หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
บทที่ 95: หน้าไม่อาย
ส่วนคนที่ซูจิ่งรุ่ยกำลังรอคอยอยู่นั้น คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็นหลินจื่อชิว
ซูฮั่นหยวนไม่อยากสนใจพี่ชายของเธอ ผู้ซึ่งไม่รู้จักวางตัว เธอคิดว่าทำเป็นมองไม่เห็นเขาไปเสียดีกว่า เธออยากจะหลบหายไปในฝูงชนและเลี่ยงที่จะพบเขา
ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายคนนี้จะมีสายตาที่ดีเยี่ยมขนาดนั้น มองปราดเดียวก็เห็นเธอ
"เฮ้!" ซูจิ่งรุ่ยโบกมือเรียกเธอจากในฝูงชน "ซูฮั่นหยวน มานี่สิ!"
ซูฮั่นหยวนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและเดินต่อไปข้างหน้า ทว่า เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็ถูกผู้ชายคนนั้นจับได้คาหนังคาเขา
"นายจะทำอะไร?" เธอถามพลางขมวดคิ้ว
"อะไรกัน เจอพี่ชายแท้ๆ ทำไมต้องหลบหน้า?" ซูจิ่งรุ่ยล้วงมือไว้ในกระเป๋า เขาสุงกว่าเธอหนึ่งหัว โน้มตัวมองลงมาที่เธอ
"มีอะไร?"
"ไม่มีอะไรแล้วเรียกไม่ได้หรือไง? ฉันไม่ใช่พี่ชายเธองั้นเหรอ?" ซูจิ่งรุ่ยเห็นน้องสาวทำเมินเฉยใส่ก็อดโมโหไม่ได้
"นายสบายดีก็เรื่องของนาย ฉันไม่สบายใจ นายรอคนของนายไปเถอะ ฉันจะไปละ! บาย!" ซูฮั่นหยวนมองเขาอย่างหงุดหงิดและกำลังจะจากไป
"จะหนีไปไหน?" ซูจิ่งรุ่ยคว้าตัวเธอไว้ "ไม่ได้กลับบ้านตั้งนาน รู้ไหมว่าพ่อคิดถึงมากแค่ไหน"
"หลังเทศกาลฉันก็กลับ" เธอตอบ
"แล้วตอนนี้จะไปไหน?" ซูจิ่งรุ่ยถาม
“จะสนทำไม?”
“ถ้าฉันไม่สน แล้วใครสน? ฉันเป็นพี่แกนะ!” ซูจิ่งรุ่ยตะโกน
ซูฮั่นหยวนมองเขาและอยากจะหยิกหน้าเขาจริงๆ “พี่นี่หน้าไม่อายจริงๆ ถ้าพี่เป็นพี่ฉันจริงๆ ทำไมถึงอยากเตะฉันออกจากบ้านล่ะ? ซูจิ่งรุ่ย ไม่มีใครหน้าหนาเท่าพี่แล้ว!”
ซูจิ่งรุ่ยกัดฟันกรอดและจ้องหน้าน้องสาวด้วยความโมโห พิจารณาจากที่พวกเขาอยู่ที่หน้าทางเข้าโรงงาน ที่ตรงนี้ไม่เหมาะที่จะมีปากมีเสียงกัน เขาจึงยอมถอย
“เอาล่ะ ครั้งนี้ฉันจะไม่ทะเลาะกับแก แต่ถามอะไรหน่อยสิ” ซูจิ่งรุ่ยเกาหัวแกรกๆ “แกได้รับเงินเดือนยัง? ตอนนี้มีเงินกับตัวบ้างไหม?”
“ว่าไงนะ?” ซูฮั่นหยวนคิดว่าเธอได้ยินผิด “นี่พี่กำลังจะขอเงินจากฉันเหรอ?”
หนังหน้าเขาเป็นอะไรไปแล้ว? ยังมีความละอายใจอยู่บ้างไหม?
“ใช่! ฉันอยากได้เงิน” หน้าของซูจิ่งรุ่ยหนาเสียยิ่งกว่ากำแพงเมือง “เดือนนี้ฉันเงินไม่พอใช้จริงๆ อยากจะยืมเงินแกก่อน”
“ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องให้เงินพี่นะ ซูจิ่งรุ่ย ฉันบอกพี่ให้รู้ไว้เลยนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เงินของฉัน ฉันจะไม่ให้ใครใช้ทั้งนั้น ฉันจะไม่ให้แม้แต่เหรินเดียวกับครอบครัว ฉันจะไม่ให้เงินพี่สักเหรินดียว! เข้าใจไหม?” หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็สะบัดมือของซูจิ่งรุ่ยออกอย่างแรงและก้าวขาไปที่ป้ายรถเมล์
“นี่ นังเด็กเวร แกอยากจะก่อกบฏเรอะ!” ซูจิ่งรุ่ยสบถและกำลังจะไล่ตามเธอไป แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงหลินจื่อชิวดังมาจากข้างหลัง
เขาหยุดชะงักและหันกลับไป เห็นหลินจื่อชิวเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มละไมบนใบหน้า
"จิ่งรุ่ย!"
