บทที่ 31 : ให้ฉันจีบเธอได้ไหม
กู้เหนียนจื่อแย้มยิ้มออกมาจาง ๆ
เหม่ยเสี่ยวเหวิน หัวหน้าห้องของเธอใจดีกับทุกคนในชั้นเรียนของเธอเสมอ
ปกตินักศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยของพวกเธอได้รับโอกาสในการฝึกงานที่สำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ชั้นปีแรก ตอนนั้นเธอเพิ่งย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเหม่ยเสี่ยวเหวินตั้งใจเก็บตัวเลือกที่ดีที่สุดไว้ให้เธอเลือกก่อน เธอคิดเสมอว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนดีที่สุดจะได้เลือกก่อนและนั่นก็เป็นของเธอแน่นอน
แล้วเธอจะไปรู้เรื่องนั้นได้ยังไง?
นอกจากนี้ เรื่องที่อีกฝ่ายมักจะเดินไปส่งเธอกลับหอพักมากกว่าสองสามครั้ง ในตอนนั้นมันมืดแล้วและเธอก็อ่านหนังสือจนลืมเวลา แต่เธอคิดว่านี่เป็นเพียงเพราะหัวหน้าห้องก็คงชอบอ่านหนังสือเพลินจนไม่ได้ดูเวลาเหมือนเธอ
เหม่ยเสี่ยวเหวินฉลาดในการเลือกใช้คำพูด มันทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ ๆ เขา เขาเป็นคนที่น่านับถือมากจริง ๆ
เธอยอมรับว่าเขาเอาเค้ก นมและขนมมาให้เธอในชั้นเรียนบ่อย ๆ แต่เขาก็เอามาให้คนอื่น ๆ ในชั้นเรียนด้วย!
และตอนนี้เขากำลังมาพูดว่าทุกอย่างที่ทำไปนั้นเขาทำเพื่อเธอจริง ๆ เหรอ?
‘หัวหน้าเหม่ย นายทำอะไรอ้อมค้อมเกินไป ถ้านายไม่บอกฉันตรง ๆ ฉันคงไม่มีวันรู้ว่านายกำลังพยายามเอาชนะใจฉัน…’
กู้เหนียนจื่อรู้สึกประทับใจกับเรื่องที่เพิ่งรู้มากจนเธออยากจะร้องไห้
งั้นที่เขาดีกับเธอเพราะเขาชอบเธอ และไม่ใช่เพราะเป็นหน้าที่ของเขา...
แต่หัวหน้าหนุ่มก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อทุกคนในชั้นเรียนตลอดมา
ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกสับสนมาก สิ่งแรกที่เธอจะทำคือการถามคนที่เธอไว้ใจมากที่สุด ผู้ปกครองของเธอ 'ฮัวเฉา' ว่าจะทำยังไงดี
แต่พอคิดถึงคิดฮัวเฉา เธอก็นึกถึงเรื่องลายนิ้วมือของเธอทันที เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “…หัวหน้าเหม่ย เอ่อ ช่วยลบลายนิ้วมือของฉันออกจากโทรศัพท์ของนายได้ไหม คือว่า… คนในครอบครัวของฉันไม่ค่อยพอใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่…”
"อ่า" เหม่ยเสี่ยวเหวินเหลือบมองเธอ เขาเองก็รู้สึกว่าเมื่อวันก่อนเขาใจร้อนเกินไป จนอาจทำให้เธอกลัว “ได้สิ ฉันจะลบให้ แต่เธอต้องสัญญากับฉันว่าจะให้ฉันจีบเธอ โอเคไหม”
ชายหนุ่มพูดพลางปลดล็อคโทรศัพท์ของเขาด้วยการปัดนิ้วและไปยังโฟลเดอร์จัดเก็บลายนิ้วมือ แล้วก็พบว่าลายนิ้วมือของกู้เหนียนจื่อไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
เขาลืมบันทึกเหรอ?
