หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
เมื่อชุน 1 อ่านจดหมายจากโจรลักพาตัวแล้วเสร็จ เขาเก็บจดหมายไว้กับตัว เพื่อจะนำไปคืนให้ท่านอาจารย์จ้าว แล้วจึงออกจากห้องหนังสือ ไปพบกับกลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบที่ขึ้นเรือมาค้นหาโจรลักพาตัว
เมื่อชุน 1 มาถึงโถงรับรอง ก็พบนายกองมือปราบหลี่ กำลังเจรจากับท่านอาจารย์จ้าวว่า
"ท่านอดีตรองเสนาบดีกรมตุลาการจ้าว ข้าน้อยนายกองมือปราบหลี่ แห่งสำนักมือปราบเมืองจิวไห่"
"ต้องขออนุญาตเข้าตรวจค้นเรือแม่น้ำสวรรค์ของท่าน เพื่อตรวจสอบหาบุคคลต้องสงสัย ที่อาจจะเป็นโจรที่ลักพาตัวคุณชายเฉิน"
"ท่านนายกองมือปราบหลี่ ท่านกระทำตามหน้าที่ ทางข้ามิอาจมีเหตุอันใดที่จะขัดขวางท่าน เชิญท่านตรวจสอบและตรวจค้นได้ตามสะดวก แต่ขอความร่วมมือจากท่านอย่ารื้อค้นจนข้าวของกระจัดกระจาย" ท่านอาจารย์จ้าวกล่าว
แล้วนายกองฯหลี่ก็แบ่งมือปราบออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มเล็กทำการตรวจสอบประวัติผู้คนบนเรือ กลุ่มใหญ่ทำการตรวจค้นเรือแม่น้ำสวรรค์ทุกซอกทุกมุม
ผ่านไปเป็นเวลา 2 ยาม ( 2 ยาม = 2 ชั่วโมง ) หลังจากทำประวัติบุคคลบนเรือและตรวจค้นเรือแล้วเสร็จ โดยไม่พบพิรุจใดๆ
นายกองมือปราบหลี่ก็ต้องตกใจเข้าไปอีก เมื่ออ่านรายงานบันทึกประวัติบุคคลบนเรือจากลูกน้องมือปราบ
พบว่าบนเรือลำนี้นอกจากอดีตรองเสนาบดีแล้ว ยังมีท่านอ๋องน้อย ผู้เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของท่าน *เป่ยอ๋อง* ผู้ปกครองสูงสุดแห่งมณฑลภาคเหนือที่เมืองจิวไห่สังกัดอยู่ด้วย
ไม่พิรี้พิไรกล่าวความอันใดต่อ นายกองหลี่ ก็ขอตัวอำลาแล้วลงจากเรือแม่น้ำสวรรค์ไปในทันที
ชุน 1 กล่าวกับท่านอาจารย์จ้าวว่า "ท่านอาจารย์ขอรับ การมาค้นเรือเป็นปรกติวิสัยที่ต้องกระทำในการหาตัวโจรลักพาตัวอยู่แล้ว"
"แต่การตรวจสอบประวัติผู้คนบนเรือ ข้าสงสัยว่านายกองหลี่ ต้องการรู้ศักยภาพและฐานกำลังของท่านนะขอรับ"
"ใช่แล้วละชุน 1 พวกเขาอยากรู้ว่าเรามีกำลังคน และกำลังอาวุธอยู่เท่าไร" ท่านอาจารย์จ้าวกล่าวตอบชุน 1
แล้วชุน 1 ก็ทำการคืนจดหมายให้ท่านอาจารย์จ้าว แต่ท่านอาจารย์จ้าวก็มิได้รับไว้
"จดหมายนี้เป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งในการทำคดี เจ้าในฐานะหัวเรือใหญ่ของคดีนี้ก็เก็บเอาไว้เสียเองเถิด"
จากนั้นท่านอาจารย์จ้าวก็เดินจากไป ศิษย์พี่เตียจึงเข้ามาเอ่ยถามชุน 1 ว่า "เจ้าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป"
