"บางครั้ง ความลับที่เราไม่อาจหยั่งถึงก็คืบคลานผ่านเงามืดของลอนดอน"
"บางครั้ง ความลับที่เราไม่อาจหยั่งถึงก็คืบคลานผ่านเงามืดของลอนดอน"
บทที่ 8 : วิ่งสิ เจน วิ่ง (7)
ในบางครั้งขณะเล่นเกมเสมือนจริง เราอาจรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกนั้นอย่างแท้จริง แต่ไม่เคยถึงขั้นนี้มาก่อนเลย
เกมเสมือนจริงต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งตัว ย่อมทำให้เหนื่อยล้าจนต้องหยุดพักบ้างเป็นธรรมดา ทว่าเวลาที่ฉันรับรู้ในตอนนี้... กลับยาวนานเกินแปดชั่วโมงแล้ว และสิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็คือ ฉันไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยเลยสักนิด
แม้จะควบคุมร่างของ “เจน” อยู่ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความอ่อนเพลียทางกาย การตัดสินใจและการเคลื่อนไหวภายในเวลาจำกัดกลับไม่สร้างความกดดัน มีเพียงความรู้สึกสดชื่น คล้ายผู้ที่เพิ่งตื่นจากการหลับอันยาวนานและสงบสุข
ฉันสงสัย นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
แต่ก่อนที่ความคิดนั้นจะตกผลึก ราวกับมีบางสิ่งมาปิดกั้น ความสงสัยทั้งหมดก็เลือนหายไปพร้อมกับเสียงกระซิบเย้ายวนในใจ
“เล่นต่อสิ ทำไมต้องหยุดล่ะ วันนี้อากาศดี... สนุกออกจะตายไป”
“จำเป็นต้องหยุดด้วยหรือ” ฉันพึมพำตอบโดยไม่รู้ตัว
คุณคงเข้าใจแล้วสิน ว่าฉันรู้สึกหลงใหลในเกมนี้เพียงใด ทั้งตื่นเต้น ทั้งพอใจ จนการเล่นต่อไปอีกหน่อยดูไม่น่ามีปัญหาอะไรเลย
ทว่า—
จู่ ๆ ชาร้อนที่อยู่บนโต๊ะก็หกพราดลงมาราดใส่ตักฉันอย่างจัง ความร้อนแล่นพล่านจนต้องสะดุ้งเฮือก
ฉันรู้สึกร้อน!
ทำไมถึงรู้สึกได้ล่ะ?
นี่มันก็แค่เกมไม่ใช่หรือ?
ฉันเพียงสวมแว่นและชุดควบคุม แล้วทำไมถึงสัมผัสได้ถึงความแสบไหม้แบบนี้?
สติกลับคืนมาในพริบตา ความสบายลวงตาเมื่อครู่สลายหาย เหลือเพียงความหวาดกลัวที่เย็นเฉียบขึ้นตามแนวกระดูกสันหลัง
ทำไมฉันถึงยังออกจากเกมไม่ได้?
นั่นต่างหากคือสิ่งน่าสะพรึงที่สุด
ฉันพยายามกดออกจากเกม แต่ระบบกลับไม่ตอบสนองอีกต่อไป ฉันไม่รู้สึกถึงคันบังคับในมือ ไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของอุปกรณ์บนศีรษะหรือหู และแม้แต่ความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ใกล้ตัวก็หายไป
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ฉันเงยหน้าขึ้น ความกลัวคืบคลานราวเถาวัลย์รัดสติจนแทบขาดใจ
นี่มันอะไรกัน? ฉันอยู่ที่ไหน? แล้วฉันคือใครกันแน่?
ในแอ่งน้ำชาที่หกกระเซ็นบนพื้นมีสตรีคนหนึ่งมองตอบกลับมา เธอผิวขาวซีด มีผมสีอ่อนและใบหน้าเรียบง่ายธรรมดา เธอทำท่าทางเดียวกับฉันทุกประการ ยกมือปิดปาก หอบหายใจรัวด้วยจังหวะเดียวกัน
กลิ่นชาหอมกรุ่นแตะจมูก ฉันสัมผัสได้ถึงเนื้อกระดาษในมือ แข็ง แห้ง มีเสียงยับย่น ฉันรู้สึกถึงความอุ่นของเรือนกายและแรงเต้นของหัวใจในร่างที่ไม่ใช่ของตัวเอง
แล้วเสียงของเลียม มัวร์ก็ดังขึ้น
“เจน”
ราวกับกระแสน้ำที่ถอยกลับ ทิ้งให้ตะกอนโคลนเผยให้เห็นผืนดินแท้จริงของมัน ฉันรับรู้ได้ถึงตนเองอย่างกระจ่าง
กำแพงแห่งความเชื่อที่ว่า “นี่ก็แค่เกม” พังทลายลง ความรู้สึกทุกประการหลอมรวมเข้ากับโลกตรงหน้าอย่างสมบูรณ์
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ ตั้งแต่เมื่อไรที่กลายเป็นแบบนี้?
เมื่อย้อนคิดดู มันก็ไม่น่าประหลาดเลย หากนี่เป็นเพียงเกมธรรมดา ฉันคงไม่มีวันจดจำรสชาติอาหารที่ปรุงจาก “ข้อมูลและพิกเซล” ได้ หรือกลิ่นคาวศพที่ยังติดอยู่ในความทรงจำก็คงไม่สมจริงถึงเพียงนี้ เบาะแสอยู่ตรงหน้ามาตลอด เพียงแต่ฉันไม่ยอมรับเท่านั้นเอง
ตอนนี้มีเพียงหนทางเดียวนั่นคือต้องยอมรับความจริงอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาสติไว้ หากปล่อยให้ความตระหนกกลืนกินย่อมไม่มีทางหาทางออกได้
โชคยังดีระบบทั้งหมดในเกมยังทำงาน ยกเว้นปุ่มออกเท่านั้น ดูเหมือนมีเพียงฉันที่ “กลายเป็นส่วนหนึ่ง” ของลอนดอนเสมือนนี้ หากไปบอกใครคงถูกหาว่าบ้าแน่
แผนที่ขนาดย่อที่มุมขวาบนของสายตายังคงส่องแสง รายการภารกิจใต้แผนที่ก็เช่นกัน การเปิดหน้าต่างเมนูยังคงหยุดเวลาไว้ได้ รายชื่อหลักฐาน ภาพถ่ายในเกม และช่องบันทึกข้อมูลยังอยู่ครบ และที่น่ายินดีที่สุดคือดูเหมือนฉันจะไม่ตายถาวรในที่แห่งนี้ อย่างน้อยก็เป็นความสบายใจอย่างหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องหาคำตอบให้ได้ ว่าทำไมฉันถึงรับรู้ทุกสิ่งในนี้ราวกับของจริง
ร่างของเจนขยับได้ตามใจฉันอย่างสมบูรณ์ เธอเหมือนหุ่นไร้วิญญาณที่รอให้ใครบางคนเข้ามาสิงสู่
ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเลียม มัวร์ ดวงตาสีเทาของเขาว่างเปล่าดังเช่นตัวละครในเกม เสียงพูดของเขาราบเรียบเย็นชาเหมือนถูกปรับแต่งด้วยเครื่องเสียงอัตโนมัติ ทว่าแววหน้าและท่าทีของเขากลับดูมีชีวิตชีวาจนน่าประหลาด
คนอื่นในสถานการณ์เช่นนี้อาจขวัญหนีดีฝ่อ แต่ฉันกลับรู้สึกโล่งใจ
ใช่… นี่มันยังเป็นเกมอยู่ ฉันแค่หาทางออกไม่เจอเท่านั้นเอง
“เลียม บิ๊กเบน!” ฉันร้องเรียกพลางคว้าแขนเขาไว้แน่น
“มีอะไรหรือ เจน” เขาถามกลับด้วยความงุนงง
“เป้าหมายของฆาตกร! ดูสิ แผนที่นี่ พวกเขาเคลื่อนไหวเป็นวงกลม เหมือนกำลังมุ่งไปยังจุดเดียว! พวกเขามาถึงย่านเบลเกรเวียกับบักกิงแฮมแล้ว มันอาจเป็นสัญญาณเตือนหรือข้อความลับให้พวกพ้องตามรอยต่อไปก็ได้”
ฉันคว้าปากกาที่โยนทิ้งไว้ขึ้นมา เขียนเส้นเชื่อมต่อบนแผนที่ซึ่งเต็มไปด้วยเศษหนังสือพิมพ์ เชือก และหมึกสี เส้นเหล่านั้นค่อย ๆ ประกอบกันเป็นรูปดาวห้าแฉกมีบิ๊กเบนอยู่ตรงกลางพอดี