หัวหน้าหนุ่มโชว์หน้าจอโทรศัพท์ของเขาให้อีกฝ่ายดู “นี่ เอาไปดูเลย ฉันไม่ได้บันทึกไว้ คงไม่มีอะไรต้องลบแล้ว”
หญิงสาวเหลือบมองโทรศัพท์แล้วยกมือขึ้นทาบหน้าอกตัวเองด้วยความโล่งอก เธอพูดพร้อมหัวเราะว่า “ขอบคุณนะ หัวหน้าเหม่ย”
“แล้วเรื่องที่พูดเมื้อกี้ตกลงหรือเปล่า” เหม่ยเสี่ยวเหวินถามย้ำ
ก่อนที่จะพูดเขาต้องรวบรวมความกล้าพอสมควร
ฝ่ายที่ถูกยิงคำถามรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อโบยบินอยู่ในท้องของเธอ มันทำให้ใจเธอเต้นแรงและสั่นสะท้าน แต่เธอไม่รู้ว่าจะตอบเขาไปว่ายังไงดี
เธอหลับตาลง หลังจากนั้นสักครู่เธอเงยหน้าขึ้นแอบมองชายหนุ่ม
ในขณะนี้เหม่ยเสี่ยวเหวินหันไปมองถนน แต่เขาแอบเหล่มองไปทางด้านข้างพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขา
หัวใจของกู้เหนียนจื่อเต้นแรงอีกครั้ง เธอรีบหันศีรษะและมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อมองทิวทัศน์ที่ผ่านเธอไป
ตอนนี้หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความวุ่นวาย…
เธอควรโทรหาฮัวเฉาแล้วถามเขาก่อนดีไหม?
เขาเป็นผู้ปกครองของเธอ แต่นี่เป็นสิ่งที่เธอควรถามเขาหรือเปล่า?
ในขณะนี้หัวใจของหญิงสาวถูกเหวี่ยงไปมาเหมือนรถไฟเหาะ คำสารภาพของหัวหน้าหนุ่มได้จุดประกายความอยากรู้ของเธอ
เธออยากรู้ว่าการเดทกับใครสักคนเป็นยังไง แต่ในวินาทีต่อมาเธอนึกถึงใบหน้าเคร่งขรึมและจริงจังของฮัวเฉาเหิงแล้วกลัวว่าเขาจะดุเธอ…
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้หญิงที่อายุเกือบ 18 ปีที่อยากจะมีความรัก
ทุกวันนี้ เด็กอายุ 14 ปีส่วนใหญ่ได้สัมผัสกับความรักครั้งแรกแล้ว แน่นอนว่าหญิงสาวอายุ 17 ปีแบบเธอไม่ได้เด็กเกินไปที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครสักคนหรอกใช่ไหม?
พูดตามตรงว่าชีวิตของเธอจนถึงตอนนี้ไม่ค่อยปกติธรรมดาเหมือนคนทั่วไปเท่าไหร่ เธอตามฮัวเฉาเหิงไปที่ค่ายทหารเมื่ออายุ 12 ปีและไม่มีโอกาสที่จะตกหลุมรักใครเลย
จากนั้นเธอก็มาเรียนที่เมือง C ตอนที่อายุ 16 ปี
เธอเคยได้ยินเพื่อนร่วมชั้นพูดถึงชีวิตรักของพวกเขา และเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธออิจฉา...
ทำไมไม่ลองดูล่ะ?
