บทที่ 39 : การสัมภาษณ์ (2)
คำถามของเฮอจือชูทำให้กู้เหนียนจื่อรู้สึกเหงื่อแตก เธอคิดในใจว่า 'เขาเป็นหนึ่งในทนายความที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง เขารู้ดีว่าควรจะถามคำถามอะไร…'
เพื่อนร่วมชั้นของเธอรู้สึกว่าเธอเป็นเพียงนักศึกษาโอนย้ายอีกคนที่มหาวิทยาลัย C แต่นั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ไม่ใช่จริง ๆ เธอได้ผ่านการทดสอบพิเศษที่บริหารโดยกองทัพจักรวรรดิ ดังนั้นจึงได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ในประเทศโดยตรง
การเลือกมหาวิทยาลัย C ของเธอเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ
ตอนที่เธอตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกมหาวิทยาลัย เธอได้ยินฮัวเฉาเหิงพูดกับหยินชือฉงและเจี้ยวเลี่ยงจื่อ เลขานุการส่วนตัวสองคนของเขาทางโทรศัพท์ว่าจะตั้งฐานทัพหน่วยปฏิบัติการพิเศษในเมือง C แต่จักรวรรดิยังไม่มีเงินทุน
หากกู้เหนียนจื่อเลือกที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัย B ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวง เธอจะต้องแยกทางกับฮัวเฉาเหิงและเธอจะถูกฝากให้อยู่ในความดูแลของหยินชือฉงแทน…
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเลือกเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัย C อย่างไม่ลังเล
ตอนนี้เธอจบการศึกษาแล้ว เธอได้ยินมาว่าฝ่ายของฮัวเฉาเหิงกำลังจะจัดตั้งสำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงของประเทศ ข้อมูลนี้ทำให้เธอมีความมั่นใจในการสมัครเข้าเรียนหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิตที่มหาวิทยาลัย B
ลึกลงไป เธอยังคงเป็นเด็กสาวคนเดิมที่ติดอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้ เธอยังคงหวาดกลัวกับความทรงจำของตัวเอง เธอไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วก็ไม่วางใจใครนอกจากฮัวเฉาเหิง
นับตั้งแต่อุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เธอใช้ชีวิตด้วยความกลัวและความไม่มั่นคงมาตลอด
เธอสบายใจแค่เวลาได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ปกครองหนุ่ม เธอต้องการอยู่กับเขาเพื่อให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย
แต่เรื่องนี้คงบอกเฮอจือชูไม่ได้ อันที่จริงเธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับฮัวเฉาเหิงด้วยซ้ำ มันถือได้ว่าเป็นความลับสุดยอดที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเธอ นอกจากนี้ เธอยังต้องเก็บตัวตนที่แท้จริงของฮัวเฉาเหิงเป็นความลับ
หญิงสาวก้มศีรษะลงและนั่งตัวตรง เธอพูดโดยเลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง “มหาวิทยาลัย C อยู่ใกล้บ้านค่ะ ตอนนั้นหนูยังเด็กมาก หนูไม่อยากอยู่ห่างจากบ้านไปไกลนัก”
"โอ้ แล้วเธอมาจากที่ไหน กู้เหนียนจื่อ เธอโตที่ไหน?" ศาสตราจารย์หนุ่มปิดแฟ้มเอกสารและเอนหลังพิงเก้าอี้นั่งสบาย ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ในขณะที่ดวงตารูปอัลมอนด์ที่เฉียบคมของเขากำลังจับจ้องเธออย่างเย็นชา
ตอนนี้กู้เหนียนจื่อจำอะไรตั้งแต่ก่อนที่เธออายุ 12 ปีไม่ได้เลย
ความทรงจำของเธอหายไป และรถของเธอก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีใครเห็นหมายเลขบนป้ายทะเบียนรถ
สิ่งเดียวที่เธอมีติดตัวคือกระเป๋าเป้ใบเล็ก ข้างในนั้นมีรูปถ่ายและชุดของแผนภูมิข้อมูลบางอย่าง
ส่วนของรูปภาพนั้น เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในภาพคือกู้เหนียนจื่อ ด้านหลังภาพเขียนว่า “สำหรับวันเกิดปีที่ 11 ของกู้เหนียนจื่อ” วันที่ด้านล่างคือเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า
มันน่าจะง่ายพอที่จะตามหาพ่อแม่หรือญาติของเธอได้ แต่แม้แต่กองทัพจักรวรรดิที่มีการเข้าถึงข้อมูลและคอนเนคชั่นที่กว้างขวางก็ยังไม่สามารถค้นหาได้ว่าเธอมาจากไหน ซึ่งเรื่องนี้มันแปลกมาก
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของกองทัพจักรวรรดิที่จะขอให้ฮัวเฉาเหิงเป็นผู้ปกครองของเธอ
นี่เป็นธรรมเนียมของพวกเขาที่จะควบคุมเรื่องที่ไม่แน่นอนไว้อย่างแน่นหนา
ด้วยเหตุนี้ประวัติของกู้เหนียนจื่อจึงต้องถูกเก็บเป็นความลับ เมื่อเธอเข้ามหาวิทยาลัย C กองทัพได้ปลอมประวัติส่วนตัวของเธอแล้ว ซึ่งตอนนี้มันอยู่ในประวัติย่อของเธอ
หญิงสาวย้ำเนื้อหาของเรซูเม่ของเธออย่างใจเย็น และตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ใช้คำต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ฟังดูน่าสงสัย
'ประสบการณ์' เหล่านี้ทหารได้เตรียมพยานและหลักฐานทางกายภาพที่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ใกล้เคียงที่สุดไว้แล้ว
กองกำลังปฏิบัติการพิเศษของกองทัพจักรวรรดิได้สร้างตัวตนต่าง ๆ มากมายในแต่ละวัน การปลอมแปลงประวัติของเธอคงไม่ได้ยากมากนัก
เฮอจือชูพยักหน้าเล็กน้อย “…พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตตอนที่เธออายุ 3 ขวบ แล้วญาติห่าง ๆ ของเธอดูแลเธอตั้งแต่นั้นมา?”
“ใช่ค่ะ พวกเขาดีกับหนูมาก” กู้เหนียนจื่อพูดคุยถึงหัวข้อนี้อย่างกระตือรือร้น แล้วเธอก็จงใจเปลี่ยนเรื่องโดยถามด้วยความสนใจว่า “ศาสตราจารย์เฮอ คุณมีอนาคตที่สดใสในสหรัฐอเมริกา ทำไมคุณถึงเลือกมาเป็นศาสตราจารย์ที่นี่แทนล่ะคะ?”
ฝ่ายที่ถูกถามเงยหน้าขึ้น การแสดงออกของเขายิ่งเยือกเย็นมากขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะมองจุดประสงค์งคนตรงหน้าออก แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา นิ้วเรียวของเขาแตะบนโต๊ะขณะที่เตือนเธอว่า “ฉันเป็นคนถามคำถามอยู่ คำถามของเธอจะต้องรอไปก่อน”
หญิงสาวกล่าวว่า “…ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณถามคำถามต่อไปได้เลยค่ะ”
เฮอจือชูถามคำถามที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษหลายข้อกับเธอ
คราวนี้ เขาพูดเป็นภาษาอังกฤษสลับกับศัพท์ภาษาละตินที่ใช้กันทั่วไปในกฎหมายของอเมริกา
กู้เหนียนจื่อตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยในสำเนียงอังกฤษที่ฟังดูเหมือนเจ้าของภาษามาก ราวกับว่าเธอเติบโตขึ้นมาในเกาะอังกฤษ
ศาสตราจารย์หนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้ ดวงตาที่เรียวยาวและสดใสของเขาดูเหมือนจะโค้งขึ้นระหว่างที่เขาพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าเธอจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขนาดนี้ เธอเคยคิดที่จะศึกษาต่อในต่างประเทศหรือจะอยู่ที่นี่ต่อไป”
คนที่ถูกยิงคำถามกอดอกและจับคางตัวเองด้วยมือข้างหนึ่งพลางคิดถึงเรื่องนี้ เธอตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “อืมมม... หนูไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยค่ะ”
ชะตากรรมในอนาคตของเธอจะตัดสินใจได้หลังจากคุยกับฮัวเฉาเหิง
เธออยากเรียนต่อต่างประเทศ เพราะอยากออกไปดูโลกภายนอก แต่ถ้าเธอไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง เธอคงรู้สึกกลัว…
แต่เธอก็รู้ว่าเธอไม่สามารถพึ่งพาฮัวเฉาเหิงได้ตลอดชีวิต
หญิงสาวพยายามปลดปล่อยตัวเองจากเงามืดในอดีตของเธอ เธอพยายามเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเธอเองให้มากที่สุด
แต่เธอไม่รีบร้อน เธอจะรอจนกระทั่งเธออายุ 20 ก่อนจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้
หลังจากนั้นเฮอจือชูไม่ได้ถามอะไรอีก เขาปิดแฟ้มและพูดกับกู้เหนียนจื่อว่า “ไม่ว่าในกรณีใด เธอมาสายสองครั้ง เธอพลาดกำหนดเวลาสำหรับการลงทะเบียนฤดูใบไม้ร่วงไปแล้วด้วย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หัวใจของสาวน้อยกระตุก เธอพยายามอย่างหนักมาเป็นเวลานาน แล้วที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร?
“แต่ฉันยังเปิดรับสมัครภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิด้วย เธอยินดีที่จะเริ่มเรียนฤดูใบไม้ผลิหน้าแทนหรือเปล่า” ชายหนุ่มกำลังตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนตกนรกด้วยประโยคแรก จากนั้นก็ดึงเธอขึ้นไปบนสวรรค์ด้วยประโยคถัดไป
“ภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิ? ถ้าคุณตกลงหนูก็เต็มใจค่ะ! หนูจะเข้ารับการศึกษาอย่างเป็นทางการในฤดูใบไม้ผลิหน้าใช่ไหมคะ?"
"แน่นอน" ศาสตราจารย์หนุ่มยื่นมือไปทางเธอ "ยินดีต้อนรับสู่คณะของเรา เธอจะเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาคนเดียวของเฮอจือชู”
กู้เหนียนจื่อไม่คิดว่าเขาจะพาเธอไปที่จุดนั้น เธอรีบยื่นมือไปจับมืออีกฝ่ายแล้วเขย่าเบา ๆ ด้วยความปีติยินดี จากนั้นก็ปล่อยมือเกือบจะในทันที
ฝ่ามือของเฮอจือชู่นั้นเย็นแต่น่าสัมผัส
แต่นี่ก็สมกับคนที่มีอีโก้สูงและไม่แยแสใครเหมือนเขาเท่านั้น คงจะแปลกที่คนอย่างเขาจะมีมือที่อบอุ่น
“ศาสตราจารย์เฮอคะ คุณหมายความอย่างนั้นจริงเหรอ? หนูจะเป็นนักเรียนคนเดียวของคุณเหรอคะ!” ดวงตาคู่โตของกู้เหนียนจื่อโค้งลงจนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เธอมีความสุขมากจนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วน้ำตาก็แทบจะไหลออกจากตาของเธอแล้ว “ผู้ช่วยของคุณมาหาหนูเมื่อวานนี้และพยายามจะคุยกับหนูเรื่องการสัมภาษณ์ เธอบอกว่าหนูจะทำลายอนาคตของตัวเองถ้าหนูเป็นนักเรียนของคุณ หนูเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวน้อยที่ขี้อาย ไม่มีใครสนับสนุนหนู หนูตกใจมากกับคำพูดของเธอจนทำให้หนูนอนไม่หลับทั้งคืน!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เฮอจือชูก็ชะงักไป เขามองไปที่กู้เหนียนจื่อ ตรึงเธอด้วยดวงตาสีเข้มของเขา “เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ? ผู้ช่วยของฉันไปหาเธอเมื่อวานนี้และแนะนำให้เธอล้มเลิกการสัมภาษณ์เหรอ?”
"เอ่อ...หนูไม่ควรพูดแบบนั้น ขอโทษค่ะ… ขอโทษ… หนูขอโทษ…” หญิงสาวโค้งคำนับขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยใบหน้าที่กระวนกระวายใจ แต่เธอแค่แสดงเท่านั้น เธอจงใจจะหลุดพูดถึงเหวินเฉียวอี้
กู้เหนียนจื่อเป็นคนที่เหมือนจะไม่ระวังตัว แต่เธอไม่ใช่คนประเภทเก็บความคับข้องใจไว้กับตัวและแน่นอนว่าเธอไม่ใช่คนโง่ "หนูไม่ควรพูดออกไปแบบั้นเลย" เธอเบือนหน้าไปด้านข้างแล้วใช้คำพูดที่ทำให้เธอดูเป็นเหมือนคนใจดี
สิ่งที่เกิดขึ้นกับกู้เหนียนจื่อเมื่อวันก่อนได้สร้างความประหลาดใจให้กับชายหนุ่มมาก เขานั่งบนโซฟาขนาดใหญ่ในห้องประชุมอย่างสง่างามในขณะที่เขาพิจารณาสิ่งที่เพิ่งได้ยินครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและถามว่า “…ผู้ช่วยของฉัน เธอหมายถึงใครเหรอ?"
บทที่ 40 : การสัมภาษณ์ (3)
“เธอบอกว่าเธอชื่อเหวินเฉียวอี้ค่ะ” กู้เหนียนจื่อสังเกตการแสดงออกของเฮอจือชู ดูเหมือนว่าเขาจะยังดูสงบ แต่เธอมองเห็นอีกฝ่ายเกร็งไหล่ เธอจึงหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ศาสตราจารย์เฮอคะ บางทีเธออาจจะเป็นห่วงหนูจริง ๆ ก็ได้ อย่าอารมณ์เสียไปเลยค่ะ”
เธอชะงักแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการประชดประชัน “หรือบางทีเธอรู้ว่าหนูเป็นคนประเภทที่ทนรับคำด่าไม่ได้ เธอก็เลยมาพูดกระตุ้นให้หนูพยายามให้มากขึ้น ดูสิคะ วันนี้หนูก็ทำได้ดีไม่ใช่เหรอ? คุณยังส่งจดหมายตอบรับมาให้หนูเลย จริงไหมคะ”
ศาสตราจารย์หนุ่มจัดเอกสารให้เรียบร้อยโดยไม่พูดขัดอะไร เขายืนขึ้นและเหลือบมองกู้เหนียนจื่อ “เธอค่อนข้างมีคารมคมคาย รักษามันไว้และมันจะทำให้เธอเป็นทนายความที่ประสบความสำเร็จ”
ก่อนที่เขาจะออกจากห้อง เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อส่งข้อความ แล้วกด ‘ยอมรับ’ ที่ชื่อของกู้เหนียนจื่อในเว็บไซต์รับสมัครของคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย B เขายืนยันการเปลี่ยนแปลงและแสดงให้อีกฝ่ายเห็น “ลองเช็คในกล่องอีเมลของเธอดู อีเมลผลการรับสมัครน่าจะส่งไปให้เธอโดยอัตโนมัติ แล้วเธอจะได้รับฉบับพิมพ์ภายใน 3 วัน แต่ถ้าเธอไม่ได้รับเอกสาร ให้โทรหาฉัน”
หญิงสาวตรวจสอบกล่องอีเมลบนโทรศัพท์ของเธอแล้วพบว่ามีหนังสือแจ้งการรับเข้าเรียนจากสำนักงานรับสมัครนักศึกษาระดับปริญญาโทของคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย B ส่งมาแล้ว ด้วยเหตุนี้เธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหมุนไหล่คลายความตึงเครียด เธอส่งต่ออีเมลผลการรับสมัครไปให้หยินชือฉงและเฉินหลายทันที แต่เธอไม่ได้ส่งให้ฮัวเฉาเหิงเพราะเขาไม่มีอีเมลส่วนตัว เธอจะไม่ส่งไปยังอีเมลที่ทำงานของเขาด้วย เพราะแทนที่เขาจะอ่านด้วยตนเอง เขาให้เจี้ยวเลี่ยงจื่อ เลขาส่วนตัวของเขาดูแลตลอด
“ขอบคุณค่ะศาสตราจารย์เฮอ หนูหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับคุณนะคะ" กู้เหนียนจื่อโค้งคำนับให้เฮอจือชูอีกครั้ง “แล้วหนูก็หวังว่าคุณจะลืมเรื่องที่หนูพลาดไปสองครั้ง”
ชายหนุ่มยังคงส่งข้อความบนโทรศัพท์ของเขา “ถ้าฉันไม่อยากยอมรับเธอจริง ๆ ฉันก็อาจจะปฏิเสธทันทีหลังจากสัมภาษณ์เธอเสร็จ ทำไมฉันถึงต้องมองผ่านปัญหาทั้งหมดนั้นและให้ตำแหน่งพิเศษกับเธอในภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิด้วย? ฉันไม่มีเวลาว่างมาล้อเล่นกับเธอหรอกนะ”
กู้เหนียนจื่อทำหน้าตาเหลอหลาใส่เฮอจือชูขณะที่เขาหันหลังให้ แล้วหัวเราะคิกคัก “หนูรู้ว่าศาสตราจารย์ไม่ได้เป็นคนชอบทำอะไรลับหลัง หรือชอบตีสองหน้า นั่นเป็นเหตุผลที่หนูมาสัมภาษณ์แม้จะรู้สึกกดดันมากก็ตาม ขอบคุณพระเจ้าที่หนูเดิมพันชนะ”
ศาสตราจารย์หนุ่มหยุดเดินและหันกลับมามองคนพูด คิ้วสีดำของเขาเลิกขึ้น “นั่นฟังดูงมงายมาก” จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องพูด “เธอมีเวลาว่างมากกว่าครึ่งปีหลังจบการศึกษาในฤดูร้อนนี้จนถึงเริ่มเรียนในฤดูใบไม้ผลิหน้า ระหว่างนี้เธอมีแผนจะทำอะไร”
คนถูกถามส่ายหัวตอบ “หนูยังไม่ได้ตัดสินใจค่ะ หนูยังต้องหารือเรื่องนี้กับครอบครัวของหนูก่อน”
“เธอเชื่อฟังทุกสิ่งที่พวกเขาพูดเลยเหรอ”
กู้เหนียนจื่อยักไหล่พลางหัวเราะ “หนูยังเด็กอยู่ หนูยังอายุไม่ถึง 18 เลย แน่นอนว่าหนูต้องเชื่อฟังครอบครัวของหนู พวกเขาจะไม่ทำร้ายหนูหรอกค่ะ”
เฮอจือชูไม่พูดอะไรอีกและกดหมายเลขในโทรศัพท์แทน ไม่กี่วินาทีต่อมาโทรศัพท์ของกู้เหนียนจื่อดังขึ้น แต่สายนั้นก็สิ้นสุดลงในขณะที่เธอกำลังจะรับสาย
ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมา “นั่นคือเบอร์โทรฯของฉัน บันทึกไว้ด้วย ถ้าเธอยังไม่ได้วางแผนทำอะไร เธอจะมาช่วยฉันทำคดีในช่วงพักร้อนนี้ก็ได้”
ฝ่ายที่ถูกชักชวนรู้สึกยินดีและรีบบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเขาทันที “หนูจะติดต่อคุณกลับไปแน่นอนค่ะ”
เฮอจือชูกล่าวลาเธอก่อน แล้วเดินไปยังสำนักงานเล็ก ๆ ที่อยู่ในห้องถัดไป หลังจากนั้นไม่นานเหวินเสี่ยวอี้ก็ปรากฏตัวและถามเขาว่า “ศาสตราจารย์เฮอ คุณโทรมาเหรอคะ?”
ศาสตราจารย์หนุ่มดันแฟ้มไปทางเธอ “ฉันยอมรับกู้เหนียนจื่อแล้ว ลงทะเบียนให้เรียบร้อย”
ผู้ช่วยสาวรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก “ศาสตราจารย์เฮอ คุณยอมรับเธอจริง ๆ เหรอ? แต่เธอ...”
แม้ว่ากู้เหนียนจื่อจะไม่มาสัมภาษณ์ถึงสองครั้ง แล้วก่อนหน้านี้เธอก็กล้าโต้เถียงกับเขา เหวินเฉียวอี้รู้จักเขามาหลายปีแล้ว เขาไม่น่าจะรับกู้เหนียนจื่ออย่างแน่นอน
“ธุรกิจก็คือธุรกิจ อย่าคิดมาก” เฮอจือชูจุดบุหรี่ ดวงตาของเขาจดจ่ออยู่กับเธอ เขาไม่ได้ถามคำถามอะไรออกมา แต่คนที่ถูกมองเข้าใจแล้วว่ากู้เหนียนจื่อได้บอกเขาถึงการพบกันของพวกเธอแล้ว หญิงสาวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และนำคลิปเสียงเมื่อวานนี้มาเปิดให้อีกฝ่ายฟัง
“นี่คือที่เราคุยกันทั้งหมด ฉันหวังดีและไม่ต้องการให้ศาสตราจารย์เฮอต้องเสียเวลากับเธอ ฉันไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของหญิงสาวคนนี้เพราะความผิดพลาดครั้งก่อนของเธอ ฉันไม่คิดว่าเธอจะพูดจาเฉียบขาดและเก่งกาจในการบิดเบือนคำพูดของคนอื่น ฉันเกือบจะโดนเธอต้อนจนมุมแล้ว” เหวินเฉียวอี้พูดอย่างระมัดระวังด้วยน้ำเสียงที่สงบขณะที่เธอเปิดคลิปเสียงให้ศาสตราจารย์ฟัง จากนั้นเธอก็จัดเอกสารทั้งหมดตามหมวดหมู่
เฮอจือชูเป่าควันออกมาเป็นรูปวงแหวน นัยน์ตาคมกริบหรี่ลงครึ่งหนึ่ง เขามองไปทางประตูชั่วครู่จนการบันทึกการสนทนาจะสิ้นสุดลง เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผู้ช่วยสาวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสง่างามตรงข้ามกับชายหนุ่มแล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านมาตกกระทบลงบนใบหน้าของเธอ ทำให้กรอบหน้าครึ่งหนึ่งอยู่ในแสงสว่างและอีกครึ่งหนึ่งเป็นเงามืด เขาสูบบุหรี่และเพ่งสายตาไปที่ใบหน้าสวยของอีกคนพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ ในใจ
เหวินเฉียวอี้ ผู้หญิงร่างเล็กตรงหน้าเขาสวมชุดทำงานอันโฉบเฉี่ยว คิ้วและริมฝีปากของเธอเรียวบาง จมูกของเธอตรงได้รูป และดวงตาอัลมอนด์คู่นั้นก็เชิดขึ้นเล็กน้อย เธอเปรียบเสมือนความงามในสมัยโบราณจากภาพวาดคลาสสิก ยั่วยวน มีเสน่ห์และมีบุคลิกที่ดูดี
ศาสตราจารย์หนุ่มเอาบุหรี่กดลงในถาดก่อนจะถามว่า “มีอะไรอีกไหม”
หญิงสาวผ่อนคลายลงแล้วหยิบเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ออกมา “วันนี้มีคำร้องจากลูกค้าในเมือง C กำลังต้องการจะจ้างคุณเป็นทนายความด้วยเงินจำนวนมาก”
นอกจากเฮอจือชูจะเป็นหุ้นส่วนกับสำนักงานกฎหมายรายใหญ่ของอเมริกาแล้ว เขายังได้รับใบอนุญาตทางกฎหมายในจักรวรรดิอีกด้วย และเขามีสำนักงานกฎหมายของตัวเองในเมืองหลวง
"หืม? ใครล่ะ?"
ในการจ้างผู้ชายคนนี้เป็นทนายความ นอกจากจะต้องมีเงินจำนวนมากแล้ว บุคคลนั้นยังต้องมีปัญหาใหญ่พอสมควรอีกด้วย
“ครอบครัวนี้…มีประวัติกับคุณนิดหน่อยค่ะ” เหวินเฉียวอี้หยิบเอกสารออกจากกระเป๋าเอกสารของเธอ “คุณจำเฟิงอี้ซี นักศึกษาคนแรกที่คุณสัมภาษณ์ได้ไหม”
ฝ่ายที่ถูกถามหยิบแฟ้มนั้นมาอ่าน “เฟิงอี้ซีละเมิดกฎของมหาวิทยาลัยและถูกไล่ออกไม่ใช่เหรอ ครอบครัวเฟิงใช่ไหม เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?”
“เฟิงอี้ซีละเมิดกฎของมหาวิทยาลัย เธอไม่ใช่แค่ถูกไล่ออก เธอยังถูกตัดสินให้รับใช้ชุมชนเป็นเวลา 1 ปีอีกด้วย” ผู้ช่วยสาวกล่าว น้ำเสียงของเธอแสดงถึงความสงสาร “น่าเสียดายสำหรับนักศึกษาคนนี้ เธอเข้าไปพัวพันกับคนผิดและหาเรื่องใส่ตัว”
“เฉียวอี้ จำไว้ว่าเธอเองก็เป็นทนายความเหมือนกัน การใช้คำที่ไม่เป็นมืออาชีพของเธอก็เพียงพอแล้วสำหรับการเลิกจ้าง” เฮอจือชูโยนเอกสารกลับ “ฉันไม่ต้องการให้คนของฉันพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้และถูกมองเป็นตัวตลก”
ทุกวันเสาร์ เวลา 15:00