หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
ซูต้าจียงเพิ่งตื่นนอนและยังไม่ค่อยมีความอยากอาหาร หลังจากกินไปไม่กี่คำเขาก็ไม่สามารถกินต่อได้
เมื่อเห็นว่าพ่อของเธอกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ซูฮั่นหยวนจึงบิดผ้าเช็ดตัวเพื่อล้างหน้าล้างมือให้เขา "พ่อคะ รู้สึกดีขึ้นไหมคะ?"
"รู้สึกดีขึ้นมากเลย" ซูต้าจียงมองลูกสาวคนเล็กของเขาด้วยความรักเต็มดวงตา "พ่อโชคดีจริง ๆ ที่มีหยวนหยวน พ่อไม่ได้ตามใจลูกเปล่าเลย ตอนนี้ลูกโตขึ้นแล้วและรู้จักกตัญญู"
เธอยิ้มหวานให้พ่อของเธอทันทีและพูดว่า "พ่อยังคิดว่าหนูเป็นเด็กอยู่เหรอคะ! หนูโตแล้วนะคะ และหนูจะดูแลพ่อไปตลอดเองค่ะ"
"เด็กดี! เด็กดี!" ซูต้าจียงพอใจมาก
"เฮอะ" เว่ยกุ้ยฉินที่ดูอยู่ข้าง ๆ ถอนหายใจ "ไม่ได้ตามใจเปล่างั้นเหรอ? ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่เห็นด้วย! ฉันว่าคุณเลี้ยงลูกที่ไม่รู้จักกตัญญูมากกว่า ซูฮั่นหยวน ทำไมท่าทีของแกที่มีต่อพ่อแกถึงดีขนาดนี้? แต่พอเห็นฉันกลับทำเหมือนฉันเป็นศัตรู! ฉันเป็นแม่ของแกนะ”
ซูฮั่นหยวนเม้มริมฝีปาก "นั่นขึ้นอยู่กับแม่เองด้วย"
เว่ยกุ้ยฉินสะอึก เด็กคนนี้เก่งจริง ๆ พอไม่พูดก็ถือว่าใช้ได้อยู่ แต่พอเปิดปากทีไรก็ทำให้เธอปวดหัวตลอด! ตอนนี้มีคนหนุนหลังเธอแล้วก็ยิ่งใจกล้ามากขึ้น!
"คุณ... คุณทำกับหยวนหยวนเกินไปหน่อยนะ เมื่อไหร่คุณจะแบ่งความรักจากลูกชายให้ลูกสาวบ้าง?" ซูต้าจียงเห็นทุกอย่างชัดเจน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่บ้านตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างผ่านจดหมายที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกัน
เขารู้ว่ามันนไม่ง่ายเลยสำหรับภรรยาของเขาที่ต้องทำงานหนักและสนับสนุนครอบครัว ข้อบกพร่องเดียวของเธอคือเธอให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว แม้ว่าทุกคนจะอยู่ในยุคสมัยใหม่แล้ว แต่ภรรยาของเขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนความคิดแบบเก่าได้
"คุณกลับมาก็เอาแต่บ่นใส่ฉัน ฉันไม่รักเธอเหรอ? ถ้าฉันไม่รัก แล้วเธอจะโตมาได้ยังไง? เธอพูดกับฉันเหมือนฉันเป็นแม่เลี้ยงยังงั้นแหละ!" เว่ยกุ้ยฉินบ่นด้วยความไม่พอใจ
ซูฮั่นหยวนคิดในใจ
‘ก็เหมือนแม่เลี้ยงจริงๆ นั่นแหละ อาจจะดีกว่านิดหน่อย...’
ไม่นานหลังจากที่เว่ยกุ้ยฉินพูดจบ ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก ผู้จัดการโรงงานเครื่องจักรลมยาวพร้อมด้วยผู้นำของสหภาพแรงงานและแผนกขนส่งมาเยี่ยมซูต้าจียงที่ป่วยอยู่
ก่อนที่เขาจะไปอยู่หน่วยสาม ซูต้าจียงเป็นคนงานที่ขยันมากคนหนึ่ง ผู้จัดการชื่นชมคุณสมบัตินี้ของเขาเป็นอันมาก และเนื่องด้วยทักษะทางเทคนิคและทักษะการใช้งานที่ยอดเยี่ยมของเขา เขาจึงถูกส่งไปช่วยงานที่แนวหน้า
การกลับมาครั้งนี้ของเขาจะทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่ง
ห้องผู้ป่วยคึกคักขึ้นเมื่อทุกคนล้อมรอบซูต้าจียงและสอบถามถึงอาการของเขา บรรยากาศในการพูดคุยกันเป็นกันเองและน่ารื่นรมย์
ซูฮั่นหยวนใช้โอกาสนี้ขอตัวออกไป หลังจากบอกเว่ยกุ้ยฉิน เธอก็ออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
เมื่อซูฮั่นหยวนกลับมาที่หอพัก เธอเห็นจู้หลินกำลังถือค้อนและตะปู กำลังซ่อมแซมขาโต๊ะ เสียงเคาะดังจนได้ยินชัดเจนแม้อยู่ในทางเดิน
"เธอไม่ได้ไปทำงานเหรอ?" ซูฮั่นหยวนถอดหมวกและเสื้อโค้ทแล้วเดินเข้าไปช่วย
"วันนี้ฉันหยุดงาน" จู้หลินชี้ไปที่ขาโต๊ะขณะพูด "โต๊ะนี้เก่าแล้ว ทุกครั้งที่ฉันใช้มันเพื่ออ่านหนังสือ รู้สึกไม่มั่นคงเลย วันนี้ฉันเลยตั้งใจจะตอกตะปูให้แน่น"
"ฉันจะช่วยถือไว้"
"ได้"
จู้หลินหยิบค้อนขึ้นมาตอกตะปู หลังจากเคาะไปได้สองครั้ง ก็มีคนมาขอยืมหนังสือจากเธอ เธอจึงวางค้อนลงและไปหาหนังสือที่ชั้นวาง
ซูฮั่นหยวนหยิบค้อนขึ้นมาและลองตอกขาโต๊ะเอง
การตอกตะปูดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เคยชินกับชีวิตสะดวกสบายอย่างเธอ เธอยกค้อนขึ้นมาและตอกลงไปอย่างแรง
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อค้อนกระทบมือของเธอแทนที่จะเป็นตะปู
"โอ๊ย..." เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและรีบใช้มืออีกข้างกุมมือที่เลือดออก
เมื่อจู้หลินกลับมาก็เห็นเลือดอยู่บนพื้น "เธอทำมือเจ็บเหรอ? เป็นอะไรไหม? ไปหาผ้าก๊อซและผ้าพันแผลมาทำแผลเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง"
"ไม่เป็นไร แค่นิดหน่อยเอง" ขณะที่ซูฮั่นหยวนพูด เธอก็สังเกตเห็นแสงสีน้ำเงินที่ส่องแสงอยู่ใต้มือของเธอ จากนั้นแสงนั้นรวมตัวกันเป็นเส้นแสงไหลไปยังบาดแผล
ความเจ็บปวดทุเลาลง แม้ว่าบาดแผลยังคงอยู่ แต่ความเจ็บปวดหายไป