Your Wishlist

ข้าคือผู้สร้างยุคแห่งอัจฉริยะ!! (บทที่ 11 เด็กน้อยผู้ขี่เสือเข้าเมือง)

Author: 宅猪

พิชิตศัตรูสิ้น สยบใต้หล้า เจียงฮ่าวเริ่มต้นจากศิลปะการต่อสู้สู่วิถีเซียนด้วยพรสวรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด!

จำนวนตอน : Ongoing

บทที่ 11 เด็กน้อยผู้ขี่เสือเข้าเมือง

  • 11/07/2567

บทที่ 11 เด็กน้อยผู้ขี่เสือเข้าเมือง



ในตอนนี้ เจียงฮ่าวและจ้าวเฮยถ่าได้กลับมาถึงเมืองชางแล้ว

แต่การที่เจียงฮ่าวขี่ต้าหูเข้าเมืองนั้น ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายเล็กน้อยเพราะคนธรรมดาในเมืองชางไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน

ทุกคนต่างตกใจสุดขีด!

“นั่นเสือไม่ใช่รึ?!”

“เป็นเสือจริงๆด้วย! นอกจากนี้บนหลังของเสือยังมีเด็กที่ขี่มันอยู่ด้วยนะนั่นน่ะ!”

“ว่าอะไรนะ? เด็กขี่เสืองั้นรึ?”

“จะว่าไปเด็กบนหลังเสือนั่น...นายน้อยเจียงไม่ใช่รึนั่นน่ะ?!”

“นายน้อยเจียงแห่งจวนเจียงกำลังขี่ราชาแห่งขุนเขางั้นรึ?!”

“ไม่ผิดแน่ นอกจากนี้ข้างๆยังมีเจ้าสำนักเฮยถ่าด้วย ข้าเคยได้ยินมาว่านายน้อยเจียงตอนนี้เป็นศิษย์ของสำนักเฮยถ่า”

“แต่นายน้อยเจียงจะขี่เสือแบบนั้นได้อย่างไรกัน?”

เสือหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าราชาแห่งขุนเขานั้นเป็นฉายาของเสือ

นายพรานทั่วไปที่เข้าป่าแล้วได้เจอกับเสือโคร่งมักจะจบลงด้วยความตายทั้งสิ้น

แต่ตอนนี้ เจียงฮ่าวที่เป็นเด็กอายุเจ็ดขวบกลับสามารถขี่บนหลังเสือได้?

นอกจากนี้เสือตัวนั้นยังดูเชื่องอีกด้วย

แต่ว่า..มันจะเชื่องจริงๆหรือ?

ร่างกายที่ดูกำยำของเสือโคร่งนั้น เพียงแค่มันแยกเขี้ยวเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่ต้าหูได้เข้ามาในเมืองที่วุ่นวาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่กลับเดินอย่างสง่าผ่าเผย แววตาของมันนั้นเต็มไปด้วยความดุร้ายและความแข็งแกร่งจนทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างประหลาดใจ

ผู้คนที่มองออกต่างรู้ทันทีว่าเสือตัวนี้ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดีแล้ว

เสือที่ผ่านการฝึกมานั้นเป็นเสือที่หาได้ยาก แม้แต่เด็กๆที่ใจกล้าบางคนก็ถึงกับมามุงดู

ทุกคนต่างมองไปที่เจียงฮ่าวบนหลังของต้าหูด้วยความอิจฉาในสายตา

การที่เด็กน้อยขี่เสือเข้าเมืองนั้น ทำให้ทั้งเมืองฮือฮาจนแม้แต่จวนเจ้าเมืองก็ยังตื่นตัว

ผู้มีอำนาจของจวนเจ้าเมืองต่างพาเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบสถานที่ แต่เมื่อได้เห็นเจียงฮ่าวและจ้าวเฮยถ่า ทุกคนต่างก็โล่งใจ

“คารวะท่านเจ้าสำนักจ้าวและนายน้อยเจียงขอรับ”

“พวกเราได้รับข่าวว่ามีเสือเข้ามาในเมืองจึงรีบมาตรวจสอบ แต่ดูเหมือนว่าเสือตัวนี้จะถูกนายน้อยเจียงฝึกมาเป็นอย่างดีแล้วใช่ไหมขอรับ?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถาม

นี่เป็นการสอบถามตามปกติ เพราะสถานะของจ้าวเฮยถ่านั้นสูงส่งมากจนแม้แต่เจ้าหน้าตรวจตราของเมืองก็ยังต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ

จ้าวเฮยถ่าเองก็รู้ว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นตัวแทนของจวนเจ้าเมือง และมาที่นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของคนทั้งเมือง เพราะการที่เจียงฮ่าวขี่เสือเข้าเมืองจะต้องให้คำอธิบายที่เหมาะสม มิฉะนั้นถ้าหากเสือทำร้ายคนขึ้นมาจะทำอย่างไร?

“พวกท่านทั้งหลายโปรดวางใจ เสือตัวนี้มีสายเลือดของปีศาจเสือ ดังนั้นมันจึงมีสติปัญญาและมันก็ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นมันจะไม่ทำร้ายผู้คนแน่นอน” จ้าวเฮยถ่าพูดอย่างสงบ

“สายเลือดปีศาจเสือ?”

คนธรรมดาที่ได้ยินนั้นไม่เข้าใจ แต่เจ้าหน้ากลับโล่งใจลงมาเพราะพวกเขารู้ดีถึงความหมายของ “สายเลือดปีศาจเสือ” 

ตราบใดที่มี “สายเลือดปีศาจ” สัตว์ป่าหรือแมลงก็จะมีสติปัญญา

เมื่อมีสติปัญญาแล้ว มันก็จะไม่ใช่สัตว์ป่าธรรมดาอีกต่อไป ซึ่งมันสามารถถูกฝึกได้และหลังจากที่ถูกฝึกแล้วก็มันก็จะเชื่องและเป็นมิตรกับผู้คน

“ถ้าเช่นนั้น ขอให้นายน้อยเจียงดูแลสัตว์เลี้ยงของท่านให้ดีด้วยนะขอรับ”

“เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องมามุงดูแล้ว แยกย้ายกันไปได้แล้ว...”

แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะไล่ฝูงชนจนแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีคนที่แอบมองอยู่ห่างๆ

นักศิลปะการต่อสู้บางคนเองก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงต่างพากันอิจฉาเป็นอย่างมาก

“เสือที่มีสายเลือดปีศาจเสือรึ? เจียงฮ่าวนี่โชคดีจริงๆ”

“ก็แค่สัตว์เลี้ยงเสือตัวหนึ่งเท่านั้น เจ้ายังคิดว่ามันจะสามารถกลับคืนสู่สายเลือดปีศาจได้ด้วยสายเลือดเพียงเล็กน้อยนั่นได้งั้นรึ?”

“การกลับคืนสู่สายเลือดปีศาจนั้นเป็นไปได้ยาก นอกเสียจากจะมียาวิเศษ...แต่ใครกันที่จะยอมเสียยาวิเศษให้กับเสือแบบนั้นกัน?”

“แต่ว่าจ้าวเฮยถ่านี่ให้ความสำคัญกับเจียงฮ่าวมากจริงๆ ถึงกับไปจับเสือมาให้เจียงฮ่าวเลี้ยงด้วยตัวเองแบบนั้น...”

“ฮ่าๆๆๆ เมื่อเช้ามีข่าวลือออกมาจากสำนักเฮยถ่าแล้วว่าเจียงฮ่าวน่าจะสร้างพลังภายในขึ้นมาได้และได้กลายเป็นนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายในไปแล้ว”

“ว่าอะไรนะ? นักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายในด้วยอายุเพียงเจ็ดขวบงั้นรึ?!”

นักศิลปะการต่อสู้ในเมืองชางต่างตกใจ พวกเขาไม่ได้สนใจเสืออีกต่อไปเพราะพวกเขาเองก็สามารถจับเสือมาเลี้ยงได้อย่างง่ายดาย

แต่การที่เจียงฮ่าวสร้างพลังภายในและได้กลายเป็นนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายใน นั้นมันไม่เหมือนกัน

นักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายในด้วยอายุเพียงเจ็ดขวบ?

เรื่องแบบนี้มันน่าตกใจมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่จ้าวเฮยถ่าจะให้ความสำคัญกับเจียงฮ่าวมากขนาดนี้ ถึงขั้นลงมือจับเสือมาให้เจียงฮ่าวด้วยตัวเองแบบนั้น

ถ้าลูกศิษย์ของพวกเขามีพรสวรรค์เช่นนี้ พวกเขาก็จะจับเสือมาให้เลี้ยงสักหนึ่งร้อยตัวก็ยังได้

หลังจากนั้น เจียงฮ่าวและจ้าวเฮยถ่าจึงรีบกลับไปที่สำนักฝึกวิชา ซึ่งทางสำนักฝึกวิชาเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน

ศิษย์ทั่วไป ศิษย์ชั้นนอก หรือแม้แต่ศิษย์ชั้นในหลายคนต่างก็ออกมาต้อนรับเจียงฮ่าวและจ้าวเฮยถ่าที่ด้านหน้าสำนักฝึกวิชา

ศิษย์ทั่วไปและศิษย์ส่วนใหญ่ต่างมองเจียงฮ่าวที่อยู่บนหลังเสือด้วยความอิจฉา

“เอาล่ะ เจ้านั่งสบายมาตลอดทั้งทางแล้ว รีบเข้าสำนักฝึกวิชาเพื่อพูดคุยเรื่องสำคัญกันเถอะ” ในที่สุดจ้าวเฮยถ่าก็พูดขึ้น

“ขอรับท่านอาจารย์”

เจียงฮ่าวรู้สึกดีมากจริงๆ เพราะนี่เป็นการได้ขี่เสือเป็นครั้งแรกของเขา

เจียงฮ่าวจึงกระโดดลงจากหลังต้าหูแล้วพูดกับต้าหูว่า “อยู่ที่นี่ก่อนและห้ามทำร้ายคนอื่นๆนะ”

“โฮกก...”

ต้าหูคำรามเบาๆเป็นการตอบรับเจียงฮ่าว

เจียงฮ่าวพยักหน้า แล้วเดินตามจ้าวเฮยถ่าเข้าไปในสำนักฝึกวิชา

ต้าหูนอนราบลงบนพื้นและหลับตาพักผ่อน ส่วนการมุงดูของคนอื่นๆนั้นต้าหูไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย

ภายในสำนักฝึกวิชา จ้าวเฮยถ่าได้พูดกับเจียงฮ่าวว่า “เจียงฮ่าว ถึงแม้ว่าวิชาหมัดพยัคฆ์ของเจ้าจะไปถึงขั้นชี่ยวชาญเล็กน้อยแล้ว แต่เจ้าก็ยังประมาทไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจะต้องพยายามฝึกฝนให้ถึงระดับ เชี่ยวชาญขั้นสูงโดยเร็ว”

“ขอรับท่านอาจารย์ ศิษย์จะไม่ทำตัวประมาทขอรับ”

เจียงฮ่าวเองก็รู้ดีว่าวิชาหมัดพยัคฆ์ระดับเชี่ยวชาญขั้นสูงนั้นจะเพิ่มพลังให้เขาได้มากขึ้น

จ้าวเฮยถ่าที่วางใจในตัวเจียงฮ่าวจึงหยิบตำราสองเล่มออกมาจากห้องด้านในแล้วส่งให้เจียงฮ่าว

“ในเมื่อเจ้าเป็นนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายในแล้ว เจ้าก็ควรฝึกฝนวิชาในขอบเขตพลังภายใน”

“ก่อนหน้านี้ ข้าเคยบอกว่าข้ามีวิชาชั้นเลิศสองวิชา นั่นก็คือ วิชาคลื่นพิโรธและวิชาสายฟ้าฟาด”

“วิชาคลื่นพิโรธนั้นเป็นการสานต่อมาจากวิชาบ่มเพาะสายเลือดธารา ส่วนวิชาสายฟ้าฟาดเป็นวิชาในขอบเขตพลังภายในชั้นเลิศที่ข้าได้รับมาโดยบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งพลังของมันก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”

“วิชาในขอบเขตพลังภายในทั้งสองชนิดที่จะฝึกฝนนี้สามารถเพิ่มพลังได้สามส่วน แต่ในฐานะวิชาชั้นเลิศ ทั้งสองวิชาจึงมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือมันยากที่จะฝึกฝนได้และต้องใช้พรสวรรค์ที่สูงมากรวมถึงความเข้ากันได้กับวิชาที่สูงมากถึงจะฝึกฝนได้สำเร็จ”

“ในบรรดาศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่สาวของเจ้า มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่ที่สามเท่านั้นที่สามารถฝึกวิชาคลื่นพิโรธได้สำเร็จ ส่วนวิชาสายฟ้าฟาดนั้นยังไม่เคยมีใครที่ฝึกสำเร็จมาก่อนเลย ดังนั้น หากเจ้าอยากฝึกฝนวิชาทั้งสองนี้ เจ้าจะต้องดูความสามารถของตัวเจ้าเองด้วย”

“หากเจ้าไม่สามารถฝึกฝนได้สำเร็จ ก็ให้รีบเลิกซะแล้วเปลี่ยนไปฝึกวิชาอื่น” จ้าวเฮยถ่ากำชับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ขอรับท่านอาจารย์”

เจียงฮ่าวรับตำราสองเล่มมา แน่นอนว่านี่เป็นสำเนาที่ถูกคัดลอกด้วยลายมือและสามารถนำกลับบ้านไปศึกษาได้อย่างละเอียด

“เจียงฮ่าว วิชาคลื่นพิโรธนั้นเป็นวิชาที่ข้าฝึกฝน ดังนั้นข้าจึงสามารถชี้แนะเจ้าได้อย่างละเอียดและทำให้เจ้าฝึกวิชาคลื่นพิโรธได้เร็วขึ้น”

“ส่วนวิชาสายฟ้าฟาดข้ายังไม่ได้ฝึกฝน ดังนั้นเจ้าจะต้องพึ่งพาพลังของตัวเจ้าเอง”

“ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากขอรับที่ช่วยเหลือข้า”

เจียงฮ่าวยืนมองวิชาในขอบเขตพลังภายในทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเลือกฝึกวิชาคลื่นพิโรธก่อน!

เพราะวิชาคลื่นพิโรธนั้นมีอาจารย์คอยชี้แนะ ดังนั้นการฝึกวิชาคลื่นพิโรธย่อมเร็วกว่า ซึ่งเขาสามารถรอให้ฝึกวิชาคลื่นพิโรธได้สำเร็จแล้วค่อยมาศึกษาวิชาสายฟ้าฟาดในภายหลังก็ยังทัน

จ้าวเฮยถ่าเองก็มีความคิดแบบเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงชี้แนะการฝึกวิชาคลื่นพิโรธของเจียงฮ่าวอย่างละเอียดเพื่อที่จะดูความเร็วในการฝึกฝนวิชาในขอบเขตพลังภายในชั้นเลิศของเจียงฮ่าว

เจียงฮ่าวกลั่นพลังเลือดปราณได้ถึงสิบส่วนจึงสามารถฝึกฝนวิชาในขอบเขตพลังภายในได้สิบวิชา หากไม่ฝึกฝนวิชาชั้นเลิศก็คงเป็นการเสียของ

แต่วิชาที่ฝึกก็ต้องอาศัยความเข้ากันได้ด้วยเช่นกัน ยิ่งเป็นวิชาชั้นเลิศก็ยิ่งต้องอาศัยความเข้ากันที่สูงมากยิ่งขึ้น

ยิ่งพรสวรรค์สูงเท่าไหร่ ความเข้ากันได้กับวิชาก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

ถึงแม้ว่าเจียงฮ่าวจะสามารถกลั่นพลังเลือดปราณได้ถึงสิบส่วนและมีพรสวรรค์ที่น่าจะสูงมาก แต่ทุกอย่างก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้

การฝึกฝนวิทยายุทธนั้นต้องใช้ความพยายามแต่ไม่จำเป็นต้องดื้อรั้น ถ้าหากทำไม่ได้จริงๆก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับวิชาในขอบเขตพลังภายในชั้นเลิศและสามารถเปลี่ยนไปฝึกฝนวิชาระดับเหนือชั้นแทนได้ เพราะวิชาระดับเหนือชั้นมีความยากน้อยกว่ามาก

แต่ถึงแม้จะเป็นวิชาระดับเหนือชั้นสิบวิชา พลังเสริมของมันก็ยังน่ากลัวมากอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตอนนี้มีวิชาชั้นเลิศอยู่ตรงหน้าดังนั้นเจียงฮ่าวจึงต้องลองดูก่อน

หลังจากนั้น เจียงฮ่าวจึงเริ่มศึกษาวิชาคลื่นพิโรธ วิชาคลื่นพิโรธนี้ไม่วิชาธรรมดาซึ่งมันการฝึกฝนที่มีความซับซ้อนมาก

ความสามารถในการฝึกวิชาคลื่นพิโรธนั้นขึ้นอยู่กับความเข้ากันได้ระหว่างพรสวรรค์กับวิชาคลื่นพิโรธ

ซึ่งตอนนี้ของเจียงฮ่าวอยู่ที่ 7 ซึ่งถือว่าสูงมาก

เมื่อลองฝึกฝน พลังภายในในร่างกายของเจียงฮ่าวจึงเริ่มมีเค้าลางของการเปลี่ยนแปลงเป็นวิชาคลื่นพิโรธ

มันราบรื่นมาก!

มันไม่มีอะไรยากในการฝึกวิชาคลื่นพิโรธเลย!

แม้ว่าเจียงฮ่าวจะเพิ่งเริ่มฝึกวิชาคลื่นพิโรธ แต่เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ของเจียงฮ่าวนั้นเข้ากันได้ดีกับวิชาคลื่นพิโรธมาก

บางทีพรสวรรค์ระดับ 7 ของเจียงฮ่าว มันอาจจะเข้ากันได้กับวิชาทุกชนิดเลยด้วยซ้ำ

แต่ตอนนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะการเปลี่ยนเป็นวิชาคลื่นพิโรธได้ต้องใช้เวลาและเวลาที่ใช้ก็อาจจะไม่สั้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ภายในสองสามวัน

แต่เจียงฮ่าวก็เข้าใจแล้วว่า วิชาคลื่นพิโรธนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเขา

“พรสวรรค์ของข้านั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ มันทำให้การฝึกฝนวิชาในขอบเขตพลังภายในชั้นเลิศไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย”

“หลังจากนี้ ข้าคงจะต้องทุ่มเทให้กับการทำสมาธิเพ่งมองพระจันทร์สีเลือดเพื่อเพิ่มความเข้าใจและพยายามเพิ่มความเข้าใจให้ได้เร็วที่สุดเพื่อทำให้วิชาหมัดพยัคฆ์ไปถึงระดับเชี่ยวชาญขั้นสูงหรือทำให้ไปถึงระดับสมบูรณ์แบบให้ได้โดยเร็ว!”

ส่วนการเพิ่มจิตวิญญาณนั้น นอกเหนือจากการกลั่นเลือดปราณแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆเลยในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถพักการเพิ่มจิตวิญญาณเอาไว้ก่อนได้

เมื่อถึงช่วงเย็น เจียงฮ่าวจึงออกจากสำนักฝึกวิชาไป ที่หน้าสำนักฝึกวิชา ตู้เจวียนและคนรับใช้คนอื่นๆของจวนเจียงต่างก็มารออยู่แล้ว

“นายน้อย ในที่สุดท่านก็ฝึกเสร็จแล้ว”

ตู้เจวียนก้าวไปข้างหน้าและกำลังจะอุ้มเจียงฮ่าวขึ้นรถม้า แต่เจียงฮ่าวกลับส่ายหัวแล้วพูดว่า “ตู้เจวียน เจ้าขึ้นรถม้าไปเถอะ วันนี้ข้าไม่ขึ้นรถม้าไปกับเจ้าหรอก”

“นายน้อย ท่านจะไม่ขึ้นรถม้าหรือคะ?”

“ต้าหู ตื่นได้แล้ว”

เจียงฮ่าวลูบเบาๆที่หัวของต้าหู หลังจากนั้นต้าหูสะดุ้งตัวขึ้นแล้วส่งเสียงคำรามต่ำๆออกมา แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเจียงฮ่าวมันจึงก้มหัวลงทันทีแล้วเลียเจียงฮ่าวอย่างสนิทสนม

“เสือตัวนี้….เป็นพาหนะของนายน้อยจริงๆหรือคะ?!”

ที่จริงแล้ว ตู้เจวียนเห็นเสือโคร่งตัวนี้มานานแล้ว แม้แต่ข่าวลือเรื่องเจียงฮ่าวกับเสือโคร่งตัวนี้เธอก็พอได้ยินมาบ้าง

แต่ไม่ว่ายังไง มันก็ไม่น่าตกใจเท่ากับการได้เห็นด้วยตาของเธอเอง

เจียงฮ่าวพลิกตัวขึ้นไปนั่งบนหลังของต้าหูและมองไปที่ตู้เจวียนที่กำลังยืนตาค้างด้วยความตกใจก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปกันเถอะ กลับบ้านได้แล้ว”

จากนั้น เจียงฮ่าวจึงขี่ต้าหูกลับบ้านและเดินทางกลับไปยังจวนเจียงอย่างช้าๆ
 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป