หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
เช้าวันใหม่ วันนี้ชุน 2 ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ตามปรกติวิสัยของเขา
เขาทำการเดินเคล็ดวิชาดูดซับพลังปราณกลืนเมฆาเป็นเวลา 1 ยาม และฝึกวิชายุทธ์ ท่าเท้าเหยียบสายลมอีก 1 ยาม ทางคณะล่าสัตว์ป่าดุร้ายก็พร้อมออกเดินทางพอดี
( 1 ยาม = 1 ชั่วโมง )
วันนี้นายพรานจะนำทางคณะล่าสัตว์ป่าดุร้ายเข้าไปในป่าที่ลึกกว่าเดิม แล้วทั้ง 4 คนก็เริ่มออกเดินทาง
นายพรานคอยสอดส่องหาร่องรอยของสัตว์ป่าดุร้าย และคอยหลบพวกสัตว์อสูรไปด้วย ถึงป่าในบริเวณนี้จะเป็นเขตที่มิค่อยมีสัตว์อสูรปรากฏตัว
แต่นายพรานก็ต้องคอยระวังเอาไว้ก่อน เพราะเนื่องด้วยถึงอย่างไร ความปลอดภัยของหลิวชุน ก็สำคัญที่สุดในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้
เวลาผ่านไปไม่นานนัก นายพรานก็พบเข้ากับร่องรอยของกลุ่มคนประมาณ 10 คน ที่เพิ่งเดินทางผ่านจุดที่คณะของหลิวชุน เดินทางมาถึงไปได้ไม่นานนัก
นายพรานจึงบอกกล่าวแก่ชุน 2 ว่า "นายน้อยหลิว การพบเจอกลุ่มนักล่าที่เข้ามาล่าสัตว์ป่าและสัตว์อสูร ในป่านั้น หาใช่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอันใดไม่"
"เพราะในป่ามิว่าจะแห่งไหน กฏหมายบ้านเมืองของอาณาจักรต้าเหมิงก็มิสามารถเข้ามาถึง ในป่าทุกๆแห่ง ก็ยังคงใช้กฏเเห่งป่า นั่นคือ ผู้แข็งแกร่งไล่ล่าและแย่งชิงเอาจากผู้อ่อนแอ"
"ดังนั้นเราจึงควรเดินทางไปยังเส้นทางอื่น มิไปทางเดียวกับกลุ่มนักล่าที่ล่วงหน้าเราไปก่อนแล้วขอรับ"
"และถึงท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 2 จะเป็นนักยุทธ์ขั้นผสานลมปราณขั้นสูง จากข้อมูลที่ข้าสืบค้นมา ในป่าแห่งนี้นับได้ว่าท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ท่าน ไร้ผู้ใดต้านทานได้แล้ว แต่พวกเราก็มิควรประมาทนะขอรับ"
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับ การใช้ชีวิตในป่า ท่านลุงนายพรานย่อมมีประสปการณ์มากกว่าข้าและท่านผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ท่าน"
"ท่านลุงนายพรานเห็นควรว่าจะทำเช่นไร ก็ให้ดำเนินการไปตามนั้นเถิดขอรับ" ชุน 2 กล่าวตอบนายพราน
แล้วนายพรานก็นำคณะของหลิวชุน เดินทางแยกจากทิศที่กลุ่มนักล่า กลุ่มนั้นเดินทางไป
พวกเขาเดินทางมาอีกเป็นเวลา 1 ยาม ก็ยังมิได้พบร่องรอยของสัตว์ป่าดุร้ายตัวใด
ขณะที่กลุ่มของชุน 2 กำลังเดินทางอยู่นั้น
ตู๊มๆๆๆ.. เสียงระเบิดก็ดังขึ้นติดๆกัน 4 ครั้ง
"นั่นมันเสียงระเบิดจากลูกศรหัวระเบิดพลังปราณนี่" ผู้พิทักษ์คนหนึ่งกล่าวออกมา
"ลูกศรหัวระเบิดพลังปราณ ผู้ที่จะสามารถมีเอาไว้ใช้ได้ มีเพียงทหารและมือปราบเท่านั้น คนทั่วไปรวมถึงนักยุทธ์มิอาจมีไว้ในครอบครองได้" ผู้พิทักษ์อีกคน กล่าวขึ้นมาบ้าง
"ถ้าเป็นคนของทางการ เราก็ควรเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาคงเจอเหตุการณ์ที่จำเป็นจริงๆ ถึงได้ใช้ลูกศรหัวระเบิดพลังปราณ" ชุน 2 กล่าว
"รอดูเหตุการณ์สักครู่ก่อนขอรับ นายน้อยหลิว รอฟังว่ายังคงมีเสียงระเบิดเกิดขึ้นอีกหรือไม่" นายพรานกล่าวเตือน
ตู๊มๆๆ.. !!! เสียงระเบิดยังคงดังขึ้นอีก 3 ครั้ง
คราวนี้ชุน 2 จึงสั่งให้นายพรานพากคณะของเขาไปยังทิศทางเสียงระเบิดนั้น
ครั้งนี้นายพรานมิอิดออด เขารีบพาคณะเคลื่อนตัวไปยังทิศทางของเสียงระเบิดในทันที
ชุน 2 ใช้ท่าเท้าเหยียบสายลม ส่วนนายพรานและผู้พิทักษ์ ซึ่งต่างก็อยู่ในขั้นผสานลมปราณ จึงมีวิชายุทธ์ท่าร่างการเคลื่อนไหวเฉพาะตัวของแต่ละคนอยู่แล้ว
คณะของชุน 2 จึงเคลื่อนตัวด้วยความรวดเร็วไปยังทิศทางของเสียงระเบิดนั้น
พวกเขาเคลื่อนตัวผ่านป่ามาไม่นานนัก ยังมิทันได้ไปถึงจุดที่เกิดเสียงระเบิด
เบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฎ กลุ่มคนจำนวน 7 คน ในชุดเกราะทหารของอาณาจักรต้าเหมิง กำลังวิ่งสวนทางมา
เมื่อหัวหน้าของทหารทั้ง 7 มองเห็นพวกของชุน 2 กำลังสวนเข้ามาหาพวกเขา เขาก็ตะโกนบอกกลุ่มของชุน 2 ว่า
"พวกเจ้าหนีไป อสูรวานร กำลังไล่ตามพวกเรามา มันกัดกินทหารไปแล้ว 3 นาย"
"พวกเจ้าจงรีบหนีกลับไปเสีย"
"เจ้าอสูรวานรมันอยู่ในขั้นยุทธ์ที่เท่าใด" ผู้พิทักษ์คนหนึ่งตะโกนถามออกไป
"ประมาณขั้นผสานลมปราณขั้นกลาง" หัวหน้าของทหารกลุ่มนั้นกล่าวตอบ
มิทันที่พวกเขาทั้ง 2 กลุ่มจะสื่อสารกันต่อ
ด้านหลังของกลุ่มทหารทั้ง 7 นายก็ปรากฏ อสูรวานรสีน้ำเงินตัวใหญ่ ซึ่งมีความสูงถึง 10 เมตา
( 10 เมตา = 10 เมตร )
ผู้พิทักษ์ทั้ง 2 พยักหน้าให้กัน แล้วผู้พิทักษ์คนหนึ่ง ก็เคลื่อนตัวนำหน้าชุน 2 และนายพราน พุ่งเข้าจู่โจมอสูรวานรสีน้ำเงินในทันที
ส่วนผู้พิทักษ์อีกคน มิได้เข้าร่วมโจมตีอสูรวานรสีน้ำเงินด้วย เขายังคงคอยอารักษ์ขาชุน 2 อยู่ไม่ห่าง
