เผด็จการ ตรงไปตรงมาและประธานบริษัทหญิงผู้บ้างาน VS พ่อครัว สามี และบอสหมาป่า
เผด็จการ ตรงไปตรงมาและประธานบริษัทหญิงผู้บ้างาน VS พ่อครัว สามี และบอสหมาป่า
ซู่จิ่นไม่รู้ว่าจะดำเนินบทสนทนาต่อไปอย่างไรหลังจากที่พวกเขาแนะนำตัวกันแล้ว
ก็พวกเขาเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แล้วจะมีเรื่องอะไรให้พูดคุยกันล่ะ?
เธอควรถามหยานหลินว่าเขาแต่งงานแล้วไหม? หรือเขามีเมียยัง? หรือเธอควรใช้เวลาและพลังงานของเธอตามจีบเขา?
หรือเธอควรถามหลานหลินว่าคิดอย่างไรกับการเป็นแม่บ้านเต็มเวลา?
มันดูไม่เหมาะสม
ท้ายที่สุด การตามจีบเพศตรงข้ามก็ไม่ใช่จุดแข็งของเธอเลย
ยิ่งไปกว่านั้น เธอมีบุคลิกที่ไม่ค่อยเปิดใจนัก แน่นอนว่าข้อยกเว้นคือเมื่อเธอพูดถึงสัญญาในโลกธุรกิจ
เธอมีวิธีการในการใช้คำพูด เธอจะต่อสู้เพื่อให้ทุกผลประโยชน์อยู่ข้างเธอ และเธอจะไม่มีวันยอมแพ้
แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่ธุรกิจ
และหยานหลินดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนช่างพูด เมื่อซู่จินไม่พูด รถก็ตกอยู่ในความเงียบ
ไฟนีออนนอกหน้าต่างส่องสว่างจ้ามากจนจู่ๆ เธอก็นึกถึงสมัยเรียนมหาวิทยาลัยขึ้นมา
ตอนนั้น เธอทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วยเรียนไปด้วย ตราบใดที่เธอไม่มีอะไรทำตอนกลางคืน เธอก็จะทำงานพาร์ทไทม์อื่นๆ บนถนน เช่น แจกใบปลิวหรือขายของที่ระลึก
ระหว่างทำงานพาร์ทไทม์ เธอจะมองดูตึกสูงที่อยู่รอบๆ บ้าง ตึกสูงเหล่านั้นสว่างไสวด้วยแสงไฟสีเหลืองอบอุ่นและดูสบายตาภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
มีแสงสว่างนับพันดวง แต่ไม่มีดวงใดเป็นของฉันเลย
มันเป็นเพราะความเหงาที่เหลือคณานับ จึงทำให้เธอทำงานหนักกว่าใครๆ ในวัย 20 ต้นๆ
แต่บางครั้งความฝันก็เป็นเรื่องไร้สาระ
ตอนนี้เธออายุ 35 ปีแล้ว จำนวนเงินออมในปัจจุบันของเธอเป็นตัวเลขที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถมีได้ แม้ว่าจะผ่านชีวิตมาหลายชั่วอายุคนก็ตาม
แต่ทุกๆวันที่เธอทำงานเสร็จและกลับบ้าน เธอก็ต้องอยู่คนเดียว ความเหงาแบบนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“เราถึงแล้ว”
รถหยุดลงทันที
ซู่จินกลับมามีสติอีกครั้งและปลดเข็มขัดนิรภัยออก
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า หยานหลินบังเอิญหันกลับมามองเธอ
ดวงตาของพวกเขาสบกันในรถที่มืดสลัว ดวงตาที่สดใสและใบหน้าที่โดดเด่นของชายผู้นี้ทำให้เธอรู้สึกเขินอายเล็กน้อยอย่างไม่คาดคิด
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะเลี้ยงอาหารเย็นคุณซักมื้อนะคะ”
หยานหลินไม่ปฏิเสธเมื่อเขายินเธอ
เขาพยักหน้าและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ครับ ถ้าคุณมีเวลา”
เขาเป็นผู้ชายที่พูดน้อยจริงๆ
วันรุ่งขึ้น รอยคล้ำรอบดวงตาของซู่จินก็ไม่สามารถปกปิดได้ด้วยคอนซีลเลอร์
เซี๊ยะถงนังอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้า เธอหันมามองซู่จินด้วยท่าทีเกินจริง “จริงเหรอ เมื่อคืนพวกคุณ…”
โดยไม่คาดคิด ซู่จินไม่ตอบสนองในตอนแรก “อะไร?”
เซี๊ยะถงกลืนน้ำลายลงคอและนึกขึ้นได้ว่าคนขับรถยังอยู่ เธอจึงไอและต้องทนมันไปก่อน
ทันทีที่พวกเขาขึ้นลิฟต์ของบริษัท เซี๊ยะถงก็ไม่อาจยับยั้งตัวเองได้
“เมื่อคืนฉันเห็นหมดนะ คุณขึ้นรถผู้ชาย!”
ซู่จินยกมือกอดอกแล้วพิงผนังลิฟต์ด้วยท่าทางสงบนิ่ง “อะไร? คุณต้องการแบล็กเมล์ฉันเหรอ?”
“ใช่! ให้ฉันห้าล้าน ไม่งั้นวันนี้คุณโดนแฉแน่!”
ซู่จินถอนหายใจ เธอยักไหล่และยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นอย่าตื่นเต้นไปเลย!”
ท่าทางตื่นเต้นของเซี๊ยะถงก็หยุดลงทันที
“ผู้ชายเมื่อคืนเป็นใครเหรอ? ฉันคิดว่าท่าทีคุณเปลี่ยนไปกะทันหันและสนใจในตัวผู้ชายคนนั้น”
ประตูลิฟต์เปิดออก ซู่จินตบไหล่เซี๊ยะถงแล้วเดินออกไป
“คุณพูดถูก ฉันสนใจเขา ตราบใดที่ฉันพยายามจีบเขาสำเร็จ ฉันจะพยายามขอใบอนุญาตสมรสกับเขาให้ได้ก่อนสิ้นปีนี้ และจะมีลูกในปีหน้า”
เซี๊ยะถงสะดุดเล็กน้อย “โอ้พระเจ้า มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม?”
พนักงานชั้นบนสุดมักจะคึกคักอยู่เสมอ แต่เมื่อพวกเขาเห็นซู่จินเข้ามา พวกเขาก็ดูเหมือนจะรีบกลับไปทำงาน
ซู่จินถอดเสื้อสูทออกขณะเดิน “คุณไม่ได้ฝันไปหรอก เลขาเซี๊ยะ คุณรู้ไหม——”
เมื่อพูดจบ ทั้งสองก็เข้าสู่ห้องทำงานของประธาน
หลังจากที่ประตูปิดลง ซู่จินก็พูดประโยคที่สองต่อ “——ตั้งแต่แรกที่ฉันเห็นเขา ฉันก็รู้แล้วว่าชื่อลูกของเราจะเป็นอะไร?”
เซี่ยถงตัวสั่นและทนไม่ได้ในที่สุด “เฮ้! คุณเป็นแบบนี้ได้ยังไง!?”
ซู่จินเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแล้วเหลือบมอง
เซี๊ยะถงรู้สึกมีรังสีอาฆาตและประพฤติตัวดีทันที “ฉันผิด ฉันจะไปเตรียมข้อมูลการประชุมค่ะ”
“ดี ไปเถอะ” เธอโบกมือ
การประชุมกินเวลานานเกือบสองชั่วโมงในช่วงเช้าและมีการโทรศัพท์ประมาณห้าถึงหกครั้งเพื่อประสานงานทุกสิ่งทุกอย่าง
หลังจากนั่งลงและจัดการเอกสารอย่างเงียบๆ ในที่สุด สีหน้าของเซี๊ยะถงก็ดูไม่ดีนักเมื่อเธอบอกว่ามีคนจากคณะกรรมการบริหารมาถึงแล้ว ซู่จินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลุกขึ้นไปรับพวกเขา
กรรมการบริหารระดับสูงนั้นทั้งฉลาดหลักแหลมและเจ้าเล่ห์ พวกเขาตำหนิเธอเหมือนกับว่าเธอเป็นคนรับใช้ของพวกเขา เพียงเพราะการตัดสินใจบางอย่างของบริษัทขัดแย้งกับผลประโยชน์ของพวกเขา
เนื่องจากซู่จินเป็นผู้ดำเนินการตามการตัดสินใจของบริษัท เธอจึงพิจารณาได้เพียงสถานการณ์โดยรวมเท่านั้น ดังนั้น เมื่อพวกเขาต่อว่าเธอ เธอจึงไม่ตอบโต้กลับและยิ้มตอบเท่านั้น
โชคดีที่คนเหล่านี้หมดอารมณ์และจากไป นอกจากนี้ พวกเขาไม่มีเจตนาจะรับประทานอาหารกลางวันกับเธอด้วย
ซู่จินไม่รู้ว่าเธอได้พบกับสถานการณ์แบบนี้มากี่ครั้งแล้วนับตั้งแต่เธอรับตำแหน่งประธานบริษัท มันจึงไม่ส่งผลต่ออารมณ์อันแสนวิเศษของเธอเลย
เมื่อเธอออกจากห้องรับแขก ซู่จินก็วางแผนที่จะกลับเข้าไปในสำนักงานและทำงานต่อ
แต่ระหว่างเดินอยู่นั้น เธอก็ถามขึ้นมาว่า “มีร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่แถวบ้านเราไหม? อาหารเป็นยังไงบ้าง?”
เซี๊ยะถงไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงถามเช่นนี้ “ฉันยังไม่ได้ไปกินที่นั่นเลย แต่ฉันได้ยินคนอื่นบอกว่าที่นั่นอร่อยมาก”
“งั้นไปจองโต๊ะให้ฉัน ฉันอาจจะแวะไปทีหลัง”
“ฉันคิดว่าคุณไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นซะอีก… โอ้ โอ้! ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อการสนทนาจบลง เซี๊ยะถงก็เร่งฝีเท้าและเดินออกไปอย่างมีความสุข