หัวใจของกู้เหนียนจื่อรู้สึกสั่นไหว แต่เธอไม่กล้าพูดออกไป
เธอยังคงต้องบอกผู้ปกครองของเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าเขาไม่เห็นด้วยที่เธอจะคบกับเหม่ยเสี่ยวเหวิน เธอก็คงต้องปล่อยไป
"เธอคิดว่ายังไง?" หัวหน้าหนุ่มเหลือบมองหญิงสาว เขายิ้มพร้อมกับพูดเสริมว่า “ฉันไม่ได้ขอให้เธอตกลงเป็นแฟนของฉันในทันที ฉันแค่ขอให้เธอเปิดโอกาสให้ฉันจีบเธอ”
เขากำลังจะสำเร็จการศึกษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วทุกคนก็จะไปตามเส้นทางของตนเอง กระจัดกระจายกันไปราวกับสายลม เขาไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป
ความจริงแล้วในมหาวิทยาลัยมีสาวสวยและมีความสามารถมากมาย แต่พวกเธอทั้งหมดเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ พวกเธอสามารถทำให้ใคร ๆ หลงเสน่ห์ได้ด้วยการชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว
แต่สาว ๆ ที่น่ารัก มีชีวิตชีวา ฉลาด แต่ไร้เดียงสาอย่างกู้เหนียนจื่อยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด
ตัวอย่างเช่นผู้ชายส่วนใหญ่ในชั้นเรียนมักจะออกเดทกับนักศึกษาปีที่ 1 และปีที่ 2 มีน้อยคนมากที่จะออกเดทกับเพื่อนร่วมชั้นเดียวกันเพราะเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น
แม้ว่ากู้เหนียนจื่อจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา แต่เธอก็อายุน้อยกว่ามาก เธอมีอายุใกล้เคียงกับนักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขามา 2 ปีแล้ว และพวกเขารู้จักกันดี ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะมีความราบรื่นหากพวกเขาเริ่มออกเดทกันหลังจากนี้
เหม่ยเสี่ยวเหวินมองถนนข้างหน้าอย่างสบาย ๆ อาจเป็นเพราะชีวิตของเขาไม่เคยมีอุปสรรคเลย นอกจากความสามารถของเขาแล้ว ครอบครัวของเขายังเป็นคนที่คอยสนับสนุนเรื่อยมา ยังไงเขาก็มีอนาคตที่สดใสแน่นอน
ในขณะนั้นสายตาของหญิงสาวหันกลับมา เธอก้มศีรษะลงอย่างวิตกกังวล นิ้วของเธอกำลังเล่นกับผ้าของกระโปรงจัมเปอร์ที่ทำด้วยผ้าขนสัตว์สีเทาอ่อนของเธอ ก่อนจะพึมพำออกมาว่า “… หัวหน้าเหม่ย นายคาดหวังว่าจะให้ฉันตอบว่าอะไร”
“เธอตอบไม่ได้เหรอ? ในกรณีนั้นฉันจะถือว่าเธอตกลง” หัวหน้าหนุ่มกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา “ตอนนี้สิ่งแรกที่เธอต้องทำคือหยุดเรียกฉันว่าหัวหน้าเหม่ย เราสนิทกันกว่านั้นแล้ว เรียกฉันว่าเสี่ยวเหวินสิ ครอบครัวของฉันเรียกฉันแบบนี้”
การเรียกเขาด้วยชื่อต้นเป็นก้าวสำคัญในการย่นระยะห่างระหว่างพวกเขา
และก็ไม่สนิทสนมกันจนเกินไป
กู้เหนียนจื่อตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “…โอเค”
แต่ในน้ำเสียงนั้นมีร่องรอยของความกังวลใจ แม้ว่าเสียงของเธอจะไม่ดัง แต่ดูเหมือนว่าจะก้องอยู่ในโสตประสาทของเหม่ยเสี่ยวเหวินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คำตอบนั้นทำให้เขากำพวงมาลัยแน่น เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะ ‘ตกลง’ ง่าย ๆ นั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว
บางทีความรู้สึกที่เขามีต่อเธออาจจะมากกว่าที่เขาคิดก็ได้