ตอนนี้ผู้พิทักษ์คนที่คอยอารักษ์ขาชุน 2 ได้บอกให้ชุน 2 และนายพรานหยุดการเคลื่อนไหวอยู่กับที่
แล้วตะโกนบอกให้ทหารทั้ง 7 นายให้มาอยู่เบื้องหลังของพวกเขา
ขณะนี้ผู้พิทักษ์คนที่พุ่งเข้าโจมตีอสูรวานรสีน้ำเงิน พุ่งเข้ามาใกล้อสูรวานรในระยะ 20 เมตาแล้ว
อสูรวานรสีน้ำเงินที่มีร่างกายสูงใหญ่ถึง 10 เมตา ก็กางกรงเล็บออกจากมือทั้ง 2 ข้าง แล้วกวาดกรงเล็บทั้ง 2 ข้าง ไปยังผู้พิทักษ์ที่พุ่งตรงเข้ามาหามัน
กรงเล็บนั้นได้ปล่อยพลังปราณธาตุน้ำอันคบกริบ พุ่งเข้าใส่ผู้พิทักษ์ในทันที
ผู้พิทักษ์ใช้ท่าร่างเบี่ยงตัวหลบพลังปราณธาตุน้ำจากกรงเล็บที่โจมตีเข้ามา พร้อมกับสร้างเกราะพลังปราณธาตุดิน ออกมาปกป้องร่างกายของเขา
ผู้พิทักษ์หลบปราณกรงเล็บธาตุน้ำไปได้ 1 ข้าง
แต่ เคล้ง..!!! เสียงพลังปราณกรงเล็บของอสูรวานรสีน้ำเงินอีกข้าง ที่มีความคมกริบ ก็เข้าปะทะกับร่างของผู้พิทักษ์ที่สร้างเกราะปราณออกมาปกป้องร่างกายเข้าอย่างจัง
ผู้พิทักษ์มิได้รับบาดเจ็บ หรือกระเด็นถอยหลังไปแม้แต่น้อย เขายังคงพุ่งเข้าหาอสูรวานรสีน้ำเงินอย่างมุ่งมั่น
อสูรวานรสีน้ำเงินเห็นดังนั้น มันจึงอ้าปากออก แล้วพ่นปราณธาตุน้ำออกมาเป็นเข็มน้ำเเข็งขนาดใหญ่
ครานี้ผู้พิทักษ์มิได้หลบไปทางไหน เขามั่นใจเเล้วว่าอสูรวานรสีน้ำเงินตัวนี้ มีพลังอยู่ในขั้นผสานลมปราณขั้นกลางจริงๆ เมื่อเทียบกับมนุษย์
เขาต่อยหมัดด้วยวิชาหมัดถล่มศิลาของเขาออกไปชนกับเข็มน้ำแข็งขนาดใหญ่ของอสูรวานรสีน้ำเงิน
เข็มน้ำแข็งของอสูรวานรสีน้ำเงินแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆในทันที
อสูรวานรเห็นท่าไม่ดี มันเตรียมหันหลังกลับเพื่อจะวิ่งหนี
แต่ผู้พิทักษ์ก็ไม่ยอมให้มันหนีไปได้ง่ายๆ เขาใช้วิชาเพลงหมัดถล่มศิลาอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้กระบวนท่าถล่มศิลา 100 เมตา
( 100 เมตา = 100 เมตร )
พลังปราณธาตุดินของหมัดถล่มศิลา พุ่งเข้าหาร่างของอสูรวานรสีน้ำเงินด้วยความรุนแรง
ตู๊ม.. !!!!! ร่างของอสูรวานรสีน้ำเงินแหลกเละไม่มีชิ้นดี มันตายไปอย่างมิทันรู้ตัวว่ามันตายได้เยี่ยงไร
เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว ชุน 2 ก็ให้ชุน 1 เข้ามาควบคุมร่างเป็นการชั่วคราว
ชุน 2 เขาขี้เกียจคิด ขี้เกียจถาม จึงโยนภาระให้ชุน 1 รับไปทำ
ชุน 1 จึงเริ่มสอบถามทหารทั้ง 7 นาย