"ชิวเอ๋อร์!" ซูจิ่งรุ่ยหันกลับมาทันทีพร้อมกับรอยยิ้มหวานจนเห็นฟันขาวสองแถว "ฉันรอเธอตั้งนานแล้ว วันนี้เหนื่อยไหม?"
ขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือออกไปเพื่อจับมือหลินจื่อชิว
หลินจื่อชิวหลบมือเขาและถามด้วยรอยยิ้ม "คืนนี้เราจะไปกินข้าวเย็นที่ไหนกันดี"
"ฉันจะพาเธอไปโรงแรมของรัฐ" ซูจิ่งรุ่ยตบเบาะและพูดว่า "ขึ้นมาสิ! กินข้าวเย็นเสร็จเราไปเดินเล่นในสวนกัน พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปห้างแต่เช้าเพื่อซื้อเสื้อผ้าและเครื่องสำอางใหม่ๆ ให้เธอ"
"ตกลง!" หลินจื่อชิวตอบตกลงด้วยรอยยิ้มและกระโดดขึ้นจักรยาน "ฉันเห็นเธอไล่ตามซูฮั่นหยานเมื่อกี้นี้ พวกเธอทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ?"
"อย่าพูดถึงมันเลย" ซูจิ่งรุ่ยพูดอย่างหงุดหงิด "ยัยเด็กนั่นจัดการยากขึ้นเรื่อยๆ! แต่...ฉันคิดว่าเธอนั่งรถออกไปข้างนอก เย็นแล้วยังจะออกไปไหนอีกคนเดียว”
"พูดถึงเรื่องนี้...ฉันนึกอะไรขึ้นได้อย่างหนึ่ง" หลินจื่อชิวกล่าว
บทที่ 96: ใส่ใจหล่อนให้มากขึ้น
"มีอะไรเหรอ?" ซูจิ่งรุ่ยเริ่มปั่นจักรยานอย่างไม่มั่นคง สายตาของเขากวาดไปยังทิศทางที่ซูฮั่นหยวนจากไป เห็นเพียงเธอก้าวขึ้นรถเมล์ เขาสงสัยว่าสุดท้ายแล้วเธอจะไปที่ไหน
"เรื่องของหยวนหยวนน่ะ" หลินจื่อชิวกล่าว
"ซูฮั่นหยวน? เกิดอะไรขึ้นกับยัยเด็กนั่นล่ะ" ซูจิ่งรุ่ยถามอย่างใจลอย
"ฉันเพิ่งได้ยินมาวันนี้เอง" หลังจากหลินจื่อชิวกลับจากโรงอาหารหลังอาหารกลางวัน เธอถูกกลุ่มคนแซว พวกเขาคิดว่าเธอกับโจวหนิงไค่จะสานสัมพันธ์กัน แต่เธอบอกว่าโจวหนิงไค่ต้องการตามจีบซูฮั่นหยวนและขอให้เธอช่วย ดังนั้น กลุ่มคนเหล่านั้นจึงเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับซูฮั่นหยงนกับเธอ "เพื่อนร่วมงานในแผนกขนส่งบางคนบอกว่าช่วงนี้เห็นเธอออกจากโรงงานคนเดียวหลังเลิกงานทุกวัน ไม่รู้ว่าไปไหน"
ซูจิ่งรุ่ยหยุดรถแล้วหันกลับมา "เธอว่าไงนะ? ออกไปข้างนอกทุกวัน?"