ทั้งสองคนเงียบไปตลอดการนั่งรถ ราวกับว่าเป็นการตกลงโดยปริยาย
เมื่อพวกเขามาถึงมหาวิทยาลัย เหม่ยเสี่ยวเหวินก็ขับรถไปที่ทางเข้าหอพักหญิง
เขาลงจากรถก่อนและช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทางออกมา เขาถือกระเป๋าเป้สะพายหลังของเธอด้วยมืออีกข้างหนึ่งและพาเธอขึ้นไปส่งชั้นบน
ปกติผู้ชายจะถูกห้ามไม่ให้เข้าหอพักหญิง
แต่เหม่ยเสี่ยวเหวินที่เป็นหัวหน้าของชั้นเรียนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ผู้ดูแลประจำหอพักหญิงจึงคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี เมื่อเธอเห็นเขาเข้ามา เธอทำเพียงโบกมือให้เขาและปล่อยให้เขาเข้ามาง่าย ๆ
จากนั้นชายหนุ่มก็ทักทายผู้ดูแลหอพักที่เป็นหญิงวัยกลางคนอย่างสุภาพ เขากล่าวว่า “เพื่อนร่วมชั้นของผมเพิ่งกลับมามหาวิทยาลัยหลังจากหายจากอาการป่วยน่ะครับ”
ผู้ดูแลหอพักหันไปมองหน้ากู้เหนียนจื่อ
เธอเป็นนักเรียนที่อายุน้อยที่สุดในคณะนิติศาสตร์และเป็นนักเรียนระดับหัวกะทิ แน่นอนว่าผู้ดูแลหอพักจำเธอได้ทันที
“เหนียนจื่อ ตอนนี้เธอหายดีแล้วหรือยัง” หญิงวัยกลางคนยิ้มเมื่อเธอทักทายหญิงสาว “หัวหน้าห้องของเธอมีความรับผิดชอบมาก เขามาที่นี่วันละสามครั้งเพื่อถามว่าเธอกลับมาหรือยัง”
กู้เหนียนจื่อพยักหน้ายิ้ม ๆ เธอหยิบถุงขนมมามอบให้อีกฝ่าย "ขอบคุณนะคะ นี่เป็นของขวัญเล็กน้อยแทนคำขอบคุณของหนูค่ะ”
ผู้ดูแลหอพักยอมรับของขวัญของเธอเพราะมันก็แค่ขนมห่อหนึ่ง มันไม่ใช่เป็นการติดสินบนอะไร
หลังจากทักทายผู้ดูแลหอพักเสร็จ ทั้งสองคนก็เดินขึ้นไปชั้นบน ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูห้องของเธอ รูมเมทอีกสามคนของเธอที่อยู่ภายในห้องก็กรีดร้องใส่หน้าทั้งคู่ทันที
“เหนียนจื่อ เธอกลับมาแล้ว!”
“สาวน้อย ตอนนี้เธอดีขึ้นแล้วหรือยัง!”
“หัวหน้าเหม่ยไปรับเธอแล้วมาส่งที่นี่เองเลยเหรอ? โอ้ เธอต้องตอบแทนเขาแล้วล่ะ!”
บทที่ 32 : แก้ตัว
รูมเมทของกู้เหนียนจื่อร้องเสียงแหลมพร้อมกับวิ่งกรูกันเข้ามากอดเธอไว้
เหม่ยเสี่ยวเหวินยืนอยู่ข้างประตูและมองดูพวกเธอกอดกันกลม เขารู้สึกประทับใจเหนียนจื่ออย่างมาก เนื่องจากรูมเมทสามคนของเธอแต่ละคนล้วนแต่มีชื่อเสียงและความสามารถ
คนที่อายุมากที่สุดในห้องนี้คือ ฟ่างเหวินซิน หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า 'ยัยหนูชาเขียวฟ่าง' การถูกเรียกแบบนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นเทพธิดาของผู้ชายทุกคนและเป็นศัตรูกับผู้หญิงทุกคน
คนถัดมาคือ เฉาหยุนซาน เธอมีฉายาว่า 'คุณหนูผู้สูงส่ง' หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า 'คุณหนูเฉา' ว่ากันว่าบรรพบุรุษคนหนึ่งของเธอเป็นนางสนม เธอเป็นคนที่มีกิริยาที่สูงส่งและมีเกียรติ ไม่ว่าใครที่พบเห็นเธอก็จะรู้สึกยำเกรง อาจเพราะว่าเธอสืบทอดสายเลือดจากตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง
ส่วนคนที่สามคือ หวังจุนหยา เธอมีอายุน้อยที่สุดในสามคนนี้ เธอนั้นทั้งน่าทึ่งและมีเสน่ห์เหลือล้น เธอเป็นที่รู้จักในนามว่า 'นางมารน้อย' ชายใดก็ตามที่ได้มองเธอเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ชายผู้นั้นก็จะตกหลุมรักเธอได้ทันที และเสน่ห์เย้ายวนของเธอทำให้คนที่ได้พบเห็นต้องมองจนเหลียวหลัง
แต่แม้ว่ากู้เหนียนจื่อจะเป็นนักศึกษาที่เพิ่งย้ายมาและยังเป็นเด็กกำพร้าที่มีภูมิหลังเป็นครอบครัวระดับปานกลาง แต่หญิงสาวสามคนนี้ยังปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดีและดูแลเธอเหมือนเป็นน้องสาวมาตลอด
“อะไรจะตื่นเต้นขนาดนั้น อย่าไปทำให้เหนียนจื่อของเรากลัวสิ” เหม่ยเสี่ยวเหวินถือกระเป๋าเป้สะพายหลังของกู้เหนียนจื่อและลากกระเป๋าเดินทางของเธอตามมาขณะที่เขาเดินเข้ามาในห้อง
“นี่หัวหน้าไปรับเธอเองเลยเหรอ? เหนียนจื่อ เป็นเกียรติสุด ๆ ไปเลย!” นางมารน้อยแอบขยิบตาให้กู้เหนียนจื่อ
น้องเล็กของห้องกลอกตาแล้วพูดขึ้นมาว่า “พูดเหมือนกับหัวหน้าเหม่ยไม่เคยไปรับคนในชั้นเรียนที่ป่วยจนเข้าโรงพยาบาลอย่างนั้นแหละ”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย สาวน้อย! เธอนี่เถียงฉันกลับได้ตลอดเลยนะ!” หวังจุนหยาตีไหล่ของเธอเบา ๆ แล้วเหลือบมองหัวหน้าหนุ่ม “หัวหน้าเหม่ย ฉันช่วยนายได้แค่นี้แหละ ถึงน้องสาวของเราอาจจะยังเด็ก แต่เธอไม่ใช่พวกที่โดนหลอกง่ายเหมือนเด็กปี 1 ปี 2 หรอกนะ!”
“ฉันจริงใจนะ ไม่ใช่ความรู้สึกปลอม ๆ สักหน่อย” เหม่ยเสี่ยวเหวินไม่ได้รู้สึกอายเลย
'ดูเหมือนว่ารูมเมทของฉันจะรู้เรื่องเขามานานแล้ว' กู้เหนียนจื่อเพิ่งเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูด
ในขณะเดียวกันคุณหนูเฉาเดินไปช่วยกู้เหนียนจื่อนำกระเป๋าเป้สะพายหลังและกระเป๋าเดินทางจากชายหนุ่มไปวางไว้ที่โต๊ะของเธอเงียบ ๆ
ส่วนยัยหนูชาเขียวฟ่างเท้าแขนอยู่บนโต๊ะและยกยิ้มเจ้าเล่ห์มองไปที่เหม่ยเสี่ยวเหวิน “หัวหน้าเหม่ย ฉันเห็นว่าแก้มของนายแดงนิด ๆ นะ แล้วก็ใบหน้าของนายก็ดูเปล่งปลั่งขึ้น มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า เอางี้ไหม นายพาเราไปเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นการฉลองที่เหนียนจื่อหายป่วยดีไหม?”
ผู้เป็นหัวหน้าห้องหมุนกุญแจรถในมือเล่นขณะยืนอยู่ที่ประตูแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา คืนนี้ฉันจะจัดการเอง แต่…” เขาหันไปมองกู้เหนียนจื่อก่อนจะพูดกับเธอว่า “เหนียนจื่อ ฉันคิดว่าเธอควรไปรายงานตัวที่คณะก่อน”
หญิงสาวรีบเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าเป้สะพายหลังเพื่อหาใบรับรองแพทย์ที่เฉินหลายเขียนให้เธอ “ฉันกำลังจะไป”
“ไปพร้อมกันเลยสิ ฉันมีเรื่องจะไปจัดการที่สำนักงานสมาคมนักศึกษาคณะนิติศาสตร์อยู่เหมือนกัน” นอกจากเป็นหัวหน้าห้องแล้ว เหม่ยเสี่ยวเหวินยังเป็นนายกสมาคมนักศึกษาคณะนิติศาสตร์อีกด้วย เขาเดินไปวางมือบนไหล่ของอีกฝ่ายและเดินนำเธอออกไป
กู้เหนียนจื่อเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพยายามปั้นหน้านิ่งแต่สับขาเร็วขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงมือที่กำลังใกล้เข้ามาของชายหนุ่ม “หัวหน้าเหม่ย ฉันยังต้องไปพบอาจารย์หลายคนเพื่อรายงานตัว พวกเขาคงจะไม่พอใจที่ฉันขาดเรียนไปนานถึง 1 อาทิตย์”
เหม่ยเสี่ยวเหวินเดินตามเธอออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
รูมเมทสาวทั้งสามขยิบตาให้กันแล้วหัวเราะ “ดูเหมือนว่า สาวน้อยของเราจะเติบโตขึ้นแล้ว!”
…
ในขณะที่เหม่ยเสี่ยวเหวินและกู้เหนียนจื่อเดินออกมาจากหอพัก จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “เธอไม่จำเป็นต้องเอาใบลาไปให้อาจารย์เพราะว่าครอบครัวของเธอได้แจ้งทางมหาวิทยาลัยไว้แล้ว”
"ห้ะ?" หญิงสาวรู้สึกสับสน “แล้วนายบอกให้ฉันไปรายงานตัวที่คณะทำไม”
“ฉันจะให้เธอไปแก้ตัว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้คือไปหาศาสตราจารย์เฮอเพื่อขอโอกาสสัมภาษณ์อีกครั้ง” หัวหน้าหนุ่มพาเธอไปที่รถของเขาและเปิดประตูให้ “ฉันรู้มาว่าศาสตราจารย์เฮออยู่ในตึกผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัย ฉันจะพาเธอไป เธอเอาใบรับรองแพทย์ของเธอไปให้เขาแล้วขอโอกาสสัมภาษณ์อีกครั้งเถอะ”
กู้เหนียนจื่อไม่คิดว่าเธอจะได้เจอกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่เธอนับถืออย่างเฮอจือชูทันทีที่เธอกลับมา จู่ ๆ เธอก็รู้สึกประหม่าจนกำใบรับรองแพทย์ในมือแน่นแล้วพูดตะกุกตะกัก “หัวหน้าเหม่ย เอ่อ… ศะ-ศาสตราจารย์เขาเป็นคนคุยด้วยง่ายไหม”
“เธอเรียกฉันว่าหัวหน้าเหม่ยอีกแล้วนะ ถ้าเธอไม่เรียกชื่อฉัน ฉันจะไม่บอกอะไรเธอเลย” ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่พอใจ แล้วทำหน้ามุ่ยใส่เธอ
หญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมาจนทำให้ใจเขาละลาย “อย่าใจร้อนสิ หัวหน้าเหม่ย ฉันต้องถามครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องนี้และขอความเห็นจากพวกเขาก่อน”
“ยังไม่เรียกตอนนี้ก็ไม่เป็นไร” เหม่ยเสี่ยวเหวินหมุนพวงมาลัยเพื่อกลับรถ เขาไม่ได้เซ้าซี้อะไรเธออีก เขามั่นใจว่าเขาจะเอาชนะใจเธอได้
กู้เหนียนจื่อหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาและคิดทบทวนชั่วครู่ “งั้นฉันจะลองดู”
เธอโทรหาฮัวเฉาเหิงครั้งแรก เธอถือสายรอเป็นเวลานาน แต่เขากลับไม่รับสาย
จากนั้นเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโทรหาเฉินหลาย ในทางกลับกัน เฉินหลายรับสายทันที
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดอะไร เขาก็รีบถามทันทีว่า “เหนียนจื่อ มีอะไร เธอไม่สบายหรือเปล่า เธออยู่ที่ไหน? ฉันจะไปรับเธอทันที!”
กู้เหนียนจื่อคิดทันทีว่าหมอหนุ่มได้รับอิทธิพลจากอาชีพของเขามากเกินไป เขาคิดว่าเธอจะป่วยเวลาที่เธอโทรหาเขา
เธอส่ายหัวก่อนจะตอบกลับไปว่า “ฉันไม่ได้เป็นอะไร พี่เฉินโอเคหรือเปล่าเนี่ย?”
“เธอสบายดีใช่ไหม? ดีมาก! แล้วโทรมามีอะไรหรือเปล่า” เฉินหลายถอนหายใจด้วยความโล่งอกมากจนปลายสายได้ยินผ่านทางโทรศัพท์
คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อยขณะที่เธอลดเสียงลงและหันไปคุยทางหน้าต่างรถ เธอถามอย่างลังเลว่า “พี่เฉิน คือว่า พี่… พี่รู้เบอร์โทรศัพท์ของอาฮัวไหม”
ในขั้นต้นกู้เหนียนจื่อต้องการถามความคิดเห็นเฉินหลายเรื่องหัวหน้าเหม่ย แต่เธอไม่รู้จะเริ่มต้นพูดว่ายังไง เธอจึงถามเบอร์ของฮัวเฉาเหิงแทน
คนเป็นหมอหัวเราะ “อะไรกัน ทำไมเธอถึงถามหาเบอร์ของเจ้านาย เกิดอะไรขึ้น? ต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า” เขาพูดพลางมองดูกำหนดการของท่านนายพล “ตอนนี้เขากลับไปที่ฐาน เขาจะติดต่อได้ยากหน่อย”
"อ่า" ฝ่ายที่ได้ยินอย่างนั้นรู้สึกผิดหวัง เธอตั้งใจจะวางสาย แต่เห็นเหม่ยเสี่ยวเหวินเหลือบมองมาอีกครั้ง เธออายเกินกว่าจะมองหน้าเขา เธอจึง ใช้เวลาหายใจเข้าลึก ๆ และบ่นว่า “พี่เฉิน เอ่อ พอดีว่า..เพื่อนร่วมชั้นของฉันมาขอจีบ แล้วถามว่าจะให้โอกาสเขาได้ไหม ฉันเลยอยาก… ฉันอยากจะถาม… ความคิดเห็นของพวกพี่น่ะ…”
“ปล่อยให้เขาจีบไปเหอะ ทำไมต้องขออนุญาตด้วย” เฉินหลายทำหน้าบูดบึ้งแล้วถามด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ว่า “เพื่อนร่วมชั้นที่ว่าคือหัวหน้าเหม่ยหรือเปล่า?”
กู้เหนียนจื่อกะพริบตาปริบ ๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก
“ถ้าเป็นกรณีนี้ ก็ถือว่าสำคัญมาก นี่เป็นแฟนคนแรกของเหนียนจื่อเลย เราต้องระวัง ฉันขอเจ้านายแทนเธอได้นะ ยังไงเขาก็เป็นผู้ปกครองของเธอ”
หญิงสาวพยักหน้า แล้วจู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอและเธออดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “พี่เฉิน ช่วงนี้อาฮัวยุ่งเรื่องงานมากไหม”
“ก็น่าจะไม่เท่าไหร่ สองสามวันก่อนเขายุ่งมาก แต่ตอนนี้เขาเคลียร์งานจบแล้ว มีอะไรเหรอ?"
“แล้ว...เขามีแฟนหรือยัง” กู้เหนียนจื่อถามด้วยความสงสัย
ครั้งสุดท้ายที่ฮัวเฉารับโทรศัพท์ เขาให้เธอเรียกเขาว่าอา และห้ามไม่ให้เธอเรียกเขาว่าฮัวเฉาเหมือนที่เธอเคยเรียกอีก ราวกับว่าเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อนึกย้อนกลับไปในวันที่ชายหนุ่มเรียกเธอว่า ‘ที่รัก’ โดยไม่ได้ตั้งใจ กู้เหนียนจื่อรู้สึกว่าเขาอาจจะ...ถึงเวลาแล้วที่...เขาจะมีแฟน
"ห้ะ? อันนี้ฉันไม่แน่ใจ” เฉินหลายอ้าปากค้าง "เธอถามอย่างนั้นทำไม?"
“ไม่มีอะไร ฉันแค่ถามเฉย ๆ ถึงเวลาที่อาฮัวจะมีแฟนได้แล้ว” เมื่อเห็นว่าแม้แต่หมอหนุ่มก็ไม่รู้ กู้เหนียนจื่อก็ไม่พูดอะไรอีก แต่เธอไม่สามารถลืมท่าทีของฮัวเฉาเหิงได้เลย
ทุกวันเสาร์ เวลา 15:00