Your Wishlist

เทพเซียนไร้ลักษณ์ (ตระกูลหลิว รุ่นที่ 3) (บทที่ 39 อยากลุยเต็มที่)

Author: geesan

หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน

จำนวนตอน :

บทที่ 39 อยากลุยเต็มที่

  • 10/02/2567

   แล้วก็ถึงยามค่ำคืน ชุน 1 ท่านพ่อบ้านฟาง พร้อมด้วยผู้พิทักษ์ของท่านอ๋องน้อยอีก 4 คน

 

   ก็พากันสวมชุดดำไปดักซุ่มดูการขนของเถื่อน ที่บริเวณที่ดินของเหยาเซียว

 

 

 

   ตอนนี้บาดแผลที่ปลายแขนซ้ายของทั้ง 2 ชุน ก็หายสนิทดีแล้ว

 

 

 

   เนื่องจากทั้ง 2 ชุนกินยาอย่างดีจากท่านอาจารย์จ้าว และที่สำคัญทั้ง 2 ชุนได้ทำการเดินเคล็ดดูดซับพลังปราณกลืนเมฆาอย่างขยันขันแข็ง เพื่อดึงเอาพลังปราณเข้าไปรักษาบาดแผล จนหายสนิทในเวลาไม่ถึง 2 เดือน

 

 

 

   พวกเขาดักซุ่มอยู่ไกลพอสมควร แต่ก็ยังเห็นภูมิประเทศได้ชัดเจน

 

   พวกเขาได้เตรียมกล้องกลไกบันทึกภาพที่สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวจากระยะไกลมาด้วย

 

 

 

   หลังจากซุ่มรออย่างเงียบๆมาช่วงหนึ่ง ก็มีเรือจำนวน 3 ลำเข้ามาจอดเทียบท่าเรือขนาดเล็ก ยังอ่าวในที่ดินของเหยาเซียว

 

 

 

   จากนั้นอีกไม่นานรถม้าบรรทุกสินค้าจำนวน 6 คัน ก็เข้าไปจอดบริเวณท่าเรือขนาดเล็กนั้น เพื่อขนของขึ้นเรือทั้ง 3 ลำ

 

 

 

   มีผู้คนจำนวนประมาณ 40 คน รีบเข้ามาทำการขนลังสินค้า ขึ้นเรืออย่างรีบเร่ง

 

 

 

   ชุน 1 มองจากกล้องกลไกบันทึกภาพก็บอกได้ว่า คนส่วนใหญ่ที่กำลังขนของเถื่อนเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านนั่นเอง

 

   ดังนั้นเขาจึงไม่สงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดชาวบ้านจึงไม่ให้ความร่วมมือ ในยามที่เขาเข้าไปหาข้อมูลเรื่องของเหยาเซียว

 

 

 

   แล้วเขาก็มองเห็นคน 2 คนซึ่งเขารู้จัก นั่นคือนายกองมือปราบหลี่และหัวหมู่มือปราบหม่าจาง

 

   กำลังสั่งการให้บรรดาชาวบ้านขนลังของเถื่อนด้วยความเร่งรีบ

 

 

 

   แล้วลังของเถื่อนลังหนึ่ง ก็หลุดมือตกลงกระแทกพื้น จนของในลังกระจายออกมา

 

 

 

   มันคือหินพลังปราณ บรรดาชาวบ้านรีบเก็บหินพลังปราณกลับเข้าใส่ลังอย่างรวดเร็ว แล้วขนขึ้นเรือต่อไป

 

 

 

   การขนของเถื่อนในเที่ยวนี้ใช้เวลาไป 5 ยาม ( 5 ยาม = 5 ชั่วโมง ) จึงหยุดขน เนื่องจากตอนนี้ฟ้าใกล้สว่างแล้ว และเรือทั้ง 3 ลำต้องออกเดินทางนำเอาหินพลังปราณเถื่อนไปส่งยังจุดนัดหมาย

 

 

 

   เมื่อชุน 1 ได้ข้อมูลและบันทึกภาพเคลื่อนไหวเอาไว้เเล้ว เขาและคนอื่นๆก็พากันกลับไปยังเรือแม่น้ำสวรรค์

 

   เมื่อยามเช้ามาถึงชุน 2 และศิษย์พี่เตียก็ขอเข้าพบท่านอาจารย์ ชุน 2 กล่าวแทนชุน 1 ว่า

 

 

 

   "ท่านอาจารย์ขอรับนี่เป็นบันทึกภาพเคลื่อนไหวจากกล้องกลไกขอรับ" แล้วชุน 2 ก็ยื่นกล้องบันทึกภาพให้ท่านอาจารย์จ้าวเอาไปดู

 

   พร้อมอธิบายรายละเอียดต่างๆให้แก่ท่านอาจารย์จ้าวอย่างครบถ้วน

 

 

 

   ท่านอาจารย์จ้าวเมื่อได้เห็นภาพเคลื่อนไหวและรับทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว จึงถามหลิวชุนว่า

 

 

 

   "แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป"

 

 

 

   หลิวชุนกล่าวว่า "การที่จะให้โจรลักพาตัวปล่อยตัวบุตรชายของท่านตุลาการเฉินนั้น จะต้องทำการช่วยเหยาเซียวออกจากคุก โจรถึงจะยอมปล่อยตัวคุณชายเฉิน"

 

 

 

   "และการจะปล่อยตัวเหยาเซียวได้ ก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาคดีข่มขืนหญิงชาวบ้านของเหยาเซียวให้ได้เสียก่อนขอรับ"

 

 

 

   "หลิวชุนเจ้าว่าต่อไปได้เลย" ท่านอาจารย์จ้าวกล่าว

 

 

 

   "ตัวข้านั้นมีความเชื่อถึง 9 ใน 10 ส่วน ว่าคดีข่มขืนหญิงชาวบ้านของเหยาเซียวนั้น เป็นการจัดฉาก เพื่อฮุบเอาที่ดิน เพื่อใช้เป็นที่จอดเรือลำเลียงของเถื่อน"

 

 

 

   "ที่ต้องจับเหยาเซียวเข้าคุกก็เพราะไม่สามารถฆ่าเหยาเซียวแล้วยึดเอาที่ดินมาได้โดยตรง"

 

 

 

   "เพราะถ้าหากเหยาเซียวตาย ที่ดินก็จะตกไปเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมการภาษี มิใช่อยู่ในการดูแลของกรมอาญา ที่สำนักมือปราบสังกัดอยู่"

 

 

 

   "หากที่ดินตกไปอยู่กับกรมการภาษี มิใช่อยู่กับกรมอาญา อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาภายหลังได้"

 

 

 

   "ทางผู้อยู่เบื้องหลังการขนหินพลังปราณเถื่อนจึงมิกล้าเสี่ยงให้กรมการภาษีเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องเก็บชีวิตของเหยาเซียวไว้ขอรับ"

 

 

 

   "อืม.. แล้วเจ้าจะจัดการอย่างไรกับคดีนี้"

 

   "อันดับแรก ต้องบุกเข้าจับกุมผู้ลักลอบขนหินพลังปราณเถื่อนขอรับ"

 

 

 

   "แต่เนื่องจากว่าเราไม่สามารถแจ้งทางการได้ เพราะไม่รู้ว่ามีผู้ใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการขนของเถื่อน"

 

 

 

   "ข้าจึงได้ปรึกษากับท่านศิษย์พี่เตียแล้ว พบว่าบุคคลธรรมดาสามัญ สามารถกระทำการบังคับใช้กฏหมายได้"

 

   "หากเกิดความผิดซึ่งหน้า และมิสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ทางการได้ทัน และการกระทำนั้นบังเกิดให้เป็นผลดีต่อราชอาณาจักรต้าเหมิง"

 

 

 

 

   "ฮ่าๆๆ.. ตกลงตามนั้น ตกลงตามนั้น" ท่านอาจารย์จ้าวหัวเราะและกล่าวออกมาอย่างง่ายๆ

 

 

 

   แล้วการวางแผนเข้าจับกุมการลักลอบขนหินพลังปราณเถื่อนก็เริ่มขึ้น

 

   ค่ำนี้ซึ่งเป็นคืนวันที่ 6 ตามเส้นตาย 15 วันของโจรลักพาตัว

   ชุน 2 ท่านพ่อบ้านฟาง ผู้พิทักษ์ทั้ง 8 และนักยุทธ์ขั้นผสานลมปราณอีก 6 คนของเรือแม่น้ำสวรรค์ รวม 16 คน

 

   ก็แทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ ที่จะมีการขนหินพลังปราณเถื่อน

 

 

 

   และการที่ชุน 1 มั่นใจว่าจะต้องมีการขนหินพลังปราณเถื่อนในคืนนี้อีกครั้ง ก็เพราะคืนเมื่อวานนี้ชุน 1 เห็นว่าในจำนวนรถม้าบรรทุกของเถื่อนทั้ง 6 คัน

   มีลังบรรทุกหินพลังปราณเถื่อนอีกหลายลัง ที่ยังค้างอยู่บนรถม้าแต่ยังมิทันขนลงเรือฟ้าก็เริ่มสางเสียก่อน พวกลักลอบขนหินพลังปราณเถื่อน จึงต้องแยกย้ายกันไป

 

   ชุน 2 นั้นเฝ้ารอการมาถึงของกลุ่มคนขนของเถื่อนครั้งนี้ด้วยความตื่นเต้น

 

 

 

   เขาพร้อมลุยเต็มที่แล้ว

 

 

 

   เมื่อเรือขนของเถื่อน เข้าเทียบท่าขนาดเล็กในอ่าวทั้ง 3 ลำแล้ว ไม่นานรถม้าบรรทุกของเถื่อนจำนวน 2 คัน ก็มาถึงเช่นเดียวกัน

 

 

 

   ชาวบ้านที่เป็นแรงงานในการขนของเถื่อนก็พากันรีบไปยังรถม้าเพื่อขนลังหินพลังปราณ

 

   การขนของเถื่อนในครั้งนี้ มีผู้คุ้มกัน การขนของเถื่อนถึง 35 คน 

 

   โดย 3 คนในนั้น สวมผ้าปกปิดหน้าตาเอาไว้ จนมิสามารถรู้ได้ว่าเป็นผู้ใด แต่ทั้ง 2 ชุนก็พอคาดเดาได้ว่า 2 ใน 3 คนนั้น จะต้องเป็นนายกองมือปราบหลี่ และหัวหมู่มือปราบหม่าจงเป็นแน่

 

 

 

   ท่านพ่อบ้านฟางที่ท่านอาจารย์จ้าว ตั้งให้เป็นผู้นำภารกิจบุกจับกุมในครั้งนี้ ก็กล่าวกับกลุ่มคนของเรือแม่น้ำสวรรค์อีก 15 คนว่า

 

 

 

  "พวกมันมีขั้นผสานกายา 20 คนขั้นผสานลมปราณ 10 คน และขั้นปราณวารีระดับเดียวกับข้าอีก 2 คน ส่วนเจ้า 3 คนที่สวมผ้าปกปิดหน้าตานั้น ล้วนอยู่ในขั้นผสานลมปราณ"

 

   "รวมเป็น 35 คน"

 

   

 

   "ส่วนทางพวกเรามี ขั้นผสานกายา 1 คน ซึ่งก็คือนายน้อยหลิว ขั้นผสานลมปราณ 12 คน แล้วก็ขั้นปราณวารี 1 คน รวมเป็น 16 คน กองกำลังต่างกันเกินไป"

 

   

 

   ที่ท่านพ่อบ้านฟางทำการตรวจสอบระดับขั้นของพวกขนหินพลังปราณเถื่อนได้ก็เพราะว่า ท่านพ่อบ้านฟาง เป็นนักยุทธ์ขั้นปราณวารี

 

 

 

   ขั้นปราณวารีนี้ จะสามารถเปิดจุดตันเถียนได้ จึงสามารถตรวจสอบพลังปราณจากร่างกายของคนอื่นได้ หากอยู่ไม่ไกลกันเกินไปนัก

 

 

 

 

 

   จากนั้นท่านพ่อบ้านฟางก็ทำการใช้เครื่องกลไกสื่อสารระยะใกล้ ส่งข้อความตัวอักษรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรอข้อความตอบกลับ

 

 

 

   เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ท่านพ่อบ้านฟาง ก็ได้รับข้อความตอบกลับมา

 

   ท่านพ่อบ้านฟางจึงกล่าวกับทุกคนว่า

 

 

 

   "ครั้งนี้มีการเปลี่ยนแผนบางส่วน ทุกคนเมื่อเข้าจู่โจม ให้ทำการจู่โจมข่มขู่"

 

 

 

   "เพื่อขับไล่ชาวบ้านที่มาขนของเถื่อนให้ออกจากพื้นที่ไปให้หมด แล้วจึงเข้าจู่โจมผู้ที่มีวรยุทธ์"

 

 

 

   "พร้อมรอฟังคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัดต่อไป"

 

 

 

   "ขอรับ" ทุกคนรับคำออกมาเบาๆ

 

   จากนั้นจึงแยกกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่ม แล้วโอบล้อมพื้นที่เข้าไปหาพวกลักลอบขนของเถื่อน

 

 

 

   ชุน 2 ที่อยู่กับกลุ่มของพ่อบ้านฟางก็ใจเต้นระทึก เขาจะได้ลุยแล้ว เขาคิดในใจ

 

 

 

   เมื่อพ่อบ้านฟางเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว เขาจึงส่งพลุแสงสัญญาณขึ้นสู่ท้องฟ้าอันมืดมิดในทันที

 

 

 

   หน่วยจู่โจมจับกุมเมื่อเห็นพลุแสง สว่างไสวบนท้องฟ้า ก็พากันกระโจนเคลื่อนตัวเข้าหากลุ่มลักลอบขนของเถื่อน

 

   รวมทั้งตัวชุน 2 ก็เร่งเข้าจู่โจมด้วยเช่นกัน

 

 

 

   หน่วยจู่โจมเคลื่อนตัวเข้าหาเป้าหมายพร้อมส่งเสียงคำรามก้องออกมา เป็นการข่มขู่ให้ชาวบ้านหวาดกลัวและหลบหนีไปจากพื้นที่อันตรายนี้

 

 

 

   ได้ผล ชาวบ้านที่มิได้มีวรยุทธ์ใดๆ ต่างก็วิ่งกระจัดกระจายกันไปคนละทางสองทาง จนหายไปจากพื้นที่

 

 

 

   บรรดาผู้คุ้มกันการลักลอบขนของเถื่อนเมื่อตั้งสติได้ หัวหน้าของพวกขนของเถื่อนที่สวมผ้าปกปิดหน้าตา ก็สั่งให้ผู้คุ้มกันทุกคนมารวมตัวกัน เตรียมพร้อมรับการบุกเข้าโจมตี

 

 

 

   แต่ผิดคาด ท่านพ่อบ้านฟางออกคำสั่งที่แฝงด้วยกำลังภายในออกมาเสียงดังไปทั่วบริเวณว่า

 

 

 

   "หน่วยจู่โจมทุกคนให้ถอนตัวออกจากพื้นที่เดี๋ยวนี้" ทำให้หน่วยจู่โจมทั้งหมดรวมถึงชุน 2 ต้องถอนตัวออกมาตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด

 

 

 

   มิใช่แค่ชุน 2 ที่งงงวยกับคำสั่งนั้น แม้กระทั่งผู้คุ้มกันการลักลอบขนของเถื่อนต่างก็งงงวยไปตามๆกัน

 

 

 

   มิทันที่จะมีผู้ใดพูดอะไรออกมา เสียงปืนใหญ่พลังปราณ ก็ระเบิดดังกัมปนาทขึ้น

 

 

 

   ใช่แล้ว.. มันคือเสียงการยิงปืนใหญ่พลังปราณพิสัยใกล้จากเรือแม่น้ำสวรรค์ ที่อาศัยความมืดลอบเข้ามาลอยลำ อยู่ยังปากอ่าวเล็กๆแห่งนี้นั่นเอง

 

        

 

         

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า