"ฉันแค่ได้ยินมา" หลินจื่อชิวพยักหน้าเล็กน้อย
"พวกเขาไม่ถามซูฮั่นหยวนหรือว่าไปไหน"
"ไม่ค่อยสนิทกัน จะถามได้ยังไงล่ะ"
"ยัยเด็กคนนี้แอบออกไปทำอะไรไม่ดีรึเปล่า?" ซูจิ่งรุ่ยอดคิดไม่ได้ ช่วงนี้เด็กคนนี้กล้ามาก แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง
"ถ้าเธอพูดอย่างนั้น..." หลินจื่อชิวหยุดชะงัก "เธอคิดว่าหยวนหยวนจะทำเรื่องไม่ดีอะไรล่ะ"
"ฉันไม่รู้" ซูจิ่งรุ่ยส่ายหัว "จื่อชิว รบกวนเธอใส่ใจหล่อนให้มากขึ้นหน่อยนะ ถ้ามีอะไรก็บอกฉัน แม้ว่ายัยเด็กนั่นจะทะเลาะกับครอบครัว แต่ฉันไม่ยอมให้เธอทำอะไรน่าอายข้างนอกหรอก"
"ตกลง" หลินจื่อชิวยิ้มและพยักหน้า
เมื่อซูฮั่นหยวนมาถึงบ้านผู้จัดการโรงงานจาง คุณย่าจางกำลังทำเกี๊ยวอยู่ที่บ้านอย่างมีความสุข ผลการเรียนของหลานชายคนโตของหล่อนดีขึ้นมาก หล่อนมีความสุขมากจนหุบยิ้มไม่ได้
"หนูซู! หนูมีกลเม็ดเด็ดพรายจริงๆ เลยนะ หนูอาจไม่รู้ แต่เด็กคนนี้คะแนนภาษาอังกฤษแย่มากจนทำให้คนปวดหัว พ่อของเขาทั้งตีทั้งด่า แต่เขาก็ยังไม่ยอมตั้งใจเรียน พอหนูเริ่มสอน ผลลัพธ์ก็ดีขึ้นทันที ถ้าเขายังพัฒนาต่อไปตามมาตรฐานนี้ ฉันคิดว่าการเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้าคงไม่ใช่ปัญหา ฉันรู้สึกขอบคุณหนูจริงๆ นะ หนูซู" คุณย่าจางคว้ามือซูฮั่นหยวนและพูดอย่างตื่นเต้น
"เทียนไฉเป็นเด็กฉลาด ตราบใดที่เขาตั้งใจเรียน เขาก้าวหน้าได้แน่ค่ะ ตอนนี้คะแนนของเขายังต่ำมาก ทว่ายังสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่ในระยะหลังมันอาจจะช้าลง คุณย่าคะ ถ้าว่าง คุณย่าต้องคอยดูเขาด้วยนะคะ" ซูฮั่นหยวนพูดอย่างจริงจัง
ดังคำกล่าวที่ว่า อยู่ในตำแหน่งใดก็ทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้น
ในเมื่อเธอเป็นติวเตอร์ เธอต้องทำหน้าที่ของเธอให้สำเร็จลุล่วง ไม่ว่าจะเป็นการสอนหรือการตักเตือน
"ได้สิ ฉันจะทำ ฉันจะเตือนเขาแน่นอน ถ้าเขาไม่ตั้งใจเรียน ฉันจะบ่นเขาหูชาเลย คอยดูเถอะ" คุณย่าจางพูดอย่างมีความสุข
จางเทียนไฉกำลังเรียนอยู่ในห้อง เมื่อเขาได้ยินบทสนทนาระหว่างคุณย่ากับซูฮั่นหยวนในครัว เขาก็ออกมาพร้อมกับแอปเปิ้ลในปาก เขาพิงกรอบประตูและมองดูผู้หญิงสองคนพูดคุยเกี่ยวกับเขา
หลังจากที่คุณย่าจางทำเกี๊ยวเสร็จ เธอหันกลับมาและเห็นหลานชายคนโตพิงกรอบประตู เธอตกใจ "เด็กคนนี้! ยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จา ทำเอาย่าตกใจหมด!"
"ดูสิว่าคุณย่าขวัญอ่อนแค่ไหน" จางเทียนไฉหัวเราะ หลังจากพูดจบ เขามองไปที่ซูฮั่นหยวน กระแอมออกมาเล็กน้อย และพูดอย่างเคอะเขิน "คุณครูซู ขอบคุณครับ!"
"ขอบคุณฉันเรื่องอะไร?" ซูฮั่นหยวนยิ้ม "นี่เป็นผลมาจากความพยายามของเธอเอง"
จางเทียนไฉเกาจมูกและพูดอย่างยากลำบาก "ผมเหมือนจะทำให้ครูเดือดร้อน มีบางอย่างที่ผมอยากจะปรึกษาครูหน่อย..."
บทที่ 97: อาชีพที่สอง
"หืม เดือดร้อน?" ซูฮั่นหยวนเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น "เธอทำให้ฉันเดือดร้อนเรื่องอะไรล่ะ"
เมื่อคุณย่าจางได้ยินเช่นนั้น เธอก็ตำหนิหลานชายคนโตทันที "ถ้าไม่หาเรื่องซักวันจะอยู่ไม่สุขรึไง? ทำไมถึงไปสร้างปัญหาให้คุณครูซู?"
"ย่า ย่าไม่เข้าใจ..." จางเทียนไฉไม่ชอบให้ย่าขัดจังหวะ เขาจึงเรียกซูฮั่นหยวนเข้าไปในห้องนั่งเล่นเพื่อปรึกษาบางอย่างกับเธอ "ครูซู ผมพูดตรงๆแล้วกัน เพื่อนร่วมชั้นของผมอยากให้ครูช่วยติวภาษาอังกฤษให้พวกเขา"
"เพื่อนร่วมชั้นของเธอ?" ซูฮั่นหยวนถาม
"ใช่!"
