หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
แล้วก็ถึงยามค่ำคืน ชุน 1 ท่านพ่อบ้านฟาง พร้อมด้วยผู้พิทักษ์ของท่านอ๋องน้อยอีก 4 คน
ก็พากันสวมชุดดำไปดักซุ่มดูการขนของเถื่อน ที่บริเวณที่ดินของเหยาเซียว
ตอนนี้บาดแผลที่ปลายแขนซ้ายของทั้ง 2 ชุน ก็หายสนิทดีแล้ว
เนื่องจากทั้ง 2 ชุนกินยาอย่างดีจากท่านอาจารย์จ้าว และที่สำคัญทั้ง 2 ชุนได้ทำการเดินเคล็ดดูดซับพลังปราณกลืนเมฆาอย่างขยันขันแข็ง เพื่อดึงเอาพลังปราณเข้าไปรักษาบาดแผล จนหายสนิทในเวลาไม่ถึง 2 เดือน
พวกเขาดักซุ่มอยู่ไกลพอสมควร แต่ก็ยังเห็นภูมิประเทศได้ชัดเจน
พวกเขาได้เตรียมกล้องกลไกบันทึกภาพที่สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวจากระยะไกลมาด้วย
หลังจากซุ่มรออย่างเงียบๆมาช่วงหนึ่ง ก็มีเรือจำนวน 3 ลำเข้ามาจอดเทียบท่าเรือขนาดเล็ก ยังอ่าวในที่ดินของเหยาเซียว
จากนั้นอีกไม่นานรถม้าบรรทุกสินค้าจำนวน 6 คัน ก็เข้าไปจอดบริเวณท่าเรือขนาดเล็กนั้น เพื่อขนของขึ้นเรือทั้ง 3 ลำ
มีผู้คนจำนวนประมาณ 40 คน รีบเข้ามาทำการขนลังสินค้า ขึ้นเรืออย่างรีบเร่ง
ชุน 1 มองจากกล้องกลไกบันทึกภาพก็บอกได้ว่า คนส่วนใหญ่ที่กำลังขนของเถื่อนเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านนั่นเอง
ดังนั้นเขาจึงไม่สงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดชาวบ้านจึงไม่ให้ความร่วมมือ ในยามที่เขาเข้าไปหาข้อมูลเรื่องของเหยาเซียว
แล้วเขาก็มองเห็นคน 2 คนซึ่งเขารู้จัก นั่นคือนายกองมือปราบหลี่และหัวหมู่มือปราบหม่าจาง
กำลังสั่งการให้บรรดาชาวบ้านขนลังของเถื่อนด้วยความเร่งรีบ
แล้วลังของเถื่อนลังหนึ่ง ก็หลุดมือตกลงกระแทกพื้น จนของในลังกระจายออกมา
มันคือหินพลังปราณ บรรดาชาวบ้านรีบเก็บหินพลังปราณกลับเข้าใส่ลังอย่างรวดเร็ว แล้วขนขึ้นเรือต่อไป
การขนของเถื่อนในเที่ยวนี้ใช้เวลาไป 5 ยาม ( 5 ยาม = 5 ชั่วโมง ) จึงหยุดขน เนื่องจากตอนนี้ฟ้าใกล้สว่างแล้ว และเรือทั้ง 3 ลำต้องออกเดินทางนำเอาหินพลังปราณเถื่อนไปส่งยังจุดนัดหมาย
เมื่อชุน 1 ได้ข้อมูลและบันทึกภาพเคลื่อนไหวเอาไว้เเล้ว เขาและคนอื่นๆก็พากันกลับไปยังเรือแม่น้ำสวรรค์
เมื่อยามเช้ามาถึงชุน 2 และศิษย์พี่เตียก็ขอเข้าพบท่านอาจารย์ ชุน 2 กล่าวแทนชุน 1 ว่า
"ท่านอาจารย์ขอรับนี่เป็นบันทึกภาพเคลื่อนไหวจากกล้องกลไกขอรับ" แล้วชุน 2 ก็ยื่นกล้องบันทึกภาพให้ท่านอาจารย์จ้าวเอาไปดู
พร้อมอธิบายรายละเอียดต่างๆให้แก่ท่านอาจารย์จ้าวอย่างครบถ้วน
ท่านอาจารย์จ้าวเมื่อได้เห็นภาพเคลื่อนไหวและรับทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว จึงถามหลิวชุนว่า
"แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป"
หลิวชุนกล่าวว่า "การที่จะให้โจรลักพาตัวปล่อยตัวบุตรชายของท่านตุลาการเฉินนั้น จะต้องทำการช่วยเหยาเซียวออกจากคุก โจรถึงจะยอมปล่อยตัวคุณชายเฉิน"
"และการจะปล่อยตัวเหยาเซียวได้ ก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาคดีข่มขืนหญิงชาวบ้านของเหยาเซียวให้ได้เสียก่อนขอรับ"
"หลิวชุนเจ้าว่าต่อไปได้เลย" ท่านอาจารย์จ้าวกล่าว
"ตัวข้านั้นมีความเชื่อถึง 9 ใน 10 ส่วน ว่าคดีข่มขืนหญิงชาวบ้านของเหยาเซียวนั้น เป็นการจัดฉาก เพื่อฮุบเอาที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่จอดเรือลำเลียงของเถื่อน"
"ที่ต้องจับเหยาเซียวเข้าคุกก็เพราะไม่สามารถฆ่าเหยาเซียวแล้วยึดเอาที่ดินมาได้โดยตรง"
"เพราะถ้าหากเหยาเซียวตาย ที่ดินก็จะตกไปเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมการภาษี มิใช่อยู่ในการดูแลของกรมอาญา ที่สำนักมือปราบสังกัดอยู่"
"หากที่ดินตกไปอยู่กับกรมการภาษี มิใช่อยู่กับกรมอาญา อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาภายหลังได้"
"ทางผู้อยู่เบื้องหลังการขนหินพลังปราณเถื่อนจึงมิกล้าเสี่ยงให้กรมการภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องเก็บชีวิตของเหยาเซียวไว้ขอรับ"
"อืม.. แล้วเจ้าจะจัดการอย่างไรกับคดีนี้"
"อันดับแรก ต้องบุกเข้าจับกุมผู้ลักลอบขนหินพลังปราณเถื่อนขอรับ"
"แต่เนื่องจากว่าเราไม่สามารถแจ้งทางการได้ เพราะไม่รู้ว่ามีผู้ใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการขนของเถื่อน"
"ข้าจึงได้ปรึกษากับท่านศิษย์พี่เตียแล้ว พบว่าบุคคลธรรมดาสามัญ สามารถกระทำการบังคับใช้กฏหมายได้"
"หากเกิดความผิดซึ่งหน้า และมิสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ทางการได้ทัน และการกระทำนั้นบังเกิดให้เป็นผลดีต่อราชอาณาจักรต้าเหมิง"
"ฮ่าๆๆ.. ตกลงตามนั้น ตกลงตามนั้น" ท่านอาจารย์จ้าวหัวเราะและกล่าวออกมาอย่างง่ายๆ
แล้วการวางแผนเข้าจับกุมการลักลอบขนหินพลังปราณเถื่อนก็เริ่มขึ้น
ค่ำนี้ซึ่งเป็นคืนวันที่ 6 ตามเส้นตาย 15 วันของโจรลักพาตัว
ชุน 2 ท่านพ่อบ้านฟาง ผู้พิทักษ์ทั้ง 8 และนักยุทธ์ขั้นผสานลมปราณอีก 6 คนของเรือแม่น้ำสวรรค์ รวม 16 คน
ก็แทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ ที่จะมีการขนหินพลังปราณเถื่อน
และการที่ชุน 1 มั่นใจว่าจะต้องมีการขนหินพลังปราณเถื่อนในคืนนี้อีกครั้ง ก็เพราะคืนเมื่อวานนี้ชุน 1 เห็นว่าในจำนวนรถม้าบรรทุกของเถื่อนทั้ง 6 คัน
มีลังบรรทุกหินพลังปราณเถื่อนอีกหลายลัง ที่ยังค้างอยู่บนรถม้าแต่ยังมิทันขนลงเรือฟ้าก็เริ่มสางเสียก่อน พวกลักลอบขนหินพลังปราณเถื่อน จึงต้องแยกย้ายกันไป
ชุน 2 นั้นเฝ้ารอการมาถึงของกลุ่มคนขนของเถื่อนครั้งนี้ด้วยความตื่นเต้น
เขาพร้อมลุยเต็มที่แล้ว
เมื่อเรือขนของเถื่อน เข้าเทียบท่าขนาดเล็กในอ่าวทั้ง 3 ลำแล้ว ไม่นานรถม้าบรรทุกของเถื่อนจำนวน 2 คัน ก็มาถึงเช่นเดียวกัน
ชาวบ้านที่เป็นแรงงานในการขนของเถื่อนก็พากันรีบไปยังรถม้าเพื่อขนลังหินพลังปราณ
การขนของเถื่อนในครั้งนี้ มีผู้คุ้มกัน การขนของเถื่อนถึง 35 คน
โดย 3 คนในนั้น สวมผ้าปกปิดหน้าตาเอาไว้ จนมิสามารถรู้ได้ว่าเป็นผู้ใด แต่ทั้ง 2 ชุนก็พอคาดเดาได้ว่า 2 ใน 3 คนนั้น จะต้องเป็นนายกองมือปราบหลี่ และหัวหมู่มือปราบหม่าจงเป็นแน่
ท่านพ่อบ้านฟางที่ท่านอาจารย์จ้าว ตั้งให้เป็นผู้นำภารกิจบุกจับกุมในครั้งนี้ ก็กล่าวกับกลุ่มคนของเรือแม่น้ำสวรรค์อีก 15 คนว่า
