"บางครั้ง ความลับที่เราไม่อาจหยั่งถึงก็คืบคลานผ่านเงามืดของลอนดอน"
"บางครั้ง ความลับที่เราไม่อาจหยั่งถึงก็คืบคลานผ่านเงามืดของลอนดอน"
บทที่ 7 : วิ่งสิ เจน วิ่ง (6)
“เสียงกรีดร้องนั้นดังมาจากใกล้ ๆ ไฮด์พาร์ก ผมเลยรีบวิ่งตรงไปทางนั้น” เลียมเล่า น้ำเสียงเยือกเย็นแต่แฝงแรงสั่นสะเทือน
“ท่ามกลางหมอกหนา ผมเห็นเงาคนหนึ่งโผล่ออกมา เท้าเปล่า ผมยุ่งเหยิง เลือดเปรอะทั่วตัว ตอนแรกผมไม่ได้คิดเลยว่านั่นจะเป็นคนร้าย ผมคิดว่าเขาอาจเป็นเหยื่อที่หนีรอดมาได้จึงพยายามเข้าไปพูดด้วย แต่กลับ…”
เลียมหยุดเพื่อจิบบรั่นดีผสมโซดา ก่อนจะพูดต่อเบา ๆ
“เขา...เหมือนเสียสติ เหมือนสุนัขบ้าที่กำลังคลั่ง ฟองฟอดออกจากปาก ดวงตาขยายโตจนเห็นแต่ตาดำ เขาคำรามต่ำเหมือนสัตว์ แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือผมไม่พบกลิ่นของยาเลย คุณก็รู้ดีนี่ เจน ผมมีจมูกไวพอจะแยกสารเสพติดได้จากอาการของคน แต่คน ๆ นี้...หรือจะเรียกว่าสิ่งนั้นดีกว่า มันมีสติชัดเจนยิ่งกว่าใคร ทว่า...ไม่ใช่มนุษย์”
ฉันพยายามสลัดความสับสนออกแล้วคิดตามอย่างเป็นระบบ ถ้ามันดูเหมือนมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์...แปลว่ามันคืออะไร?
มันยังเคลื่อนไหวได้หลังถูกยิงกระสุนแรก แสดงว่ามันไม่รู้สึกเจ็บ แต่พอต้องกระสุนที่สองถึงตายนั่นหมายความว่ามันยังมี “ขีดจำกัด” ของความเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่บ้าง แล้วอะไรล่ะที่ทำให้มันแข็งแรงผิดธรรมชาติขนาดนั้น? มันถูกกระตุ้นด้วยยา หรือมีบางสิ่งมากกว่านั้น?
ฉันนึกถึงสิ่งที่สารวัตรเจฟเฟอร์สันพูดเมื่อคืน คนร้ายนั้นมีมีดล่าสัตว์ในมือซึ่งตรงกับอาวุธที่เราคาดไว้ไม่ผิด จะเป็นไปได้ไหมว่าคนที่โจมตีเลียมคือตัวเดียวกับที่ฆ่ามิสเตอร์เออย่างโหดเหี้ยม
เลียมวางแก้วลง ใช้มือซ้ายจับขอบโต๊ะไว้แน่น ซึ่งฉันเพิ่งสังเกตว่าเขาไม่ถนัดมือซ้ายนัก บางทีบาดแผลที่หัวไหล่อาจยังปวดอยู่
“เจน คุณควรกลับไปพักที่ห้อง ผมเสียใจที่ทำให้คุณต้องตกใจกลางดึก ส่วนสารวัตรเจฟเฟอร์สัน...คุณอยู่ที่นี่คืนนี้จะปลอดภัยกว่า หมอกยังหนาเกินกว่าจะออกไปไหน”
“ผมก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่อยากขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์พรุ่งนี้หรอก”
“ไม่มีใครอยากเหมือนกัน” เลียมตอบเรียบ ๆ
เมื่อฉันลืมตาอีกครั้ง แสงอาทิตย์ยามเช้าก็ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาแล้ว
ฉันยังอยู่ดีปลอดภัยเหมือนผ่านค่ำคืนยาวนานมาได้อีกหนึ่งวัน
ฉันหยิบสมุดบันทึกข้างเตียงขึ้นมาอัปเดตข้อมูลใหม่ตามนิสัย ก่อนจะลุกไปตรวจกลอนหน้าต่างอย่างระมัดระวัง บางครั้งฉันอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองอาจมีอาการย้ำคิดย้ำทำเล็กน้อยเหมือนนักปรัชญาอิมมานูเอล คานท์ ที่ใช้ชีวิตตามตารางเป๊ะทุกชั่วโมง
“อรุณสวัสดิ์ เจน”
กลิ่นเบคอนทอดกรอบและไข่ดาวลอยมาแตะจมูก ฉันเห็นจอร์จลูกชายของเจ้าของบ้านถือถาดอาหารเช้ามาเสิร์ฟอย่างขยันขันแข็ง
“สารวัตรกลับไปแล้วเหรอคะ” ฉันถาม
เลียมที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะชงชาดื่มพลางอ่านหนังสือพิมพ์ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบ “เขาออกไปตอนฟ้าสาง บอกว่าต้องรีบรายงานเรื่องเมื่อคืนให้สกอตแลนด์ยาร์ดฟังโดยเร็ว…เป็นคนรับผิดชอบดีทีเดียว”
“อย่าพูดเหน็บแนมสิ สกอตแลนด์ยาร์ดก็แค่ทำหน้าที่ของเขา”
เลียมหัวเราะในลำคอ “ก็ใช่ ถึงจะทำได้ไม่ดีนักก็ตาม”
ฉันกลอกตาอย่างเหนื่อยใจ นั่นแหละเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ค่อยอยากร่วมงานกับเขา ถึงอย่างนั้นเลียม มัวร์ ก็ยังเป็นที่ปรึกษาให้สกอตแลนด์ยาร์ดอย่างไม่เป็นทางการอยู่ดี
“มีข่าวอะไรบ้างไหมคะ” ฉันถามพลางหยิบหนังสือพิมพ์อีกฉบับขึ้นมา
“ข่าวเมื่อคืนลงแล้ว” เขาตอบโดยไม่ละสายตาจากหน้ากระดาษ
“ไม่แปลกหรอก เสียงปืนกลางเมือง ใครจะไม่รู้”
เลียมเป็นคนชอบอ่านหนังสือพิมพ์หลายสำนักในแต่ละวัน เพราะเชื่อว่าความจริงต้องอาศัยการเปรียบเทียบจากหลายแหล่งไม่ใช่เชื่อแหล่งเดียว ฉันเคยคิดว่านิสัยแบบนี้ช่างยุ่งยากแต่ก็เริ่มชินจนกลายเป็นกิจวัตรเหมือนกัน
ขณะที่เขาอ่านอยู่ ฉันก็เปิดดูอีกฉบับหนึ่ง จนไปสะดุดกับข่าวที่ทำให้ต้องชะงักมือ
[พบศพเหยื่อรายที่หกใกล้ไฮด์พาร์กเวลาประมาณตีสองยี่สิบห้า ศพเหยื่อรายที่หกถูกพบใกล้ถนนพาร์ก สตรีท เขตแพดดิงตัน ฆาตกรลึกลับที่ผู้คนขนานนามว่า “ฆาตกรในหมอก” ได้เพิ่มเหยื่ออีกหนึ่งราย เจ้าหน้าที่สกอตแลนด์ยาร์ดยิงใส่สองนัด แต่คนร้ายหลบหนีไปในหมอกหนา…]
ถนนพาร์กสตรีท นั่นมันที่ที่ฉันเดินกับสารวัตรบริกซ์ตันเมื่อวันก่อนนี่นา!
การที่มีเหยื่อโผล่ตรงนั้นแปลว่าข้อสันนิษฐานของฉันถูกต้องอย่างหนึ่งแล้ว
“วันที่สอง ถ้าไปที่ไฮด์พาร์ก...จะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น” ฉันพึมพำเบา ๆ
มีเพียงชายที่ถืออาวุธเท่านั้นที่ไม่ตาย เขาอาจจะหลีกเลี่ยงธงแห่งความตายได้ หรือไม่ก็...มีปัจจัยบางอย่างที่เรายังไม่เข้าใจ
ฉันสังเกตว่าในข่าวไม่มีการกล่าวถึงการยิงของเลียมเลย ดูเหมือนตำรวจจะปิดข่าวนั้นไว้แน่นหนา
“วันนี้คุณจะไปไหนหรือคะ” ฉันถาม
“ชมรมสังคม” เขาตอบสั้น ๆ “ผมตั้งใจจะไปหาข่าวสักหน่อย”
“ชมรมสังคม?” ฉันทวนเสียงสูง
ฉันรู้ดีว่าพวกสุภาพบุรุษจากโรงเรียนมัธยมชั้นสูงมักเรียนต่อที่ออกซ์ฟอร์ดหรือเคมบริดจ์ แล้วก่อตั้งชมรมสุดหรูไว้พบปะกันในลอนดอน เป็นที่แสดงสถานะของชนชั้นสูงที่ชอบใช้ชีวิตหรูหราและห่างเหินจากความเป็นจริง
“คุณไปที่แบบนั้นด้วยหรือ” ฉันเลิกคิ้วถาม
เลียมหัวเราะเบา ๆ “บางครั้งการพบคนพวกนั้นก็มีประโยชน์นะ”
“ฉันไม่เชื่อเท่าไหร่หรอก” ฉันบ่นเบา ๆ แต่ไม่ได้ขัด
หลังจากส่งเลียมออกไปในชุดสูทเรียบร้อยจนดูเหมือนคุณชายจริง ๆ ฉันก็เริ่มต้นวันของตัวเองทันที
ฉันจัดเรียงแฟ้มหลักฐาน เปิดแท็บบันทึก ตรวจรายการคดีที่เพิ่งเข้ามาและลงมือทบทวนข้อมูลทั้งหมดอย่างจริงจัง แม้ตอนจอร์จจะเอาสโคนสดใหม่กับชามาชวน ฉันก็ยังจดจ่อกับกระดาษตรงหน้าไม่ยอมละสายตา
“เอ่อ…คุณออสเมอนด์รับ” เสียงจอร์จดังขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “คุณจะไม่ดื่มชาหน่อยหรือครับ”
ฉันถอนหายใจเบา ๆ พยายามไม่ให้เสียงแข็งเกินไป “เดี๋ยวฉันดื่มทีหลัง ขอบใจนะจอร์จ”
เด็กหนุ่มพยักหน้า แต่สายตาเขายังเต็มไปด้วยความผิดหวังก่อนจะเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปอีกราวชั่วโมงหนึ่ง ฉันก็เริ่มเห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น ฉันเคลียร์โต๊ะโล่งแล้วดึงแผนที่จากแอตลาสเล่มใหญ่ขึ้นมากาง
แผนที่กรุงลอนดอนเต็มไปด้วยรอยขีดและเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ฉันตัดมาปะเรียงทีละจุด เศษที่ไม่ต้องใช้ก็โยนใส่เตาผิงให้ไฟเผาเป็นสีส้มสลัว
ทีละคดี ทีละชื่อ พวกมันเชื่อมโยงกันช้า ๆ เส้นทางของความตายเริ่มเผยตัว
“ไหน ลองดูสิ…”
ศพทั้งหกราย ทุกคดีล้วนเกิดขึ้นในพื้นที่ที่บรรจบกันตรงจุดเดียว
บางคนอาจเดาว่าพวกมันกำลังขยับเข้าใกล้พระราชวังบักกิงแฮมจึงคิดว่าพระราชวังอาจเป็นเป้าหมาย แต่ไม่ใช่เลย มันเป็นแค่จุดที่บังเอิญอยู่ในแนวทางเท่านั้น
“พระเจ้า...ทำไมฉันถึงเพิ่งสังเกตเห็น!” ฉันอุทานเบา ๆ
เมื่อเชื่อมจุดทั้งหมดเข้าด้วยกัน เส้นรอบวงของมัน
ชี้ตรงไปยังบิ๊กเบน!
ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ความเยือกเย็นแล่นขึ้นตามสันหลัง ไม่ว่าพวกมันกำลังวางแผนอะไร...มันต้องไม่ใช่สิ่งดีแน่
แต่ทำไมต้องเอาหัวเหยื่อไป? คำถามนี้คงต้องไว้ทีหลัง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฉันต้องรีบไปหาเลียม
ฉันคว้าผ้าคลุมไหล่มาคลุมทับชุดกระโปรงทรงบัสเซิลอย่างลวก ๆ เตรียมวิ่งออกจากห้อง แต่ชั่วขณะหนึ่งฉันก็หยุดชะงักกลางทาง
เวลามันผ่านไปนานเกินไปแล้ว…