ชุน 1 จึงบอกเล่าข้อความในจดหมายให้ศิษย์พี่เตียได้รับรู้ แล้วเอ่ยกับศิษย์พี่เตียว่า
"คืนนี้ข้าจะไปดักซุ่มดูการขนของเถื่อน ยังบริเวณใกล้ๆที่ดินของเหยาเซียว ศิษย์พี่เตียจะไปด้วยหรือไม่"
"ไม่ละ.. ข้านั้นเป็นบัณฑิต ที่มาร่ำเรียนกับท่านอาจารย์ ก็เป็นการร่ำเรียนด้านตัวบทกฎหมาย เพื่อกลับไปช่วยท่านเป่ยอ๋อง บิดาของข้าดูแลด้านกรมการตุลาการของมณฑลภาคเหนือ หาได้คิดที่จะเป็นนักบู๊ไม่"
"แต่ข้าจะส่งผู้พิทักษ์ทั้ง 4 ของข้าไปช่วยอารักษ์ขาเจ้า ข้าจะได้วางใจ"
ขอบคุณขอรับศิษย์พี่เตีย ชุน 1 ก็มิได้ปฏิเสธอันใด
เมื่อนายกองมือปราบหลี่กลับมาถึงอาคารสำนักมือปราบ ก็ตรงไปเข้าพบผู้กำกับการมือปราบหม่าในทันที
"ท่านผู้กำกับการหม่าขอรับ ข้อมูลของจ้าวฟูหยางและบริวารได้มาแล้วขอรับ"
แล้วเขาก็ยื่นเอกสารให้กับผู้กำกับการหม่า ผู้กำกับการหม่าจึงนั่งอ่านเอกสารด้วยความจริงจัง
เมื่อผู้กำกับการหม่าอ่านเอกสารเสร็จ
เขาก็สบถออกมาดังๆว่า "นี่มันเรือท่องเที่ยวหรือเรือรบ"
"เรื่องท่านอ๋องน้อยข้ายังมิห่วงเท่าใด เพราะถึงอย่างไรท่านอ๋องน้อยก็ยังเป็นเด็ก ยังมิมีอำนาจตัดสินอะไรได้"
"พวกเราถือกฏหมายไว้ในมือจะทำอย่างไรกับพวกเราหาใช่เรื่องง่ายไม่"
"จำนวนผู้คนบนเรือมีทั้งสิ้น 26 คน"
"เป็นขั้นปราณปฐพี 1 คน คือจ้าวฟูหยาง"
"ขั้นปราณวารี 1 คน คือพ่อบ้านฟาง"
"ส่วนผู้พิทักษ์ของจ้าวฟูหยาง 4 คน และผู้พิทักษ์ของท่านอ๋องน้อยอีก 4 คน รวม 8 คน ล้วนอยู่ในขั้นผสานลมปราณขั้นสูงทั้งสิ้น"
"ส่วนคนบนเรือที่เหลืออีก 16 คน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นนักยุทธ์ขั้นผสานกายา ไปจนถึงขั้นผสานลมปราณ หมายความว่าทุกคนบนเรือล้วนแล้วแต่เป็นนักบู๊ด้วยกันทุกคน"
"นับได้ว่าจ้าวฟูหยางมี กองกำลังส่วนตัวที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง"
"แล้วตัวเรือยังมีปืนใหญ่พลังปราณพิสัยใกล้อีก 6 กระบอก
หัวเรือ 1 กระบอก
ท้ายเรือ 1 กระบอก
ข้างลำเรือ อีกข้างละ 2 กระบอก ตลอดจนมีสูกศรหัวระเบิดพลังปราณไว้ในครอบครองอีก นี่มันเรือรบชัดๆ"
อนึ่งขั้นการใช้พลังปราณ เพื่อฝึกวรยุทธ์และปราณฤทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์บนดาวเคราะห์สีแดงหงหมิง มีดังนี้
1.นักยุทธ์ขั้นผสานกายา เป็นการดูดซับพลังปราณเพื่อนำพลังปราณผสานเข้ากับร่างกาย ให้ร่างกายเเข็งแกร่งเหนือคนธรรมดาทั่วไปและสามารถฝึกวรยุทธ์ได้ แบ่งเป็นระดับ 1 ถึง 9
2.นักยุทธ์ขั้นผสานลมปราณ เป็นการดูดซับพลังปราณเข้าไปรวบรวมเอาไว้ที่จุดตันเถียน ขั้นนี้จะสามารถเริ่มใช้พลังปราณในการโจมตีออกจากร่างกายได้ แบ่งเป็นระดับ 1 ถึง 9