"พวกมันมีขั้นผสานกายา 20 คนขั้นผสานลมปราณ 10 คน และขั้นปราณวารีระดับเดียวกับข้าอีก 2 คน ส่วนเจ้า 3 คนที่สวมผ้าปกปิดหน้าตานั้น ล้วนอยู่ในขั้นผสานลมปราณ"
"รวมเป็น 35 คน"
"ส่วนทางพวกเรามี ขั้นผสานกายา 1 คน ซึ่งก็คือนายน้อยหลิว ขั้นผสานลมปราณ 12 คน แล้วก็ขั้นปราณวารี 1 คน รวมเป็น 16 คน กองกำลังต่างกันเกินไป"
ที่ท่านพ่อบ้านฟางทำการตรวจสอบระดับขั้นของพวกขนหินพลังปราณเถื่อนได้ก็เพราะว่า ท่านพ่อบ้านฟาง เป็นนักยุทธ์ขั้นปราณวารี
ขั้นปราณวารีนี้ จะสามารถเปิดจุดตันเถียนได้ จึงสามารถตรวจสอบพลังปราณจากร่างกายของคนอื่นได้ หากอยู่ไม่ไกลกันเกินไปนัก
จากนั้นท่านพ่อบ้านฟางก็ทำการใช้เครื่องกลไกสื่อสารระยะใกล้ ส่งข้อความตัวอักษรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรอข้อความตอบกลับ
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ท่านพ่อบ้านฟาง ก็ได้รับข้อความตอบกลับมา
ท่านพ่อบ้านฟางจึงกล่าวกับทุกคนว่า
"ครั้งนี้มีการเปลี่ยนแผนบางส่วน ทุกคนเมื่อเข้าจู่โจม ให้ทำการจู่โจมข่มขู่"
"เพื่อขับไล่ชาวบ้านที่มาขนของเถื่อนให้ออกจากพื้นที่ไปให้หมด แล้วจึงเข้าจู่โจมผู้ที่มีวรยุทธ์"
"พร้อมรอฟังคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัดต่อไป"
"ขอรับ" ทุกคนรับคำออกมาเบาๆ
จากนั้นจึงแยกกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่ม แล้วโอบล้อมพื้นที่เข้าไปหาพวกลักลอบขนของเถื่อน
ชุน 2 ที่อยู่กับกลุ่มของพ่อบ้านฟางก็ใจเต้นระทึก เขาจะได้ลุยแล้ว เขาคิดในใจ
เมื่อพ่อบ้านฟางเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว เขาจึงส่งพลุแสงสัญญาณขึ้นสู่ท้องฟ้าอันมืดมิดในทันที
หน่วยจู่โจมจับกุมเมื่อเห็นพลุแสง สว่างไสวบนท้องฟ้า ก็พากันกระโจนเคลื่อนตัวเข้าหากลุ่มลักลอบขนของเถื่อน
รวมทั้งตัวชุน 2 ก็เร่งเข้าจู่โจมด้วยเช่นกัน
หน่วยจู่โจมเคลื่อนตัวเข้าหาเป้าหมายพร้อมส่งเสียงคำรามก้องออกมา เป็นการข่มขู่ให้ชาวบ้านหวาดกลัวและหลบหนีไปจากพื้นที่อันตรายนี้
ได้ผล ชาวบ้านที่มิได้มีวรยุทธ์ใดๆ ต่างก็วิ่งกระจัดกระจายกันไปคนละทางสองทาง จนหายไปจากพื้นที่
บรรดาผู้คุ้มกันการลักลอบขนของเถื่อนเมื่อตั้งสติได้ หัวหน้าของพวกขนของเถื่อนที่สวมผ้าปกปิดหน้าตา ก็สั่งให้ผู้คุ้มกันทุกคนมารวมตัวกัน เตรียมพร้อมรับการบุกเข้าโจมตี
แต่ผิดคาด ท่านพ่อบ้านฟางออกคำสั่งที่แฝงด้วยกำลังภายในออกมาเสียงดังไปทั่วบริเวณว่า
"หน่วยจู่โจมทุกคนให้ถอนตัวออกจากพื้นที่เดี๋ยวนี้" ทำให้หน่วยจู่โจมทั้งหมดรวมถึงชุน 2 ต้องถอนตัวออกมาตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด
มิใช่แค่ชุน 2 ที่งงงวยกับคำสั่งนั้น แม้กระทั่งผู้คุ้มกันการลักลอบขนของเถื่อนต่างก็งงงวยไปตามๆกัน
มิทันที่จะมีผู้ใดพูดอะไรออกมา เสียงปืนใหญ่พลังปราณ ก็ระเบิดดังกัมปนาทขึ้น
ใช่แล้ว.. มันคือเสียงการยิงปืนใหญ่พลังปราณพิสัยใกล้จากเรือแม่น้ำสวรรค์ ที่อาศัยความมืดลอบเข้ามาลอยลำ อยู่ยังปากอ่าวเล็กๆแห่งนี้นั่นเอง