือไง? สุดสัปดาห์นี้เธอจะกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ของเธอไหม’

 

หญิงสาวส่ง ‘?’ เป็นการตอบกลับ

 

ในขณะนี้ฮัวเฉาเหิงไม่ได้อยู่ในเมือง C กู้เหนียนจื่อจึงไม่อยากกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ถ้าเขาไม่อยู่

 

เฉินหลายส่งข้อความอีกข้อความว่า ‘เธอยังต้องมาตรวจร่างกายทุกสัปดาห์ อย่างน้อยก็เดือนละครั้ง’

 

‘ตกลง ฉันจะกลับไปสุดสัปดาห์นี้’ กู้เหนียนจื่อคิดว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดระแวงกับสุขภาพของเธอ 

 

ตอนนี้เธอรู้สึกว่าร่างกายปกติมาก และเธอก็ไม่ได้ ‘รู้สึกอะไร’ กับผู้ชายเหมือนกัน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินหลายถึงหมกมุ่นอยู่กับการตรวจร่างกายของเธอกัน

 

เธอทำหน้าบึ้งเล็กน้อย ก่อนจะวางโทรศัพท์แล้วเริ่มคุยกับเหม่ยเสี่ยวเหวิน “หัวหน้าห้อง แล้วนายล่ะ? นายไม่มีแผนที่จะไปเรียนต่อระดับปริญญาโทเหรอ?”

 

ชายหนุ่มส่ายหัวขณะที่ส่งโยเกิร์ตกรีกที่เขาซื้อมาให้กู้เหนียนจื่อ พร้อมกล่าวว่า “ครอบครัวของฉันอยากให้ฉันช่วยทำธุรกิจของครอบครัว ฉันผ่านการสอบเนติบัณฑิตแล้ว ฉันจะได้รับใบอนุญาตทนายความหลังจากฝึกงานเป็นเวลา 1 ปี”

 

ธุรกิจของครอบครัวเหม่ยตั้งอยู่ในเมือง C ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องอยู่ในเมือง C ต่อไปหลังจากสำเร็จการศึกษา

 

และกู้เหนียนจื่อจะเข้าเรียนระดับบัณฑิตศึกษาที่เมืองหลวงของประเทศในฤดูใบไม้ผลิหน้า

 

พวกเขากำลังจะแยกจากกันงั้นเหรอ?

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินดูเหมือนจะรู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ครอบครัวของฉันกำลังจะขยายธุรกิจของครอบครัวไปในเมืองหลวง เมื่อถึงเวลาที่เธอจะไปที่นั่น ฉันจะขอให้ครอบครัวส่งฉันไปที่นั่นด้วย เพื่อเป็นการให้ฉันไปปูทางให้กับธุรกิจของเราล่วงหน้า”

 

ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถไปอยู่เมืองเดียวกับคนรักของเขาได้

 

เขาคิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลย...

 

ในขณะนี้ใบหน้าของกู้เหนียนจื่อนั้นแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศ เธอหันไปมองนอกหน้าต่างเพื่อซ่อนความเขินอาย แต่ริมฝีปากของเธอเชิดขึ้นแล้ว

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินเพิ่งขับรถมาถึงหน้าหอพักของกู้เหนียนจื่อ พอดีกับมีข้อความเข้ามาในโทรศัพท์ของเขา

 

[เว่ยหนาน]: ‘หัวหน้าห้อง ตอนนี้ฉันเจอเรื่องไม่ค่อยดี… *ร้องไห้สะอึกสะอื้น* … หัวหน้าห้อง ช่วยกอดปลอบฉันหน่อย…’

 

ชายหนุ่มเหลือบมองข้อความ จากนั้นจึงปลดล็อกโทรศัพท์อย่างรวดเร็วและกดหมายเลขโทรศัพท์ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายปนขบขัน “เว่ยหนาน เจ้าทอมน้อย ส่งข้อความอะไรมาเนี่ย? ไหนบอกฉันซิว่าเรื่องเป็นยังไง?”

 

“ในตอนนี้ครอบครัวของฉันมีปัญหานิดหน่อย หัวหน้าห้อง ฉันขอยืมเงินหน่อยได้ไหม ฉันจะคืนเงินให้นายทันทีที่บริษัทของพ่อฉันกลับมาปกติ!”