3.นักยุทธ์ขั้นปราณวารี เป็นการกลั่นพลังปราณในจุดตันเถียนให้กลายเป็นหยดของเหลว แบ่งเป็นระดับ 1 ถึง 9
4.นักยุทธ์ขั้นปราณปฐพี เป็นการควบแน่นหยดน้ำพลังปราณในจุดตันเถียน ให้กลายเป็นผลึกแข็ง แบ่งเป็นระดับ 1 ถึง 9
5.นักยุทธ์ขั้นปราณนภา เป็นการส่งพลังปราณจากผลึกปราณในจุดตันเถียน ไปทะลวงจุดลมปราณต่างๆ ในร่างกายทั้ง 108 จุด แบ่งเป็นระดับ 1 ถึง 9
ระดับที่ 1 ถึง 3 คือขั้นต้น
ระดับที่ 4 ถึง 6 คือขั้นกลาง
ระดับที่ 7 ถึง 9 คือขั้นสูง
ส่วนระดับขั้นที่สูงกว่านักยุทธ์ขั้นปราณนภาก็คือขั้นเซียน
ซึ่งเมื่อบรรลุกลายเป็นเซียนแล้ว จะถูกกฏแห่งสวรรค์ส่งไปยังดินแดนเซียนในอีกมิติ มิสามารถข้ามกลับมายังมิติแห่งนี้ได้อีก
นอกจากจะยอมสูญเสียอย่างมหาสารจึงจะข้ามกลับมายังมิติเดิมนี้ได้
ผู้กำกับการมือปราบหม่าบ่นอุบกับตัวเองด้วยความเดือดดาล
"เราจับยึดเรือลำนี้ได้หรือไม่ขอรับท่านผู้กำกับการหม่า" นายกองมือปราบหลี่ถาม
"ในเอกสารนี้ลงไว้ว่าเรือแม่น้ำสวรรค์ทำการขออนุญาตติดตั้งปืนใหญ่พลังปราณพิสัยใกล้ และมีลูกศรหัวระเบิดพลังปราณไว้เพื่อใช้ป้องกันตัวเองอย่างถูกต้องตามตัวบทกฏหมาย"
"มาจากกรมการกลาโหมและราชสำนักต้าเหมิงเรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงจับยึดมิได้"
"เอาละ.. เพื่อความไม่ประมาท นายกองหลี่ เจ้ากับหัวหมู่หม่าจาง"
"รีบไปติดต่ออาชญากรขั้นผสานกายามาอีก 20 คน ขั้นผสานลมปราณมาอีก 10 คน และขั้นปราณวารีมาอีก 2 คน ให้มาคอยคุ้มกันการขนหินพลังปราณเถื่อนรอบนี้"
"อันที่จริงข้าก็อยากจ้างนักยุทธ์ขั้นปราณปฐพี อันเป็นขั้นเดียวกับ จ้าวฟูหยาง มาคุ้มกันด้วย"
"แต่นักยุทธ์ขั้นปราณปฐพี ก็ช่างหาได้ยากเสียเหลือเกิน"
"และที่สำคัญข้ามิคิดว่า จ้าวฟูหยาง จะมิกระทำการใดๆด้วยตัวเอง อย่างมากก็คงให้ พ่อบ้านฟาง ซึ่งอยู่ในขั้นปราณวารี กระทำการใดๆแทนตัวเขาเป็นแน่"
"ครั้งนี้เราต้องทุ่มกำลังเงินจ้างพวกอาชญากรอย่างเต็มที่ เพื่อคุ้มกันการขนหินพลังปราณเถื่อนในรอบนี้"
"และเมื่อการขนหินพลังปราณเถื่อนรอบนี้จบลง เราจะหยุดกิจการสักพัก เพื่อคอยดูทิศทางลมต่อไป"
"เจ้ากับข้า และหม่าจาง ที่อยู่ในขั้นผสานลมปราณ 3 คน รวมกับอาชญากรอีก 32 คน จะมิสามารถคุ้มกันการขนหินพลังปราณเถื่อนรอบนี้ได้อย่างไรกัน"
"หวังว่าพวกมันจะยังไม่รู้ระแคะระคายถึงกิจการขนหินพลังปราณเถื่อนของพวกเรา"
ผู้กำกับการมือปราบหม่ากล่าวออกมายืดยาว แทบจะเป็นคำกล่าวที่ยืดยาวที่สุดของเขา ในปีนี้เลยทีเดียว