Your Wishlist

ว่าไงคะ ท่านนายพล (บทที่ 33-34 : คนที่รับสายและวางสาย, จุดที่สำคัญที่สุดและจรรยาบรรณในวิชาชีพ)

Author: Han Wuji (Akira แปล)

กู้เหนียนจื่อ หญิงสาวอายุ 17 ปีผู้สูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก มีเพียงภาพที่ตนเองติดอยู่ในรถที่กำลังลุกไหม้เท่านั้นที่ยังฉายชัดอยู่ในความฝันของเธอ โชคดีที่เธอได้ฮัวเฉาเหิง ทหารหนุ่มผู้มีตำแหน่งพลตรีช่วยชีวิตเอาไว้ ชายหนุ่มถูกกองทัพของจักรวรรดิร้องขอให้เป็นผู้ปกครองของกู้เหนียนจื่อที่มีอายุเพียง 12 ปี และปกปิดประวัติที่แท้จริงของทั้งคู่เอาไว้ แม้ว่าทั้งสองคนจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่เธอก็อยู่กับเขานับตั้งแต่นั้นมา เธอใช้ชีวิตด้วยความกลัวและไม่มั่นคงมาตลอด เธอจะรู้สึกปลอดภัยเฉพาะเวลาได้อยู่ใกล้ ๆ ผู้ปกครองหนุ่มเท่านั้น ระหว่างนั้นกองทัพของจักรวรรดิได้ทำการสืบค้นประวัติของหญิงสาว แต่ก็ไม่สามารถค้นหาได้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ตัวตนที่แท้จริงของกู้เหนียนจื่อคือใครกันแน่? เหตุใดเธอจึงถูกลอบทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต?

จำนวนตอน : 2263

บทที่ 33-34 : คนที่รับสายและวางสาย, จุดที่สำคัญที่สุดและจรรยาบรรณในวิชาชีพ

  • 09/10/2564

บทที่ 33 : คนที่รับสายและวางสาย

 

แต่คิดไปคิดมา เฉินหลายคิดว่าเรื่องนี้เขาอาจจะตัดสินใจแทนไม่ได้จริง ๆ เขาหมุนปากกาในมือเล่นไปมาแรง ๆ จนดูเหมือนว่ามันจะหลุดออกจากมือได้ทุกเมื่อ ก่อนที่เขาจะพูดว่า “เหนียนจื่อ เธอช่วยรอแปบนึงได้ไหม? ฉันขอโทรหาเขาก่อน” ขณะที่เขาพักสายไป เขาก็หันหลังกลับไปใช้โทรศัพท์บ้านเพื่อโทรหาเจ้านายด้วยหมายเลขทหารส่วนตัวของเขา

 

"มีอะไร?" เสียงของฮัวเฉาเหิงดังขึ้นจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง

 

ใบหน้าของหมอหนุ่มกำลังยิ้มแก้มแทบปริ “เจ้านาย ตอนนี้สะดวกคุยเรื่องเกี่ยวกับเหนียนจื่อไหม?”

 

"อืม ถือสายรอก่อน" นายพลหนุ่มมองไปยังห้องที่เต็มไปด้วยชายที่เป็นนายทหารระดับสูง ระดับต่ำสุดของพวกเขาคือผู้พัน จากนั้นเขาก็บอกกับทุกคนว่า “ฉันต้องรับสายนี้ คุยกันไปก่อนแล้วกัน”

 

เจ้าหน้าที่ภาคสนามทุกคนกำลังนั่งเคร่งเครียดกันอยู่  พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการประชุมทางทหารที่สำคัญ เมื่อได้ยินคำพูดของฮัวเฉาเหิง พวกเขาก็นิ่งเงียบไป 

 

สายที่โทรหาเขาครั้งนี้สำคัญพอที่จะขัดจังหวะการประชุมระดับสูงเลยอย่างนั้นเหรอ ตอนนี้กองกำลังปฏิบัติการพิเศษกำลังประสบปัญหานอกประเทศหรือเปล่า? หรือว่าพวกเขาจับสายลับที่จัดการได้ยากที่สุดซึ่งเป็นสายลับ CIA ของสหรัฐอเมริกาที่ถูกส่งมาแฝงตัวอยู่ในประเทศของพวกเขา?

 

ตอนนี้ทุกคนในห้องกำลังรวบรวมข่าวกรองกันอย่างแข็งขัน มันเป็นส่วนหนึ่งของรายละเอียดงานของพวกเขา พวกเขาจึงต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

 

ฮัวเฉาเหิงรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร แต่เขาก็คิดว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะตอนนี้อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกู้เหนียนจื่อมีความสำคัญสูงสุดสำหรับเขา

 

ชายหนุ่มร่างสูงเดินออกจากห้องประชุมไปด้วยสีหน้านิ่ง ๆ แล้วไปนั่งในสำนักงานเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างห้องประชุมก่อนจะเปิดม่านมองออกไปข้างนอกแล้วพูดว่า “ว่ามา”

 

ในเวลานี้เฉินหลายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณยุ่งอยู่หรือเปล่า?”

 

หากเจ้านายของเขากำลังทำอะไรที่สำคัญอยู่จริง ๆ เขาก็รู้สึกว่าเขาอาจจะรีบร้อนโทรหาอีกฝ่ายเกินไป

 

แม้ว่าเขาจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่มันก็ควรจะอยู่ในเวลาที่เหมาะสม ในตอนนี้หมอหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเลย 

 

"ไม่เป็นไร พูดมาเถอะ นายบอกว่ามีบางอย่างจะพูดเกี่ยวกับเหนียนจื่อใช่ไหม” ก่อนหน้านี้ฮัวเฉาเหิงโทรหาเจี้ยวเลี่ยงจื่อโดยใช้โทรศัพท์ ภายในและบอกให้เขานำโทรศัพท์ส่วนตัวที่ใช้ในฐานะพลเรือนทั่วไปมาให้เขา เมื่ออีกฝ่ายนำมาให้ เขาก็พบว่าตนเองไม่ได้รับสายจากกู้เหนียนจื่อเป็นจำนวนมาก

 

เฉินหลายพูดอย่างรวดเร็วว่า “โอ้ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก เหนียนจื่อโทรหาผมเพื่อบอกว่าเธอโทรหาคุณไม่ติด เธอเลยบอกให้ผมถามคุณแทนว่า หัวหน้าห้องของเธออยากจะจีบเธอ เธออยากรู้ว่าคุณโอเคกับเรื่องนั้นไหม”

 

เมื่อชายหนุ่มตระหนักว่าอีกคนโทรหาเขาด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ เขาจึงปาโทรศัพท์ส่วนตัวลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ “ฉันบอกให้นายโทรหาก็ต่อเมื่อมีเรื่องสำคัญเท่านั้น แล้วทำไมนายถึงโทรหาฉันด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้”

 

“อย่าเพิ่งโกรธๆ!” เสียงของปลายสายตื่นตระหนกทันที “ทำไมคุณไม่โทรหาเหนียนจื่อตอนที่คุณว่างล่ะ? คุณก็รู้ว่าเธอเชื่อฟังคุณแค่ไหน ถ้าคุณพูดด้วยน้ำเสียงดุ ๆ เดี๋ยวเธอก็สลัดเจ้าหมอนั่นทิ้งเองแหละ”

 

ฮัวเฉาเหิงไม่ได้ฟังประโยคหลัง “ฉันยังมีประชุม ฉันไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ เราจะพูดเรื่องนี้กันทีหลัง" เขาวางสายก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งและกลับไปที่ห้องประชุมเพื่อดำเนินการประชุมต่อ

 

อีกด้านหนึ่ง เฉินหลายเปลี่ยนสายกลับไปคุยกับกู้เหนียนจื่อ และพบว่าเธอรอสายอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกแย่ที่ทำให้เธอต้องรอ เขาจึงตัดสินใจปลอบเธอด้วยการโกหก “เหนียนจื่อ ฮัวเฉากำลังประชุมอยู่ ฉันก็โทรหาเขาไม่ติดเหมือนกัน ฉันขอให้โอเปอเรเตอร์ฝากข้อความถึงเขาแล้ว เขาจะโทรหาเธอหลังจากที่ประชุมเสร็จ”

 

หญิงสาวมองออกไปที่กระจกหน้ารถ แล้วรู้ว่าเหม่ยเสี่ยวเหวินได้หยุดรถแล้ว

 

ตอนนี้พวกเขาอยู่หน้าอาคารผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัย C ซึ่งเฮอจือชูอาศัยอยู่ที่นี่

 

เธอรีบพูดกับหมอหนุ่มว่า “อาฮัวยุ่งอยู่ตลอดเลย ไม่เป็นไร อย่าไปรบกวนเขา ฉันจะคุยกับเขาเองถ้าเขามีเวลา ดูแลตัวเองด้วยนะพี่เฉิน” พูดจบเธอก็วางสายแล้วหันไปมองหัวหน้าหนุ่มที่เฝ้าดูเธออยู่เงียบ ๆ เธอโบกมืออย่างหมดหนทางและพูดว่า “หัวหน้าเหม่ย นายได้ยินทุกอย่างแล้ว ไม่ใช่ฉันไม่อยากตอบนะ แต่ครอบครัวของฉันยุ่งมากจริง ๆ”

 

ก่อนหน้านี้ กู้เหนียนจื่อโทรออกหลายครั้ง และโทรหาอีกคนให้ช่วยติดต่อ แต่ก็ยังไม่สามารถพูดกับผู้ปกครองของเธอได้

 

มันทำให้เหม่ยเสี่ยวเหวินคิดถึงพ่อแม่ของเขาเอง พวกเขาก็ยุ่งมากเหมือนกัน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งแค่ไหน พวกเขามักจะรับสายจากเขาโดยเร็วที่สุด พวกเขาจะไม่เคยทิ้งให้เขารออยู่แบบนั้น

 

นี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างครอบครัวทางสายเลือดกับครอบครัวบุญธรรม

 

ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่เขาชอบด้วยความเห็นอกเห็นใจและสงสาร เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เรื่องนี้ยากสำหรับเธอ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าปกติว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะรอให้เธอได้รับอนุญาตจากครอบครัวของเธอก่อนก็ได้”  

 

“ขอบคุณที่เข้าใจนะ หัวหน้าเหม่ย” กู้เหนียนจื่อรู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายมีเหตุผลและมีน้ำใจ นั่นยิ่งทำให้เธอประทับใจเขามากขึ้นไปอีก

 

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ลงจากรถ แล้วเหม่ยเสี่ยวเหวินเดินนำกู้เหนียนจื่อเข้าไปในอาคารผู้เชี่ยวชาญเพื่อไปพบเฮอจือชูพร้อมกัน “เขาอาจจะยังดูเหมือนอายุไม่เยอะ แต่เขามีหุ้นส่วนในบริษัทกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฎหมายจากโรงเรียนกฎหมายเยล และเป็นศาสตราจารย์ประจำที่โรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ด อย่างที่เธอเห็น เขาเก่งพอที่จะทำตัวหยิ่งได้ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เหมือนกับคนอเมริกันทั่วไป เขาสนใจแต่ข้อเท็จจริงเท่านั้น เขาไม่เลือกปฏิบัติหรือใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสิน ตราบใดที่เธอพูดความจริงและสามารถคิดวิธีที่จะโน้มน้าวใจเขาได้ เขาจะฟังเธอ”

 

หญิงสาวจดบันทึกทุกสิ่งที่เขาพูดพลางพยักหน้าเป็นครั้งคราวเพื่อแสดงว่าเธอกำลังฟังอย่างตั้งใจ

 

ขณะที่เหม่ยเสี่ยวเหวินอธิบาย เขาได้พาเธอไปที่ลิฟต์ในอาคารผู้เชี่ยวชาญ เขาหยิบการ์ดขึ้นมาแล้วกดขึ้นไปที่ชั้น 18 

 

ลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้นไปเรื่อย ๆ กู้เหนียนจื่อหันมามองคนข้างกายและพูดว่า "หัวหน้า ทำไมนายมีบัตรเข้าอาคารได้ล่ะ?"

 

ลิฟต์ในอาคารผู้เชี่ยวชาญสามารถใช้ได้เฉพาะผู้ที่มีบัตรผ่านเข้าออกและไปยังชั้นที่ห้องของเจ้าของบัตรอยู่เท่านั้น การขึ้นไปที่ชั้นอื่นต้องได้รับการอนุมัติจากแผนกที่เกี่ยวข้องในมหาวิทยาลัย จากนั้นจึงขอให้เจ้าหน้าที่บริการในอาคารผู้เชี่ยวชาญนำทางไปเพราะการรักษาความปลอดภัยที่นี่แน่นหนามาก

 

แผนเดิมของกู้เหนียนจื่อคือการเชิญเฮอจือชูมาพบที่ชั้น 1 หรือบางทีเธออาจจะติดต่อเพื่อนัดหมายเวลากับเขาอีกที แล้วก็มาพบเขาที่ชั้นล่างหรือประตูด้านหน้า

 

เหม่ยเสี่ยวเหวินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าของเขาในขณะที่เขามองดูจำนวนชั้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บนหน้าจอลิฟต์ เขายิ้มและตอบว่า “ฉันบอกเธอแล้ว ฉันอยากให้เธอเป็นแฟนของฉัน ฉันต้องแสดงให้เธอเห็นว่าฉันหมายความตามนั้น การหาบัตรเข้าที่นี่เป็นเรื่องที่ฉันทำได้เพื่อแสดงความจริงใจของฉัน”

 

ใบหน้าของฝ่ายที่ได้ฟังเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่โชคดีที่ลิฟต์มาถึงชั้น 18 พอดี พอประตูเปิดออก เธอจึงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

ตอนนี้เธอโล่งใจมากที่เธอไม่ต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นต่อ 

 

หัวหน้าหนุ่มตามเธอออกมาแล้วชี้ไปที่ห้องสุดท้ายของห้องโถงด้านซ้ายและกล่าวว่า “ศาสตราจารย์เฮอจือชูอยู่ที่ห้องนั้น เธอโทรหาเขาก่อนก็ได้”

 

ในแต่ละชั้นของอาคารผู้เชี่ยวชาญจะมีโทรศัพท์สาธารณะอยู่

 

เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มจัดการทุกอย่างแทนกู้เหนียนจื่อ เขาเดินไปที่นั่นและกดหมายเลขเพื่อช่วยเหลือเธอ

 

หญิงสาวรอสายอย่างกังวลใจ หลังจากโทรไป 2 ครั้ง ก็มีคนรับสาย


 

"ต้องการพูดกับใคร?" ชายที่รับโทรศัพท์มีเสียงที่ชัดเจนและกระฉับกระเฉง แต่ก็มีร่องรอยของความเหนื่อยล้าอยู่ในนั้นด้วย

 

ในขณะนี้เสียงหัวใจของกู้เหนียนจื่อเต้นตุบ ๆ อยู่ในโสตประสาทของเธอขณะที่เธอถามอย่างเร่งรีบ “นี่คือศาสตราจารย์เฮอจือชูใช่ไหมคะ? หนูชื่อกู้เหนียนจื่อค่ะ”

 

ทันทีที่เธอพูดอย่างนั้น ปลายสายก็เงียบไป แม้แต่เสียงหายใจก็ไม่ได้ยิน 

 

หญิงสาวรอสักครู่ แล้วประหลาดใจที่อีกฝ่ายตกอยู่ในความเงียบ แต่การโทรยังคงเชื่อมต่ออยู่ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจพูดต่อ  

 

“ศาสตราจารย์เฮอจือชูคะ? ชื่อของหนูคือกู้เหนียนจื่อ หนูสมัครเป็นนักศึกษาปริญญาโทของคุณ แต่หนูป่วยหนักค่ะ มันกะทันหันมาก และหนูพลาดการสัมภาษณ์ หนูแค่อยากจะขอ—”

 

แกร๊ก!

 

ใครก็ตามที่อยู่ปลายสายได้วางสายเธอไปแล้วจริง ๆ

 

กู้เหนียนจื่อมองโทรศัพท์อย่างงุนงงและไม่แน่ใจ เธอเคาะโทรศัพท์ แล้วพูดว่า ‘ฮัลโหล’ สองสามครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเหม่ยเสี่ยวเหวินแล้วถามว่า "ศาสตราจารย์เขาอยู่คนเดียวหรือเปล่า"

 

"ใช่ เขามีผู้ช่วยสอนเป็นผู้หญิง แต่เขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน” หัวหน้าหนุ่มพยายามรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่พอจะช่วยเหลือเธอได้มา รวมถึงการวิจัยของเฮอจือชู และเขารู้อะไรเกี่ยวกับศาสตราจารย์มากกว่าหยินชือฉงด้วย

 

“งั้นแสดงว่าศาสตราจารย์เขาวางสายใส่ฉัน” กู้เหนียนจื่อกัดริมฝีปากของตัวเอง “ฉันจะลองโทรหาเขาอีกครั้ง!”

 

บทที่ 34 : จุดที่สำคัญที่สุดและจรรยาบรรณในวิชาชีพ

 

“เขาวางสายเธอ? เขาไม่ได้พูดอะไรเลยเหรอ?” เหม่ยเสี่ยวเหวินเอียงศีรษะมองไปยังห้องที่อยู่ตรงปลายทางเดิน “เราอาจจะมาผิดเวลาหรือเปล่า บางทีเขาอาจจะมีแขก”

 

กู้เหนียนจื่อขมวดคิ้ว "ฉันไม่แน่ใจ เขาไม่พูดอะไรแล้ววางสายก่อนที่ฉันจะพูดจบ”

 

ขณะเดียวกัน เฮอจือชูกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวใกล้ ๆ หน้าต่างทรงฝรั่งเศสในห้องของเขา เขาถือแบบฟอร์มใบสมัครและจ้องไปที่รูปถ่ายขนาด 1″x1″ เป็นเวลาสองสามนาที จากนั้นเขาก็โทรหาเหวินเฉียวอี้ ผู้ช่วยสอนของเขาซึ่งอยู่ห้องข้าง ๆ “เหวินเฉียวอี้ มานี่หน่อย”

 

ในประตูห้องถัดไป เหวินเฉียวอี้ปิดแล็ปท็อปของเธอ แล้วส่องกระจกเพื่อจัดทรงผมให้เรียบร้อยและเปลี่ยนใส่รองเท้าส้นสูงก่อนจะออกมาจากห้อง ทันทีที่เธอออกมา เธอเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวยืนอยู่ที่อีกด้านของทางเดิน พวกเขาทั้งคู่ดึงดูดสายตามากเพราะตัวผู้ชายมีรูปร่างสูงเพรียวสง่างาม ในขณะที่ผู้หญิงดูตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดู เธอละสายตาจากพวกเขาก่อนที่เคาะห้องของศาสตราจารย์ 

 

"เข้ามา"

 

 

กู้เหนียนจื่อยังคงติดต่อหาเฮอจือชูอย่างต่อเนื่อง แต่เขาไม่ได้รับสายในทันที แต่ปล่อยให้มันดังอยู่อย่างไม่ลดละเป็นเวลา 15 นาที ก่อนที่จะกดปุ่มรับสายแล้วเปิดลำโพงให้เหวินเฉียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบ ๆ ได้ยินบทสนทนาด้วย

 

หลังจากรับสาย เสียงอันไพเราะของหญิงสาวก็ดังขึ้น “หนูกำลังคุยกับศาสตราจารย์เฮอจือชูอยู่หรือเปล่าคะ? หนูขอโทษที่รบกวนคุณนะคะ หนู—”

 

“ถ้าเธอรู้ว่าเธอกำลังรบกวนฉันและยังคงโทรมาต่อ แสดงว่านี่เป็นการจงใจ ซึ่งแย่ยิ่งกว่าอีก” น้ำเสียงของศาสตราจารย์หนุ่มแข็งกระด้างจนทำให้ปลายสายตกใจจนเกือบจะลืมสิ่งที่เธออยากจะพูด

 

แต่เธอก็ตั้งสติอย่างรวดเร็วแล้วรีบพูดว่า “แต่คุณไม่ได้ตอบอะไรเลยและไม่เคยบอกหนูว่าคุณคือศาสตราจารย์เฮอจือชูหรือเปล่า หนูจะตั้งใจได้ยังไงคะ หนูไม่รู้ หนูก็เลยพยายามตรวจสอบให้แน่ใจเท่านั้นเองค่ะ”

 

"หืม? เธอกำลังจะบอกว่ามันเป็นความผิดของฉันเหรอ?” คิ้วเรียวยาวของเฮอจือชูยกขึ้นราวกับว่าเขากำลังรู้สึกโกรธ แต่ท่าทางของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความรำคาญ แต่ปรากฎรอยยิ้มจาง ๆ เพียงเสี้ยวนาทีและจากนั้นในดวงตาอัลมอนด์ของเขาฉายแวววับ ก่อนที่รอยยิ้มจะจางหายไป

 

“แน่นอนว่าหนูไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นความผิดของคุณ” กู้เหนียนจื่อ ถอนหายใจเงียบ ๆ มันเป็นความหวังที่ได้มาอย่างไม่แน่นอนตราบใดที่เขายังไม่วางสาย

 

เธอยกนิ้วโป้งขึ้นตรงหน้าเหม่ยเสี่ยวเหวิน ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มแจ่มใสขณะที่เธอพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “หนูสามารถพูดได้ว่ามันเป็นปัญหาด้านการสื่อสาร เราควรต้องใช้วิธีอื่นในการสื่อสาร ศาสตราจารย์เฮอจือชูคะ คุณช่วยมอบโอกาสให้หนูอีกสักครั้งได้หรือเปล่าคะ แม้ว่าหนูจะพลาดการสัมภาษณ์มาแล้วสองครั้ง แต่หนู—”

 

เมื่อได้ยินหญิงสาวพูดถึงการผิดนัดสัมภาษณ์ถึงสองครั้ง ใบหน้าของฝ่ายที่ถูกขอโอกาสก็แข็งเป็นหินอีกครั้ง เขาดูถูกคนที่ไม่ตรงเวลา และนอกจากผู้หญิงคนนี้จะผิดนัดครั้งหนึ่งแล้ว เธอยังผิดนัดถึงสองครั้ง เรื่องนี้ถือว่าข้ามเส้นเขาไปมาก

 

ศาสตราจารย์หนุ่มนั่งอยู่บนโซฟาโดยวางคางไว้บนฝ่ามือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ เขารีบพูดขึ้นมาว่า “การพลาดแล้วก็ถือว่าพลาด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความจริงเรื่องนี้เป็นปัญหาของเธอ และไม่จำเป็นต้องบอกฉัน ฉันไม่อยากฟัง”

 

เฮอจือชูปฏิเสธด้วยเสียงเย็น ทำให้กู้เหนียนจื่อกระชับมือที่ถือโทรศัพท์แน่นและเสียงของเธอก็คมชัดกว่าปกติ “หนูกำลังพูดกับศาสตราจารย์เฮอจือชูใช่ไหมคะ”

 

"ใช่"

 

“ถ้าคุณเป็นศาสตราจารย์เฮอจือชู หนูอยากจะถามว่าทำไมคุณถึงไม่ฟังคำอธิบายของหนูคะ?”

 

“เพราะนี่คือขีดจำกัดส่วนตัวของฉัน การกระทำของเธอข้ามเส้นขีดจำกัดของฉันแล้ว” ชายหนุ่มไม่ได้พูดอ้อมค้อม เขาพูดด้วยดวงตาแข็งกระด้างและน้ำเสียงของเขาก็ไม่อ่อนลงเลย

 

ในขณะเดียวกัน เหวินเฉียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขายิ้มเยาะออกมา เธอรู้จักอารมณ์ของศาสตราจารย์เฮอจือชูดีที่สุด เขาไม่เคยกลับคำพูด แม้จะต้องเผชิญกับคำขอมากมายจากผู้มั่งคั่งและมีอำนาจที่โรงเรียนกฎหมายฮาร์วาร์ด เขาไม่เคยตอบรับใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว กู้เหนียนจื่อดูจะอวดดีเกินไป เธอส่ายหัวด้วยความรู้สึกสงสาร

 

แต่ใครจะรู้ล่ะว่ากู้เหนียนจื่อที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสายนั้นจะกล้าหาญกว่าที่เหวินเฉียวอี้คิดไว้ ขณะที่เธอเริ่มท้าทายขีดจำกัดของศาสตราจารย์หนุ่มโดยตรง “ศาสตราจารย์เฮอ หนูเคารพข้อจำกัดของคุณนะคะ แต่หนูต้องการถามคุณว่า ข้อจำกัดส่วนบุคคลของคุณมีข้อขัดแย้งกับจรรยาบรรณวิชาชีพที่คุณต้องปฏิบัติตามหรือไม่”

 

'หืม? ฉลาดพูดจริง ๆ' คนที่ถูกยิงคำถามคิดในใจ เขารู้สึกสนใจอีกฝ่ายขึ้นมาเพราะเขาอยากจะรู้ว่าเธอจะมาไม้ไหน “ข้อจำกัดส่วนตัวของฉันไม่ขัดแย้งกับจรรยาบรรณวิชาชีพของฉันแน่นอน” 

 

“ถ้าคุณบอกว่าไม่มีข้อขัดแย้ง หนูอยากถามคุณว่าในฐานะศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัย B คุณไม่ควรปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย B เหรอคะ”

 

เฮอจือชูเป็นนักกฎหมายฝีปากดีในศาล ดังนั้นมือใหม่อย่างกู้เหนียนจื่อจะใช้เหตุผลอะไรมาแย้งกับเขา? ในขณะนั้นเขาไม่ได้แย้งปลายสายแล้วฟังต่ออย่างเงียบ ๆ

 

หญิงสาวจึงพูดต่อว่า “หนูสมัครเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย B ตามระเบียบ แม้ว่าหนูจะไม่ได้มาสัมภาษณ์ถึงสองครั้ง แต่แนวปฏิบัติสำหรับผู้เข้าสอบของคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย B ระบุว่า 'หากผู้เข้าสอบมาสายเนื่องจากเหตุสุดวิสัย จะไม่ถือว่าเป็นความผิดของผู้สอบ ทางมหาวิทยาลัยจะให้โอกาสผู้เข้าสอบอีกครั้งในการสัมภาษณ์”

 

“จู่ ๆ หนูก็ป่วยหนัก และนั่นเป็นเหตุสุดวิสัย หนูก็แค่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่เจ็บป่วยได้ นอกจากนี้หนูยังมีใบรับรองแพทย์จากแพทย์ผู้มีอำนาจจากโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในประเทศ หนูคิดว่าในกรณีนี้หนูยังควรมีสิทธิ์ได้สอบสัมภาษณ์อีกครั้ง”

 

กู้เหนียนจื่อพูดจบอย่างฉะฉานและรอคำตอบของอีกฝ่าย 

 

ทันใดนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปากของเฮอจือชู แต่น้ำเสียงของเขายังคงแข็งกระด้าง “แล้วยังไง? เธอข้ามเส้นของสิ่งที่ฉันยอมรับได้ ดังนั้นฉันไม่ต้องการให้โอกาสเธออีกครั้ง”

 

“นั่นคือประเด็นของคำถามของหนูก่อนหน้านี้ ศาสตราจารย์เฮอ หนูขอถามอีกครั้งว่าข้อจำกัดส่วนตัวของคุณขัดกับจรรยาบรรณในวิชาชีพของคุณหรือไม่? ในฐานะศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัย B จรรยาบรรณในวิชาชีพของคุณคือการปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัย B และคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัย B แล้วอีกอย่าง กฎและข้อบังคับของคณะนิติศาสตร์ไม่มีตรงไหนที่ระบุว่าการพลาดการสอบสัมภาษณ์ 2 ครั้งเนื่องจากเหตุสุดวิสัยจะส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์ในการสัมภาษณ์ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังใช้ความชอบส่วนตัวของคุณแทนที่จะเป็นกฎเกณฑ์และข้อบังคับของมหาวิทยาลัยเป็นตัวชี้วัดหลัก ในฐานะบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการกฎหมาย การละเลยกฎหมายและการใช้คติส่วนตัวของคุณเข้ามาแทรกแซงหน้าที่ของคุณหมายความว่าคุณขาดจรรยาบรรณในวิชาชีพ” กู้เหนียนจื่อพูดเหยียดหยามอำนาจของเขาและแม้กระทั่งสงสัยจริยธรรมในอาชีพของเขา  

 

สาวคนนี้ทำได้แล้ว! เหวินเฉียวอี้ปิดปากของเธอด้วยความตกใจและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

 

เฮอจือชูพยักหน้าและรักษาท่าทีผ่อนคลายของเขา ในขณะนี้เขายังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม ต่อมาเขาลืมตาขึ้นและพูดกับเธอว่า “กู้เหนียนจื่อ เธอพยายามหาโอกาสแม้จะถูกปฏิเสธจากฉันอย่างหนักแน่น จิตวิญญาณแห่งความพากเพียรนี้หายากและน่ายกย่องสำหรับนักศึกษากฎหมาย เธอไม่ได้ยอมแพ้เมื่อเผชิญกับการโต้แย้งจากผู้มีอำนาจ แต่กล้าพอที่จะตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจและเคารพในจิตวิญญาณของกฎหมาย ความมุ่งมั่นของเธอที่จะไม่ประนีประนอมเป็นเรื่องที่หาได้ยากสำหรับนักศึกษากฎหมาย ดี! กู้เหนียนจื่อ เธอไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ สมแล้วที่เป็นนักศึกษาอันดับต้น ๆ ในชั้นเรียน ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้ง”

 

'โชคชะตากลับมาเข้าข้างฉันแล้ว! โชคดีอะไรอย่างนี้!' ฝ่ายที่ได้รับโอกาสอีกครั้งรู้สึกปลาบปลื้มมากจนกระโดดโลดเต้นระบายความดีใจ

 

เธอไม่สนใจว่าเธอยังคงถือโทรศัพท์ขณะที่เธอแสดงท่าทางดีอกดีใจอยู่และยิ้มให้เหม่ยเสี่ยวเหวิน “หัวหน้าเหม่ย! หัวหน้าเหม่ย! นายได้ยินไหม ฉันมีโอกาสได้สัมภาษณ์อีกครั้ง!”

 

ทุกวันเสาร์ เวลา 15:00
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป