พิชิตศัตรูสิ้น สยบใต้หล้า เจียงฮ่าวเริ่มต้นจากศิลปะการต่อสู้สู่วิถีเซียนด้วยพรสวรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด!
พิชิตศัตรูสิ้น สยบใต้หล้า เจียงฮ่าวเริ่มต้นจากศิลปะการต่อสู้สู่วิถีเซียนด้วยพรสวรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด!
บทที่ 3 การเข้าเป็นศิษย์
"คารวะท่านพ่อ" เจียงฮ่าวรีบร้อนเข้ามาในห้องโถง เมื่อเห็นเจียงต้าไห่จึงรีบทำความเคารพ
เจียงต้าไห่เห็นเจียงฮ่าวทำความเคารพอย่างผู้ใหญ่จึงก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย "นั่งก่อนสิเสี่ยวหู่"
"เจ้าอยากจะหาอาจารย์สอนวิชาใช่ไหม? ด้วยอายุของเจ้าที่ยังน้อยรวมถึงแม่ของเจ้าก็ยังไม่อยากให้เจ้าออกไปไกลบ้าน ดังนั้นจึงทำได้แค่หาอาจารย์ภายในเมืองชางเฉิงเท่านั้น"
"ในเมืองชางเฉิงมีอาจารย์หลายคนที่ยินดีรับศิษย์ แต่มีน้อยคนที่ได้รับการแนะนำจากสำนักหวงเทียน ถึงแม้ว่าพ่อจะใช้เงินทองจำนวนมากก็ทำได้เพียงให้เจ้าได้อยู่ในตำแหน่งศิษย์ชั้นในของสำนักเฮยถ่าเท่านั้น"
"สำนักเฮยถ่างั้นหรือ?" เจียงฮ่าวรู้เรื่องภายในเมืองชางเฉิงเป็นอย่างดี
สำนักเฮยถ่านี้เป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักที่มีชื่อเสียงในเมืองชางเฉิง เจ้าสำนักมีนามว่า “จ้าวเฮยถ่า” ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของเมืองชางเฉิง มีข่าวลือว่าบรรพบุรุษของจ้าวเฮยถ่าเคยเป็นผู้มีตำแหน่งสูงในสำนักหวงเทียน ดังนั้นจึงมีสิทธิ์แนะนำคนเข้าสำนักหวงเทียนได้
ยิ่งไปกว่านั้น เจียงฮ่าวยังเข้าใจดีว่าตำแหน่ง "ศิษย์ชั้นใน" ก็ไม่ใช่ตำแหน่งธรรมดา
การรับศิษย์ของสำนักมักจะเริ่มจากการเป็นลูกศิษย์ของสำนัก หลังจากนั้นจะเฝ้าดูความสามารถเป็นเวลาสามเดือน ถ้าหากครบสามเดือนแล้วยังฝึกฝนไม่ได้เรื่องก็จะถูกไล่ออกจากสำนัก
แต่ถ้าหากผ่านไปสามเดือนแล้วผ่านเกณฑ์ของสำนัก ก็จะได้เป็นศิษย์ชั้นนอก
เมื่อได้เป็นศิษย์ชั้นนอกแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีในการเฝ้าสังเกตพฤติกรรม ความก้าวหน้าในการฝึกฝน และอื่นๆ ดังนั้นจึงมีเฉพาะผู้ที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้นที่จะได้เป็นศิษย์ชั้นใน
เจียงต้าไห่ได้จัดการให้เจียงฮ่าวได้ตำแหน่ง "ศิษย์ชั้นใน" ในทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอเวลา
ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
"ท่านพ่อ ท่านใช้เงินไปเท่าไหร่งั้นหรือ?" เจียงฮ่าวถาม
"ก็ไม่เท่าไหร่ แค่หนึ่งพันตำลึงทองเท่านั้น"
"แต่ว่าสำนักเฮยถ่าก็ทำธุรกิจร่วมกันกับพ่อ ดังนั้นพ่อจึงได้ต้องยอมลดกำไรจากสำนักเฮยถ่าไปประมาณหนึ่งด้วย"
เจียงฮ่าวครุ่นคิด
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เป็นกุญแจสำคัญ
เจียงต้าไห่นั้นถูกเรียกได้ว่าเป็น "มหาเศรษฐี" ของเมืองชางเฉิงที่ทำธุรกิจใหญ่โต
การยอมลดกำไรนี้คงจะทำให้เสียรายได้ไปไม่น้อยเลย
"เสี่ยวหู่ พ่อทำได้เพียงช่วยเจ้าให้ได้ตำแหน่งศิษย์ชั้นในมาได้เท่านั้น แต่เจ้าจะได้รับการแนะนำจากจ้าวเฮยถ่าเพื่อเข้าสำนักหวงเทียนได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง"
"จ้าวเฮยถ่าก็สัญญากับพ่อเอาไว้แล้วว่า ถ้าหากเจ้าผ่านตามข้อกำหนดของเขา เขาจะมอบโอกาสในการแนะนำเจ้าแน่นอน!"
เจียงฮ่าวพยักหน้า
ส่วนข้อกำหนดนั้น เขาไม่ต้องถามก็รู้
เพราะสำหรับนักศิลปะการต่อสู้ มีข้อกำหนดเพียงหนึ่งเดียว
นั่นก็คือพรสวรรค์!
มีเพียงพรสวรรค์ที่เหนือกว่าเท่านั้น จึงจะได้รับการแนะนำจากจ้าวเฮยถ่าเพื่อเข้าสำนักหวงเทียน
"ท่านพ่อ แล้วลูกจะไปคารวะท่านอาจารย์เมื่อไหร่งั้นหรือ?"
"เจ้าก็เลือกเอาตามวันมงคลก็แล้วกัน"
"ขอรับ"
เจียงฮ่าวทำตามคำแนะนำของเจียงต้าไห่
ซึ่งสามวันต่อมาก็ได้ฤกษ์เป็นวันมงคล
เจียงต้าไห่ได้เชิญบุคคลสำคัญทั่วทั้งเมืองมาร่วมเป็นสักขีพยานในการเข้าเป็นศิษย์ของเจียงฮ่าวต่อจ้าวเฮยถ่า!
เมื่อเจียงฮ่าวมาถึงสำนักเฮยถ่า เขาก็ได้พบกับจ้าวเฮยถ่าทันที
จ้าวเฮยถ่าผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำสมชื่อราวกับเจดีย์เหล็กอย่างแท้จริง
"ข้าศิษย์เจียงฮ่าว ขอคารวะท่านอาจารย์ขอรับ!"
เจียงฮ่าวก้มหน้าลงคารวะอย่างนอบน้อม
ทุกคนต่างแสดงความยินดีทันที "ขอแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักจ้าวด้วย ท่านได้ศิษย์ที่ดีทีเดียว"
"นายน้อยเจียงฮ่าวของเรานั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ การแต่งกลอนบทหนึ่งก็สามารถทำเงินได้ถึงหนึ่งร้อยตำลึงทอง หากวันนี้นายน้อยได้เข้าสำนักเฮยถ่าเพื่อก้าวสู่เส้นทางนักศิลปะการต่อสู้ อนาคตของนายน้อยจะต้องสดใสแน่นอน!"
"ขอแสดงความยินดีกับท่านเจียงและขอแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักจ้าว..."
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนยินดีก็ย่อมมีคนที่ไม่พอใจ
คู่แข่งของสำนักเฮยถ่าบางคนกลับเยาะเย้ย
พวกเขาต่างกระซิบกันเบาๆว่า "เพื่อแลกกับการทำธุรกิจกับเจียงต้าไห่ จ้าวเฮยถ่ายอมให้เจียงฮ่าวมาเป็นศิษย์ชั้นในเชียวรึ? เฮอะ การฝึกยุทธน่ะมันไม่ง่ายเหมือนแต่งกลอนหรอก หากไร้ซึ่งพรสวรรค์ ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ การที่วันนี้จ้าวเฮยถ่ารับเจียงฮ่าวเป็นศิษย์มันอาจกลายเป็นเรื่องตลกในวันหน้าก็เป็นได้"
"นั่นสินะ ถึงเจียงฮ่าวจะเป็นเด็กอัจฉริยะ แต่เขาก็แค่มีพรสวรรค์ด้านบทกวีเท่านั้น มันคนละเรื่องกับการฝึกยุทธด้วยซ้ำ"
"ข้าได้ยินว่าเจียงฮ่าวยังหวังที่จะได้แนะนำเพื่อเข้าสำนักหวงเทียนจากจ้าวเฮยถ่าอีกด้วย คนที่ไร้พรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธแบบนั้นน่ะ จ้าวเฮยถ่าจะแนะนำไปจริงๆรึ?"
แต่ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร จ้าวเฮยถ่าก็ยังคงสงบนิ่งและยิ้มแย้มต้อนรับแขกผู้มาเยือนเหล่านั้น
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ แขกผู้มีเกียรติก็ทยอยกันกลับ
ส่วนเจียงฮ่าวยังคงอยู่
จ้าวเฮยถ่ามองไปที่เจียงฮ่าวก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า "เจียงฮ่าว วันนี้เจ้าถือว่าเป็นศิษย์คนที่เก้าของข้า ดังนั้นเจ้าจะยังมีศิษย์พี่อีกแปดคน"
เจียงฮ่าวมองไปยังนักศิลปะการต่อสู้ทั้งแปดคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
มีผู้ชายหกคนและผู้หญิงอีกสองคน
"คารวะศิษย์พี่ทุกท่าน"
เจียงฮ่าวก้มหน้าเพื่อทำความเคารพศิษย์พี่ทั้งแปด
เนื่องจากเขาอายุเพียงหกขวบ การทำท่าทางที่จริงจังเช่นนี้จึงทำให้ทั้งแปดคนรู้สึกขบขัน
"เจียงฮ่าว ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นเด็กอัจฉริยะ เมื่ออายุสามขวบเจ้าก็แต่งกลอนได้แล้ว ซึ่งกลอนหนึ่งบทของเจ้านั้นก็ยังมีค่าถึงหนึ่งร้อยตำลึงทอง"
"แต่ว่า การฝึกยุทธนั้นไม่เหมือนกับการแต่งกลอน เจ้าต้องอาศัยพรสวรรค์ในการฝึก หากไร้พรสวรรค์ ต่อให้พยายามมากแค่ไหน การฝึกยุทธก็จะไม่คืบหน้า"
"พรสวรรค์ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ รากฐาน ข้าจะต้องตรวจรากฐานของเจ้าเสียก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง"
เจียงฮ่าวพยักหน้า "ขอรับท่านอาจารย์"
"ดีมาก เอาล่ะทนหน่อยนะ"
จ้าวเฮยถ่ายื่นมือขนาดใหญ่ราวกับพัดออกมาก่อนจะยกเจียงฮ่าวขึ้นแล้วเขย่าร่างเบาๆ
"กร๊อบ แกร๊บ"
กระดูกทั่วร่างของเจียงฮ่าวส่งเสียงดังลั่นออกมาไม่หยุด
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง...ซึ่งมันดังต่อเนื่องถึงสิบสามครั้ง!
เจียงฮ่าวรู้สึกราวกับว่ากระดูกทั้งร่างของเขากำลังจะหลุดออกจากกัน
ไม่แปลกเลยที่จ้าวเฮยถ่าบอกให้เขาทนไว้ เพราะที่แท้การตรวจรากฐานก็คือการตรวจกระดูกที่เจ็บปวดแบบนี้
แววตาของจ้าวเฮยถ่าเริ่มมีแสดงความแปลกใจออกมา
หากเป็นเด็กหกขวบทั่วไป การที่ถูกเขาเขย่าร่างเช่นนี้คงจะร้องไห้ไปนานแล้ว
แต่เจียงฮ่าวกลับอดทนและไม่ร้องออกกมาแม้แต่แอะเดียว…
"อืมม แบบนี้เองรึ"
จ้าวเฮยถ่าค่อยวางร่างของเจียงฮ่าวลง
ศิษย์คนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้นว่า "ท่านอาจารย์ เมื่อกี้กระดูกของศิษย์น้องเจียงฮ่าวดังถึงสิบสามครั้งเชียวรึ?!"
จ้าวเฮยถ่าเองก็พอใจมากเมื่อได้ยินแบบนี้
"ใช่ มันดังสิบสามครั้งจริงๆ"
"ข้ารับศิษย์มาก็มากมาย แต่ยังไม่เคยเห็นศิษย์คนไหนที่ถูกเขย่าร่างแล้วกระดูกดังถึงสิบสามครั้ง เจียงฮ่าว กระดูกของเจ้านั้นถือว่าดีมาก"
"แต่ว่า นี่เป็นแค่การตรวจกระดูกเพื่อคาดการณ์ความสามารถของเจ้าเท่านั้น การฝึกยุทธขั้นแรกก็คือขั้นหลอมเลือด ดังนั้นเจ้าจะต้องบ่มเพาะเลือดให้ได้ก่อน"
"ยิ่งบ่มเพาะเลือดได้เร็วเท่าไหร่ พรสวรรค์ของเจ้าก็ยิ่งสูงเท่านั้น เจ้าเข้าใจไหม?"
"ศิษย์เข้าใจขอรับ ขออาจารย์โปรดถ่ายทอดวิชาด้วยขอรับ!"
"ดีมาก ข้าจะถ่ายทอด 'วิชาบ่มเพาะสายเลือดธารา' ให้กับเจ้าก่อน นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในวิชาพื้นฐานในการบ่มเพาะเลือดที่สำนักหวงเทียนได้รวบรวมไว้ ซึ่งมันเหมาะสำหรับการปูพื้นฐานมาก"
หัวใจของเจียงฮ่าวเต้นแรง
ในที่สุดเขาก็จะได้ฝึกยุทธแล้ว
เขาตั้งใจฟังจ้าวเฮยถ่าถ่ายทอดวิชาบ่มเพาะสายเลือดธาราอย่างตั้งใจ
หลังจากที่ได้ฟังและประกอบกับคำแนะนำของจ้าวเฮยถ่า เจียงฮ่าวจึงเริ่มเข้าใจพื้นฐานของวิชานี้แล้ว
แม้ว่าค่าความเข้าใจของเขาแม้จะไม่สูงเท่ารากฐาน แต่ก็ถือว่าเกินกว่า 2.5 ซึ่งเหนือกว่าคนทั่วไป
เจียงฮ่าวเข้าไปฝึกยุทธในห้องที่เงียบสงบเพียงลำพัง
คนทั่วไปที่ฝึกยุทธ อุปสรรคแรกคือการบ่มเพาะเลือดลมปราณ
ทุกคนต่างมีเลือดลมปราณเป็นของตัวเอง แต่ปกติแล้วมันจะถูกซ่อนอยู่ในร่างกาย
ดังนั้นจึงต้องฝึกวิชาและใช้วิชาพิเศษจึงจะรวบรวมเลือดลมปราณที่ซ่อนอยู่ได้ซึ่งโดยรวมแล้วเรียกว่า "การบ่มเพาะเลือด"
"พวกเจ้าคิดว่าศิษย์น้องเจียงฮ่าวจะใช้เวลานานแค่ไหนในการบ่มเพาะเลือด?"
ทันใดนั้น ศิษย์พี่ที่หกก็เอ่ยขึ้น
ยิ่งบ่มเพาะเลือดได้เร็วเท่าไหร่ พรสวรรค์ก็ยิ่งสูง นี่เป็นความเห็นร่วมกันของนักศิลปะการต่อสู้หลายคน
"กระดูกของศิษย์น้องเจียงฮ่านั้นดังถึงสิบสามครั้ง ดังนั้นกระดูกของศิษย์น้องต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ข้าคิดว่าอย่างมากสามวันก็น่าจะบ่มเพาะเลือดได้สำเร็จแล้ว"
ศิษย์พี่ที่ห้าพูดขึ้น
"สามวันรึ? ข้าคิดว่าสองวันก็เพียงพอแล้ว"
"ในบรรดาพวกเราแปดคน คนที่บ่มเพาะเลือดได้เร็วที่สุดคือศิษย์พี่ที่สาม ตอนนั้นศิษย์พี่ที่สามใช้เวลาเพียงสองวันก็บ่มเพาะเลือดได้สำเร็จแล้ว ถึงแม้ว่าศิษย์น้องเจียงฮ่าจะมีเสียงกระดูกดังถึงสิบสามครั้ง แต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่จึงอาจจะยังไม่เข้าใจวิชาบ่มเพาะสายเลือดธารามากนัก ดังนั้นการบ่มเพาะเลือดให้สำเร็จภายในสองวันถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก!"
"ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่บ่มเพาะเลือดสำเร็จภายในเจ็ดวันก็ถือว่าดีมากแล้ว อย่างน้อยก็ได้เป็นศิษย์ชั้นในได้แน่นอน"
ศิษย์ทั้งแปดคนต่างพูดคุยกัน
พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ชั้นในของสำนักเฮยถ่า
พวกเขาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของ "ศิษย์ชั้นใน" เป็นอย่างมาก
พวกเขาเองก็รู้ว่าการที่เจียงฮ่าวเข้ามาเป็นศิษย์ชั้นในนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเจียงไม่มากก็น้อย
เจียงฮ่าวไม่ได้เข้ามาด้วยการใช้พรสวรรค์ที่แท้จริง
หากเจียงฮ่าวมีพรสวรรค์ต่ำเกินไป มันอาจจะทำให้ชื่อเสียงของสำนักเฮยถ่าและศิษย์ชั้นในอย่างพวกเขาเสื่อมเสียไปด้วย
ตอนนี้พวกเขาเพียงหวังว่าเจียงฮ่าวจะมีพรสวรรค์ให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของศิษย์ชั้นใน
และด้วยเสียงกระดูกที่ดังถึงสิบสามครั้ง มันจึงทำให้พวกเขาเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง
แต่จ้าวเฮยถ่ากลับดูสงบและพูดเบาๆว่า "ต่อไปนี้พวกเจ้าต้องดูแลเจียงฮ่าวให้ดี เพราะเขาอายุแค่หกขวบและยังเป็นเด็กอยู่"
"ขอรับครับท่านอาจารย์!"
หลังจากนั้น เหล่าศิษย์ทั้งแปดก็ทยอยออกไป
จ้าวเฮยถ่าเองก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
ในใจของเขาเองก็รู้สึกจนปัญญาเช่นกัน
ตอนนี้สำนักเฮยถ่าเองก็ไม่ได้พัฒนาไปได้ด้วยดีนัก
โดยเฉพาะในเรื่องของเงินทอง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของสำนัก
ถ้าเป็นไปได้ จ้าวเฮยถ่าก็ไม่อยากรับเด็กหกขวบเข้ามาเป็นศิษย์ชั้นในเช่นกัน
แต่เจียงต้าไห่นั้นยื่นข้อเสนอที่ดีมากเกินไปจนยากที่จะปฏิเสธได้
"ช่างเถอะ ยังไงก็เป็นแค่เด็ก"
"ด้วยทรัพย์สมบัติของตระกูลเจียง ขอแค่พรสวรรค์ไม่แย่เกินไปข้าก็สามารถดันให้เจียงฮ่าวไปเทียบกับหมิงจิ้นได้ และจะไม่ถือว่าทำให้สำนักเสียชื่อเสียง"
ส่วนการแนะนำเจียงฮ่าวให้เข้าสำนักหวงเทียนนั้น จ้าวเฮยถ่ารู้ดีว่านั่นมีไว้สำหรับอัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้น
ต่อให้ตระกูลเจียงจะมีเงินทองมากมายเพียงใด ก็ซื้อการแนะนำนั้นไม่ได้
ในขณะเดียวกัน เจียงฮ่าวกำลังนั่งอยู่ในห้องเงียบสงบเพียงลำพังและกำลังเริ่มฝึกวิชาบ่มเพาะสายเลือดธารา
ซึ่งท่าทางของการฝึกวิชาบ่มเพาะสายเลือดธารานั้นจะช่วยในการบ่มเพาะเลือด
แต่ถึงอย่างนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมท่าทางเหล่านี้ถึงได้มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะเลือดได้
แต่เนื่องจากนี่เป็นสิ่งที่จ้าวเฮยถ่าถ่ายทอดมา ดังนั้นคงไม่มีอะไรผิดพลาด
นักศิลปะการต่อสู้ทุกคนก็เริ่มต้นแบบนี้กันทั้งนั้น
ส่วนจะบ่มเพาะเลือดสำเร็จเมื่อไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับกระดูกแล้ว
"ข้ามีกระดูกที่แข็งแกร่งกว่าคนปกติทั่วไปเกือบเจ็ดเท่า ถ้าเป็นแบบนี้ข้าจะบ่มเพาะเลือดสำเร็จเมื่อไหร่กัน?" เจียงฮ่าวรู้สึกกังวลเล็กน้อย
หลังจากนั้น เวลาก็ค่อยๆผ่านไปทีละน้อย
เจียงฮ่าวเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว
โดยเฉพาะการคงท่าเดิมไว้เป็นเวลานาน มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก
แต่เจียงฮ่าวก็ยังคงกัดฟันและอดทน
การฝึกยุทธนั้นไม่ง่าย ดังนั้นความเจ็บปวดแค่นี้จึงถือว่าเล็กน้อยมาก
หากทนไม่ได้ ก็ไม่ควรฝึกยุทธและกลับไปนอนเล่นที่บ้านแทน
ในพริบตาเดียว เวลาได้ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
เจียงฮ่าวที่อดทนมาตลอดหนึ่งชั่วยาม ในตอนนี้ร่างกายของเขาเริ่มปวดเมื่อยไปทั้งร่าง
แต่จู่ๆ เขากลับสัมผัสได้ถึง "ความอบอุ่น" เล็กน้อยที่ผุดขึ้นมาจากทั่วร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เจียงฮ่าวตกใจ แต่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก
"เลือดลมปราณรึ? นี่ข้าบ่มเพาะเลือดลมปราณได้แล้วงั้นรึ?"
จากคำแนะนำของจ้าวเฮยถ่า ความอบอุ่นเช่นนี้น่าจะเป็นเลือดลมปราณ
เจียงฮ่าวจึงลองสัมผัสดูอีกครั้ง ซึ่งความอบอุ่นที่ไหลเวียนไม่ขาดสายนี้เริ่มเคลื่อนที่ไปทั่วร่างกายตามคู่มือการฝึกของวิชาบ่มเพาะสายเลือดธารา
หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ...
เจียงฮ่าวเคลื่อนกระแสความอุ่นนี้ไปได้ทั้งหมดเก้ารอบ
"กึ้กๆๆๆ!"
จู่ๆ เจียงฮ่าวก็เริ่มรู้สึกเหมือนว่าร่างกายกำลังสั่น
ความอบอุ่นในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นความร้อนระอุ
ซึ่งนี่ก็คือการเพิ่มขึ้นของเลือดลมปราณ!
วิชาบ่มเพาะสายเลือดธารานั้น หากสามารถหมุนวนเลือดลมปราณได้เก้ารอบ ก็หมายความว่าได้ก้าวเข้าสู่ขั้นหลอมเลือดชั้นที่หนึ่งแล้ว
เจียงฮ่าวจึงนับเวลาย้อนกลับไปตั้งแต่ที่เข้ามาให้ห้องฝึกยุทธนี้
เวลาได้ผ่านไปทั้งหมดสามชั่วยาม
หนึ่งชั่วยามเขาสามารถบ่มเพาะเลือดได้ หลังจากนั้นสองชั่วยามเขาก็ก้าวเข้าสู่ขั้นหลอมเลือดชั้นที่หนึ่ง
แม้เจียงฮ่าวจะไม่รู้ว่าการฝึกยุทธของคนอื่นๆจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็พอจะเดาได้
ว่าความเร็วที่เขาทำได้นี้ต้องถือว่าเร็วมากๆแน่นอน
บางทีเขาอาจอยู่ในระดับอัจฉริยะด้วยซ้ำ!
แต่จะเป็นอัจฉริยะระดับไหนนั้น เจียงฮ่าวเองก็ไม่รู้แน่ชัด
"ไปถามท่านอาจารย์ดีกว่า"
เจียงฮ่าวไม่ได้คิดจะปิดบังความสามารถของเขาแต่อย่างใด
เพราะเขาอยากเข้าสำนักหวงเทียน ดังนั้นเขาจึงต้องแสดงพรสวรรค์ของเขาออกมาให้ได้อย่างเต็มที่
ยิ่งพรสวรรค์สูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขายังเป็นแค่เด็กหกขวบ
คำพูดของเด็กนั้นใสซื่อและบริสุทธิ์จนคนอื่นไม่คิดว่าเขาโกหกแน่นอน
หากเขาแสดงความเป็นอัจฉริยะออกมาตั้งแต่เด็ก ต่อไปไม่ว่าเขาจะเก่งกาจแค่ไหน คนทั่วไปก็จะยอมรับเขาทันที
เมื่อคิดได้ดังนี้ เจียงฮ่าวจึงหยุดหมุนวนเลือดลมปราณและเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆเพื่อเดินไปหาจ้าวเฮยถ่า..