หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
ทันทีที่ซูฮั่นหยวนพูดจบ รถพยาบาลก็จอดอยู่หน้าประตูทางเข้า ประตูห้องฉุกเฉินถูกผลักเปิดออกกว้าง พยาบาลและหมอกลุ่มหนึ่งก็เข็นคนไข้เข้าไปข้างในด้วยความกังวล
“เร็วเข้า! อุบัติเหตุทางรถยนต์ร้ายแรง คนไข้เลือดออกมาก อัตราการเต้นของหัวใจก็ลดลงอย่างรวดเร็ว!”
“เครื่องจักรในโรงงานมีปัญหา แท่งเหล็กทิ่มหน้าอก…”
หมอคนหนึ่งที่กำลังรอรถพยาบาลฉุกเฉินอยู่ก่อนหน้านี้ก็พุ่งเข้ามา เขาหยิบหูฟังขึ้นมาฟังเสียงหัวใจก่อนจะรีบเตือนว่า “รีบไปที่แผนกแพทย์เฉพาะทาง!”
เนื่องจากการมาถึงของคนไข้ทั้ง 2 ราย ทำเอาห้องฉุกเฉินเกิดความยุ่งวุ่นวาย
ซูฮั่นหยวนเห็นสถานการณ์ดังกล่าวก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา บางทีสถานการณ์ของพ่อเธออาจจะดูไม่ฉุกเฉินมากพอเพราะพ่อไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอก ไม่ส่งเสียงโวยวายด้วยความเจ็บปวด และไม่มีเลือดออก เขานอนเงียบๆ อยู่ที่มุม ๆ หนึ่งจึงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของใครได้
ไม่ได้! เธอจะต้องคิดหาวิธี!
เธอยืนอยู่ในโถงผู้ป่วยฉุกเฉิน มองไปรอบ ๆ พยายามมองหาหมอหรือพยาบาลที่ไม่ยุ่งมากนัก ทว่าไม่มีใครที่ไม่ยุ่งเลย!
บางทีชะตากรรมของซูต้าเจียงอาจไม่สามารถเขียนใหม่ได้กระมัง?
ขณะที่เธอกำลังร้อนใจอยู่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงแหลมสูงของผู้หญิงคนหนึ่ง “คุณหมอจิน จะกลับแล้วเหรอคะ เดินทางปลอดภัยนะคะ!”
หมอจิน!
เธอรีบหันไปมองตามเสียงนั้นและทันเห็นชายร่างสูงเพรียวปรากฏขึ้นในครรลองสายตา เขาคงเป็นหมอที่เพิ่งเลิกงานและกำลังจะกลับบ้าน เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างไว
ชีวิตและความตายพ่อของเธอไม่แน่ไม่นอน หมอคนใดก็ตามที่ปรากฏอยู่ในสายตาของเธอตอนนี้อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ต้องคว้าเอาไว้!
“คุณหมอจิน!” เธอตะโกน
จินเฉินหยุดชะงักและมองไปที่หญิงสาวที่หน้าแดงก่ำตรงหน้า เขายกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หืม?”
“ได้โปรดช่วยพ่อของฉันด้วยค่ะ พ่อของฉันรออยู่นานแล้วแต่ไม่มีใครมาดูพ่อเลย พ่อของฉันอาการแย่มาก ถ้าไม่มีใครช่วย พ่อต้องตายแน่ๆ” ซูฮั่นหยวนเอ่ยขอร้องด้วยความร้อนใจ
หมอหนุ่มคลึงขมับ แลเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตา เขาเม้มริมฝีปากและพูดอย่างเย็นชาว่า “ได้ ไปดูพ่อคุณกันเถอะ”
รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้ถูกมองข้ามไปภายใต้สายตาของเธอ เขาอาจจะเพิ่งเสร็จสิ้นหน้าที่เวรกลางคืน...
เขาคงจะเหนื่อยมาก
แต่เธอไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้ มีหมอยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
จินเฉินปรับสภาพจิตใจของเขาอย่างรวดเร็วและก้าวเท้าไปในทิศทางที่ซูฮั่นหยวนชี้
ซูฮั่นหยวนเดินตามหลังมาติด ๆ ขาของชายคนนี้ยาวเกินไป ทุกครั้งที่เขาเดิน เธอคิดว่าเธอจะต้องแยกขาเพื่อตามให้ทัน
เมื่อจินเฉินมาถึงตรงหน้าซูต้าเจียง เขาเห็นว่าใบหน้าของคนไข้เต็มไปด้วยเหงื่อ ริมฝีปากซีด คิ้วขมวดเข้าหากัน บางครั้งก็ครางเบา ๆ ออกมาด้วยความเจ็บปวด
“หูฟัง!” เขากล่าวอย่างกระชับ
“ฮะ?”
“ไปเอาหูฟังตรวจโรคจากโต๊ะพยาบาลมา!” เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซูฮั่นหยวนไม่กล้าชักช้า หันหลังแล้ววิ่งไป ไม่นานนัก หูฟังตรวจโรคก็อยู่ในมือของเขา
เขาหลุบตาลง ขนตาหนาพลิ้วไหวขณะที่เขาตั้งใจฟัง หัวใจเต้นเร็วผิดปกติและคนไข้หายเริ่มหายใจไม่ออก
จากนั้นเขาก็ถอดหูฟังออกและยกเสื้อคลุมของซูต้าเจียงขึ้น นิ้วเรียวสวยของเขาแตะลงบนหน้าท้องของคนไข้ขณะที่สังเกตปฏิกิริยาของคนไข้ไปด้วย สีหน้าของคนไข้แสดงออกถึงความเจ็บปวดและเกร็งอย่างเห็นได้ชัด อาการเกร็งตรงหน้าท้องของคนไข้
“คนไข้อาเจียนหรือเปล่า” เขาเงยหน้าขึ้นมอง
“ใช่ค่ะ เขาอาเจียนหนักมาก ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สามีฉันยังกินอาหารเช้าไม่หมดด้วยซ้ำ อยู่ ๆ ก็อาเจียนกะทันหัน ตอนที่เราพาเขามาที่โรงพยาบาล เขาก็ตัวสั่นไปหมด” เว่ยกุ้ยฉินบอกทุกอย่างเท่าที่เธอรู้ให้หมอฟังอย่างกระวนกระวาย ดวงตาของเธอจ้องไปที่หมอขณะที่ถามว่า “หมอคะ เกิดอะไรขึ้นกับสามีของฉัน ร้ายแรงหรือเปล่า”
จินเฉินไม่ตอบอะไร เขาตรวจดูขาของซูต้าเจียง อาการบวมที่ขาส่วนล่างเห็นได้ชัด เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่มี อาการป่วยของคนไข้ค่อนข้างชัดเจน
“คุณหมอ…” เว่ยกุ้ยฉินวิตกกังวลมากจนอยากจะร้องไห้
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่า “การวินิจฉัยเบื้องต้นคือคนไข้มีอาการลำไส้ทะลุเฉียบพลัน ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงได้! ต้องผ่าตัด!”