"กี่คน?"
"ไม่ใช่แค่ไม่กี่คน แต่เป็นสิบกว่าคน! อาจจะมีหลายสิบคนด้วยซ้ำ!" จางเทียนไฉกล่าว
"อะไรนะ? เยอะขนาดนั้นเลย" นี่เกินความคาดหมายของซูฮั่นหยวน "ไม่มีครูสอนภาษาอังกฤษคนอื่นอีกหรือ? ทำไมถึงอยากให้ฉันติวให้ล่ะ?"
จางเทียนไฉปัดผมหน้าผากอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า "ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผลการเรียนของผมพัฒนาขึ้นอย่างกะทันหัน การเพิ่มขึ้นสามสิบคะแนนในหนึ่งเดือนก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนอิจฉา แม้แต่คุณครูก็ยังชมผม ตอนนี้ผมเป็นตัวอย่างที่ดีเลยล่ะ"
"ไม่แปลกใจเลย" ซูฮั่นหยวนยิ้มมุมปาก "ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเริ่มอาชีพที่สองเพราะเธอสินะ"
“ครูซู ทำไมคุณไม่ลองพิจารณาดูหน่อยล่ะครับ" จางเทียนไฉหัวเราะเบาๆ
"จางลู่และคนอื่นๆ เป็นยังไงบ้างล่ะ"
"พวกเขาไม่ได้พัฒนาขึ้นมากเท่าผม แต่ก็ไม่เลว พวกเรากำลังคุยกันก่อนหน้านี้ว่าอยากจะให้ครูมาสอนต่อในช่วงวันหยุดนี้ คิดว่าไงครับ?" จางเทียนไฉถาม
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซูฮั่นหยวนก็ถามว่า "พวกเธอไม่พักผ่อนช่วงปีใหม่หรือ?"
ทันทีที่เธอพูดจบ ผู้จัดการจางก็กลับมาจากข้างนอกพร้อมกับไก่ย่างและเนื้อปรุงสุกครึ่งชั่งในมือ เขายิ้มและพูดว่า "พวกเขากำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย จะพักผ่อนไปทำไม? คุณซู ถ้าคุณมีเวลาในช่วงวันหยุด จะยอมมาติวให้เด็กพวกนี้ไหม?"
เธอไม่ว่าอะไรหรอก ท้ายที่สุดแล้ว ปีใหม่ที่บ้านหลังนั้นคงจะแย่น่าดู ถ้าเธอหาข้ออ้างออกไปข้างนอกได้ก็คงจะเป็นเรื่องดี "ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วแต่พวกคุณเลย"
"เยี่ยมไปเลย!" จางเทียนไฉมีพลังขึ้นมาทันที "งั้นผมจะไปที่ห้องเรียนและนับดูว่าใครอยากมาเรียนบ้าง แล้วผมจะมาบอกอีกที ตกลงไหมครับ?"
"ตกลง" ซูฮั่นหยวนพยักหน้า ช่วงวันหยุดแบบนี้หาเงินพิเศษได้ก็ดี ไม่เสียงานเสียการพักผ่อนด้วย
"งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ" จางเทียนไฉกัดแอปเปิ้ลสองคำแล้วโยนแกนเข้าไปในถังขยะที่มุมห้อง เขาพูดอย่างคลุมเครือ "ผมจะไปท่องศัพท์แล้ว..."
จางหงพอใจมากที่เห็นลูกชายทำได้ดี เขาพูดกับซูฮั่นหยวนด้วยความรู้สึกขอบคุณ "ขอบคุณนะ คุณซู! เด็กคนนี้ไม่เชื่อฟังมานานแล้ว"
"ใช่ไหมล่ะ?" คุณย่าจางออกมาพร้อมกับอาหารแล้ววางลงบนโต๊ะ เธอม้วนผ้ากันเปื้อนที่เอวขึ้นและเช็ดมือ "แม่ของเขาจากบ้านนี้ไปนานกว่าหนึ่งปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเด็กคนนี้ยิ้ม"
จางหงก้มหน้าลงแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
ซูฮั่นหยวนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศแปลกไปเล็กน้อย เป็นการดีกว่าที่เธอจะไม่ได้ยินเรื่องครอบครัวของคนอื่น "คุณย่า ให้หนูช่วยทำเกี๊ยวนะคะ" เธอกล่าว
มื้ออาหารมื้อนี้ราบรื่น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ดีมาก
หลังอาหารเย็น ซูฮั่นหยวนต้องการกลับไปที่โรงงาน คุณย่าจางหยิบซองแดงเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าและให้ซูฮั่นหยวนสิบหยวนเป็นรางวัล
ซูฮั่นหยวนปฏิเสธอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ในที่สุดเธอก็รับซองแดงนั้นไว้