“เห็นไหม ถ้าเชื่อมต่อแบบนี้จุดศูนย์กลางคือบิ๊กเบน หมายความว่าที่นั่นคือปลายทาง ฉันเชื่อว่ายังมีศพอีกหลายรายที่เรายังไม่พบ โดยเฉพาะในย่านสลัมทางตะวันออกของลอนดอนที่ความตายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว... วงจรการฆ่ากำลังเร่งขึ้น เราต้องส่งตำรวจไปตรึงเส้นทางนี้ภายในคืนนี้ให้ได้”
เลียม มัวร์มองฉันพูดพล่ามด้วยแววตากังวล ก่อนจะจับแขนฉันให้ลุกขึ้นแล้วพาไปนั่งยังเก้าอี้นวมข้างเตาผิง
“เจน… คุณกำลังตื่นเต้นเกินไปแล้ว” เสียงเขาสงบนุ่มนวลจนทำให้หัวใจฉันค่อยคลายความตึงเครียด
เมื่อฉันนั่งนิ่ง เขาแตะหน้าผากเบา ๆ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้า กลิ่นชาอุ่นลอยอ้อยอิ่งขณะความแสบร้อนที่หัวเข่ากลับมาทำให้ฉันสะดุ้งอีกครั้ง
เลียมเลิกกระโปรงฉันขึ้นเพื่อตรวจดูรอยไหม้อย่างไม่เกรงกลัว เขาสรุปว่าแผลไม่ร้ายแรงนักก่อนจะกลับไปนั่งบนโซฟาอีกฝั่ง
“ที่จริง... ผมก็ได้ยินเรื่องคล้ายกัน”
“เกี่ยวกับบิ๊กเบนหรือคะ”
“ไม่ใช่ แต่เราตามรอยพวกมันได้แล้ว คุณอาจยังไม่รู้ว่าในลอนดอนมีศาสนามากมายไม่ใช่แค่ของคริสตจักรอังกฤษหรือกรีกออร์โธดอกซ์ บางกลุ่มไม่ได้รับการยอมรับจากวาติกันหรืออาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์บิวรี… หากคุณกล้าพอ เราอาจไปดูด้วยกันได้”
เขาแค่นยิ้มบาง “แต่ผมต้องขอเตือนก่อน มันอาจไม่ใช่ที่ที่สุภาพสตรีอย่างคุณควรไปเหยียบ”
ฉันอดขำไม่ได้ที่เขาบอกว่าได้ข้อมูลจาก ชมรมสังคม ของเหล่าผู้ดี
พวกที่หมกตัวในโลกของตนเอง สนใจแต่เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติมากกว่าความจริง ฟังดูเหลวไหลแต่หากคำตอบอยู่ที่นั่น ฉันก็พร้อมจะไป
“งั้นเราออกไปเดี๋ยวนี้กันเถอะค่ะ”
เลียมยกนิ้วขึ้นห้าม “ก่อนอื่นคุณต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน”
“อ้อ…”
“ควรสวมชุดที่เคลื่อนไหวได้คล่อง ผมชอบเวลาคุณสวมชุดสุภาพสตรี แต่คืนนี้เราอาจต้องวิ่งอีกหลายไมล์”
ฉันเลิกคิ้วแล้วเตะเขาเบา ๆ ด้วยความหมั่นไส้ เขาหัวเราะพลางหลบ
ไม่นานฉันก็กลับมาในชุดเรียบง่าย ใช้เทคนิคปลอมตัวบางส่วนที่เขาเคยสอน เขาปรบมืออย่างพอใจ
“เยี่ยม… ผมคงนึกว่าคุณเป็นเด็กชายแล้วหากไม่สังเกตดี ๆ ปลายทางของเราคืนนี้คือ... วิทมอร์ การ์เดนส์”
“ที่นั่นมีอะไรนอกจากสวนควีนส์ปาร์กหรือคะ” ฉันถาม
เลียม มัวร์ คลี่ยิ้มลึกลับ ในนัยน์ตาแฝงแสงเยียบเย็น
“บางครั้ ความลับของลอนดอนก็ไม่ได้ซ่อนอยู่ในแสงไฟ แต่คืบคลานอยู่ในเงามืดที่ผู้คนมองไม่เห็น... ว่ามั้ย คุณหนูเจน ออสเมอนด์”