 

"ไม่มีปัญหา เธอต้องการเท่าไหร่”

 

“…ฉันต้องการเงิน 150,000 หยวนเพื่อจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารของเรา หลังจากนั้นเราจะรีบฟื้นฟูบริษัทให้กลับมาเหมือนเดิม”

 

“150,000 หยวน? ตกลง ส่งหมายเลขบัญชีธนาคารของเธอมา แล้วฉันจะโอนให้” เหม่ยเสี่ยวเหวินตกลงอย่างง่ายดายขณะที่ตรวจสอบยอดเงินในบัญชีธนาคารด้วยโทรศัพท์ของเขา

 

คนอยู่อีกฝั่งส่งเลขบัญชีธนาคารมาให้เขา ไม่นานชายหนุ่มก็โอนเงิน 150,000 หยวนเข้าบัญชีนั้นทันทีด้วยการปัดนิ้วเพียงครั้งเดียว

 

“หัวหน้าห้อง ขอบคุณมากจริง ๆ!” เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทางโทรศัพท์

 

หัวหน้าหนุ่มวางสายและหันมาเห็นกู้เหนียนจื่อกำลังทำหน้างง เขาจึงอธิบายโดยไม่รอให้เธอถามว่า “เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉันตั้งแต่มัธยมน่ะ ตอนนี้ครอบครัวของเธอมีปัญหานิดหน่อย เธอก็เลยมาขอยืมเงินฉัน”

 

หญิงสาวเปิดประตูลงรถ เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เหม่ยเสี่ยวเหวินให้คนอื่นยืมเงินจำนวนมากแบบนี้ “…นายแน่ใจเหรอว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนร่วมชั้นของนาย? อาจจะเป็นพวกมิจฉาชีพก็ได้”

 

เธอเคยอ่านข่าวเกี่ยวกับการหลอกลวงที่คล้าย ๆ แบบบนอินเทอร์เน็ต

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินยิ้มขณะที่เขาเอื้อมมือออกไปขยี้ผมของเธอเบา ๆ “เหนียนจื่อ เธอเป็นห่วงฉันเหรอ”

 

กู้เหนียนจื่อกลอกตาและพูดว่า “ฉันแค่กังวลเกี่ยวกับอาหารค่ำ เราเปลี่ยนร้านอาหารค่ำของเราก็ได้ ถ้านายเสียเงินทั้งหมดให้กับนักต้มตุ๋น”

 

หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เธอพูดต่อว่า “…จะเป็นอะไรไหมถ้าฉันจะจ่ายค่าอาหารค่ำคืนนี้เอง ฉันกำลังคิดที่จะเลี้ยงอาหารค่ำพี่ ๆ ที่รักของฉันอยู่แล้ว” 

 

บทที่ 42 : เราเป็นแค่พี่น้องกันจริง ๆ

 

“อย่าเข้าใจผิด เงินแค่ 150,000 หยวนเอง การให้คนอื่นยืมเงินแค่นั้นไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งฉันร่วงหรอก” เหม่ยเสี่ยวเหวินยิ้ม เขาอดไม่ได้ที่จะดึงกู้เหนียนจื่อเข้ามาในอ้อมแขนของเขาแล้วอธิบายอย่างอดทน “ไม่ต้องห่วง ฉันรู้จักอ้ายเว่ยหนานตั้งแต่เรียนโรงเรียนมัธยม เราสนิทกันมากและครอบครัวของเราก็รู้จักกันด้วย”

 

“ใครเป็นห่วงนาย” หญิงสาวรู้ตัวว่ากำลังโดนฉวยโอกาส ตอนนี้เธอจึงขัดขืนเขา เธอเอียงศีรษะทำให้ต่างหูดอกไม้สีขาวทองที่ติ่งหูของเธอหักเหกับแสงแดดเป็นรุ้งเล็ก ๆ ทำให้ชายหนุ่มตาบอดชั่วครู่ เขายกแขนขึ้นเพื่อบังแสงและเธอก็ใช้โอกาสนี้ดันเขาออกไป ก่อนจะเดินกลับหอพักของเธออย่างรวดเร็ว

 

หัวหน้าหนุ่มยิ้มขณะที่มองดูอีกคนเดินหนีไปแล้วขับรถออกไปเมื่อเห็นเธอเข้าไปในอาคารแล้ว ระหว่างทางกลับเขาได้รับโทรศัพท์จากอ้ายเว่ยหนานอีกครั้ง

 

“หัวหน้าห้อง พี่ชายที่รักของฉัน! ฉันเป็นหนี้บุญคุณนาย ฉันดีใจมากที่มีนายเป็นเพื่อน" เสียงของปลายสายสั่นเครือ

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินยิ้มพลางตอบว่า “เราเป็นพี่น้องกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนั้น”

 

“นี่ไม่ใช่การเกรงใจ นี่คือการขอบคุณ” อ้ายเว่ยหนานรู้สึกมีความสุขมากจริง ๆ “หัวหน้า นายทำอะไรอยู่? เพิ่งสอบปลายภาคเสร็จเหรอ?”

 

“เปล่า ฉันใกล้จะเรียนจบแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับบ้าน” ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวออกจากมหาวิทยาลัยและขับรถกลับไปที่บ้านของเขา

 

หญิงสาวที่อยู่ปลายสายคุยกับเขาสักพัก ระหว่างทางเขาบอกว่าคืนนี้เขาจะไปเลี้ยงฉลองเพื่อนที่ร้านอาหารเรดแมเนอร์ และเธอก็ขึ้นพูดมาอย่างอารมณ์ดีว่า “หัวหน้า! ฉันไม่ได้กินอาหารที่นั่นสองสามปีแล้ว ไว้มีโอกาสเรานัดกันไปกินดีกว่า!”

 

“ฮ่าๆๆ เอาสิ" เหม่ยเสี่ยวเหวินเลี้ยวเข้าไปในทางลาดของถนนเส้นหลัก “ฉันกำลังขับรถอยู่ ค่อยคุยกันอีกทีนะ ไว้เจอกัน”

 

“อืม บ๊ายบาย หัวหน้าห้อง!” อีกด้านหนึ่งของสาย อ้ายเว่ยหนานวางสายและมองไปยังเงิน 150,000 หยวนในบัญชีธนาคารของเธอและรู้สึกอิจฉาปนกับดีใจในทันที

 

รูมเมทของหญิงสาวจิ้มไหล่ของเธอและถามด้วยความสงสัย “อะไร? ทำไมเธอถึงนั่งยิ้มเหมือนคนบ้าแบบนั้น เมื่อวานเธอยังบ่นเรื่องเงินแสนอยู่เลย ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอไม่เป็นไรแล้ว”

 

“แน่นอน ฉันโอเคแล้ว ฉันยืมเงินมาได้” อ้ายเว่ยหนานยกโทรศัพท์ของเธอให้อีกฝ่ายดู “จำหัวหน้าห้องที่ฉันเล่าให้เธอฟังได้ไหม”

 

“จำได้ ๆ คนที่สุภาพ หล่อและรวยคนนั้นใช่ไหม ทำไมถึงถามถึงเขาล่ะ?"

 

“เขาให้ฉันยืมเงินมา ฉันแค่ถามเขา เขาก็โอนให้ฉันทันที”

 

รูมเมทตะโกนด้วยความเหลือเชื่อ “จริงเหรอ! เขาให้เธอยืมเงินเป็นแสนโดยไม่มีหลักประกันเลยเหรอ ! "

 

“ก็อย่างที่บอก หลักประกันอะไร? เธอคิดว่าฉันมีความสัมพันธ์แบบไหนกับเขา? เราเป็นเพื่อนสนิทกัน!” อ้ายเว่ยหนานหัวเราะเสียงดัง

 

“คงไม่มีพี่น้องแท้ ๆ หรือเพื่อนสนิทหรืออะไรก็ตามจะไม่โอนเงินให้เธอมากมายขนาดนี้โดยไม่สงสัยอะไรเลยหรอก” ดวงตาของเพื่อนร่วมห้องเบิกกว้างขึ้นทันใด และเธอก็จับไหล่ของอีกคน “เว้นแต่… เขาจะสนใจเธอ!”

 

“เป็นไปไม่ได้!” อ้ายเว่ยหนานตะโกนขึ้นมา แล้วใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ “เรา… เราเป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ!”

 

รูมเมทสาวปล่อยมือลงขณะที่เธอมองดูอีกฝ่ายอย่างสงสัย ในขณะเดียวกัน อ้ายเว่ยหนานก้มศีรษะลงมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเธอ ดวงตาของเธอเป็นมันเงาและผิวดูเปล่งปลั่ง เธอดูสวยกว่าปกติจนอดไม่ได้ที่จะลูบไล้ใบหน้าของตัวเองและพึมพำว่า “จริงเหรอ?”

 

เป็นไปได้ไหมที่หัวหน้าห้องจะชอบเธอ?

 

"แน่นอน เว่ยหนาน ในฐานะคนที่มีประสบการณ์ ฉันบอกเธอได้เลยว่ามีผู้ชายไม่มากในโลกที่จะโอนเงินให้เธอมากขนาดนี้โดยไม่ถามอะไร เธอต้องจับเขาไว้ให้มั่น เธอโชคดีมาก!” เพื่อนร่วมห้องยกนิ้วโป้งให้เธอ

 

หญิงสาวรู้สึกว่าริมฝีปากของเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดมากไปเอง” เธอวางโทรศัพท์และเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าชาแนลของเธอ “จริงสิ ตอนนี้ฉันยืมเงินมาแล้ว ฉันต้องเดินทางกลับบ้าน”

 

“บ้านเธออยู่ในเมือง C ไม่ใช่เหรอ”

 

พวกเธอกำลังเรียนมหาวิทยาลัยในเมือง Z และการขับรถจากที่นี่ไปยังเมือง C ต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมง แต่หากใช้รถไฟความเร็วสูง เวลาในการเดินทางจะลดลงเหลือเพียงครึ่งชั่วโมง

 

“ใช่ ฉันจะนั่งรถไฟกลับบ้านและกลับมาในวันพรุ่งนี้ เธอช่วยเช็คชื่อฉันและจดเลคเชอร์ให้หน่อยสิ ฉันน่าจะมาถึงตอนบ่าย”

 

"ไม่มีปัญหา"

 

 

เย็นวันนั้น เหม่ยเสี่ยวเหวินมารับกู้เหนียนจื่อและรูมเมทของเธอด้วยรถเอสยูวีไครสเลอร์ และขับรถไปที่ร้านอาหารเรดแมเนอร์ กู้เหนียนจื่อนั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า ขณะที่ฟ่างเหวินซิน เฉาหยุนซานและหวังจุนหยานั่งด้านหลัง นอกจากนี้เหม่ยเสี่ยวเหวินได้พาเล่ยเฉียงเชิง รูมเมทของเขามาด้วย แต่ทุกคนเรียกเขาว่า ‘พี่เบิ้ม’ เพราะเขาทั้งสูงและแข็งแรงมาก เหม่ยเสี่ยวเหวินจอดรถและพาพวกเขาไปที่ร้านอาหาร

 

พอเดินมาถึงข้างใน พนักงานต้อนรับพาพวกเขาไปยังห้องส่วนตัวที่หัวหน้าห้องจองไว้ ห้องนั้นเป็นห้องสไตล์ยุโรปคลาสสิกที่มีโคมไฟระย้าระยิบระยับ ร้อยเป็นเส้นเดียวจากเพดานกระจก แล้วมีภาพเขียนสีน้ำมันของหญิงสาวเปลือยในสวนบนกำแพงด้านหนึ่งและภาพสีน้ำมันชุดดอกบัวในน้ำของโมเนต์ [1] ส่วนอื่น ๆ ได้เพิ่มองค์ประกอบที่ประณีตให้กับพื้นที่แล้วตกแต่งด้วยโซฟากำมะหยี่สีแชมเปญหลายตัวอยู่ใกล้ผนัง โต๊ะเล็ก ๆ ด้านข้างสองสามโต๊ะเต็มไปด้วยที่เขี่ยบุหรี่ กระดาษทิชชู่ และไม้อวบน้ำเล็ก ๆ วางอยู่บนช่องว่างระหว่างโต๊ะทั้งสอง

 

“ฉันสั่งอาหารอิตาลีสำหรับ 6 คนไปแล้ว” เห็นได้ชัดว่าเหม่ยเสี่ยวเหวินแวะเวียนมาที่นี่บ่อย ๆ จนคุ้นเคยกับอาหารและสถานที่มาก

 

ทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารทรงกลม และพี่เบิ้มเริ่มยกยอยัยหนูชาเขียวฟ่าง “ยัยหนูชาเขียว วันนี้ชุดเธอสวยมาก เธอได้ชุดแบบนี้มาจากไหน”

 

หญิงสาวถือบุหรี่อันหรูหราไว้ระหว่างนิ้วที่เพรียวบางของเธอ ขณะที่เธอเป่าควันออกมาด้วยท่าทางสง่าและมองอีกฝ่ายเพียงเสี้ยววินาที “พี่เบิ้ม ฉันจะบอกแบรนด์ให้นายรู้ ถ้านายเช็ดน้ำลายออกจากปาก”

 

“ฉันน้ำลายไหลเหรอ” คนถูกทักรีบเช็ดปากของเขาด้วยผ้าเช็ดปากและรู้ตัวว่ายัยหนูชาเขียวฟ่างแค่พูดล้อเลียนเขา จากนั้นก็เขาไม่ได้สนใจมันและหัวเราะออกมา แล้วกล่าวชมเธอต่อไปเพราะความงดงามของฟ่างเหวินซินทำให้เธอเป็นเหมือนเทพธิดาสำหรับนักศึกษาชายส่วนใหญ่ในคณะนิติศาสตร์ เหม่ยเสี่ยวเหวินเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่สามารถต้านทานเสน่ห์ของเธอได้ เพราะเขาสนใจแค่กู้เหนียนจื่อเท่านั้น

 

เขานั่งข้างเธอและจัดช้อนส้อมให้เธออย่างอดทนพลางกระซิบบอกเธอเบา ๆ ถึงวิธีที่จะใช้มันและรินชานมให้เธอหนึ่งแก้ว ที่จริงกู้เหนียนจื่ออยากดื่มกาแฟดำแต่ก็ไม่ได้พูดขัดออกมา

 

“ขอบคุณนะหัวหน้า” ตอนนี้กู้เหนียนจื่อนั่งข้างเหม่ยเสี่ยวเหวิน โดยมีนางมารน้อยนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง นางมารน้อยวางคางของเธอไว้บนมือแล้วเอนตัวลงบนโต๊ะ เธอถามเหม่ยเสี่ยวเหวินอย่างแผ่วเบาว่า “หัวหน้าห้อง เมื่อไหร่เขาจะเสิร์ฟอาหาร? ฉันอดอาหารตั้งแต่เช้ามาเพื่อทานอาหารค่ำนี้เลยนะ”

 

“สาวน้อย ฉันมีคุกกี้ เอาไปกินรองท้องก่อนไหม” เล่ยเฉียงเชิงที่มีร่างกายกำยำมีมุมที่อ่อนโยนและชอบทานของขบเคี้ยว แน่นอนว่านี่เป็นอีกเทคนิคหนึ่งในการจีบสาวของเขา

 

ชื่อเล่นของหวังจุนหยาคือนางมารน้อย และเธอจะไม่หลงกลอุบายที่ใช้กับเด็กน้อยง่าย ๆ เธอแก้เกมโดยการยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้อีกฝ่ายจนเขาละลาย

 

“ฉันไม่ต้องการคุกกี้ ฉันอยากกินหัวหอมทอดกับปลาหมึกทอดมากกว่า”

 

"น้องครับ! เธอจะเอาหัวหอมทอดกับปลาหมึกทอดใช่ไหม” ชายหนุ่มร่างบึกบึนโบกมือให้พนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่ในห้องส่วนตัวฝั่งตรงข้ามและตะโกนว่า “ผมขอหัวหอมทอดกับปลาหมึกทอด! เอาจานใหญ่เลย!"

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินยิ้มออกมาในขณะที่เขาส่ายหัวแล้วหันไปหากู้เหนียนจื่อ “เธอเอาด้วยไหม? ทั้งสองเมนูรสชาติค่อนข้างดีเลยล่ะ”

 

"ฉันเหรอ? ฉันสั่งฟิชแอนด์ชิปส์ได้ไหม” หญิงสาวเอียงศีรษะถาม

 

สตรีทฟู้ดยอดนิยมของอังกฤษคือเมนูโปรดของเธอ มันถูกทอดในเนยที่มีกลิ่นหอมและเข้ากันได้ดีกับซอสทาร์ทาร์ นี่เป็นอาหารที่เรียบง่าย แต่กู้เหนียนจื่อค่อนข้างชอบมันตรงที่ความพิถีพิถันในการเสิร์ฟของอาหารจานนี้

 

[1] ‘โคลด์ โมเนต์’ (Claude Monet) (1840–1926) จิตกรชาวฝรั่งเศสคนสำคัญของวงการศิลปะในศตวรรษที่ 19 – 20 อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://rakdok.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%AA/

 

ทุกวันเสาร์ เวลา 15:00
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป