Your Wishlist

อวี้จื่อลู่ ณ หมู่บ้านม่านหมอก (รีบสร้างรั้วบ้านกันคนบ้า)

Author: Ning Feng

เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”

จำนวนตอน : 55

รีบสร้างรั้วบ้านกันคนบ้า

  • 21/11/2566

ด้านอวี้เหิงเยว่และลุงหม่าที่เพิ่งมาถึงหลังจากสองแม่ลูกจากไปได้ราว ๆ หนึ่งเค่อ มองสองพี่น้องด้วยความมึนงงปนสงสัย ก่อนจะรีบลงจากเกวียนแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาน้องทั้งสองด้วยความเป็นห่วง เขากวาดตามองไปทั่วบริเวณบ้าน จนสายตาไปสะดุดเข้ากับร่างอวี้เฉิงรุ่ยที่ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยช้ำและปูดบวมจากการโดนทุบตีด้วยของแข็ง มุมปากช้ำเขียวมีรอยเปื้อนเลือดติดอยู่ ส่วนน้องเล็กค่อยโล่งใจหน่อยไร้รอยขีดข่วนซึ่งต่างจากน้องรอง

      "นี่มันเกิดอะไรขึ้น" หม่าถงเหยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นสภาพข้าวของกระจัดกระจายเต็มลานหน้าบ้าน ไหนจะเด็กหนุ่มอีกคนที่โดนทำร้าย

      “อะ…เอ่อ คือว่า” อวี้เฉิงรุ่ยพูดได้ไม่เต็มปากเพราะความปวดเริ่มแผ่กระจาย จนทำให้อวี้จื่อลู่ทนไม่ไหวต้องเป็นคนพูดขึ้นมาเอง

      “พี่รองไม่ต้องพูด เดี๋ยวลู่เอ๋อร์พูดเอง” ไม่รอให้พี่ชายทักท้วงนางก็เปิดปากเล่าทุกอย่างให้พี่ใหญ่และลุงหม่าฟัง ตีไข่ใส่สีเข้าไปอีกนิดหน่อยเพื่อให้ได้อรรถรส ก่อนจะหลุดปากออกมาด้วยความลืมตัว “ก็อีแก่กับเจ้าขยะนั่น” ก่อนจะนึกขึ้นได้จึงรีบยกมือขึ้นมาปิดปากไว้ ‘ตายแล้ว พลั้งปากไปจนได้ หวังว่าพี่ใหญ่กับลุงหม่าคงไม่ได้ยินนะ’

      ก่อนจะใช้โอกาสนี้ฟ้องเข้าไปอีก แล้วปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง ทว่าในน้ำเสียงนั้นยังคงมีความสั่นเครือ “แต่ป้าสะใภ้กับญาติผู้พี่เจียวเมิ่ง เป็นคนเริ่มก่อนนะเจ้าคะ ตอนข้ากลับมาเจอพี่รองก็โดนสองแม่ลูกใช้ไม้ทุบตีอยู่ ข้าวของทุกอย่างในบ้าน นางก็กวาดเอาไปจนหมด” ก็จะหันหน้าไปขยิบตาส่งสัญญาณให้อวี้เฉิงรุ่ยเสริมทัพอีกที

      อวี้เฉิงรุ่ยได้ยินที่นางกล่าว ก็แอบกลั้นขำจนไหล่สั่น ‘อืม ช่างน่ารักยิ่งน้องสาวข้า’ จึงเอ่ยสำทับเพื่อยืนยันว่าสิ่งน้องเล็กกล่าวมานั่นเป็นความจริงทุกประการ “อืม เป็นฝีมือป้าสะใภ้และญาติผู้พี่จริง ๆ ขอรับพี่ใหญ่”

      ได้ฟังทุกอย่างจากสิ่งที่น้องเล็กเล่ามา ฝ่ามือใหญ่ก็กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนด้วยความโกธร ทั้งยังรู้สึกผิดที่ตนเองไม่ได้อยู่ปกป้องน้อง ๆ เมื่อยามเกิดเรื่อง เขาช่างเป็นพี่ชายที่แย่มาก ๆ อวี้เหิงเยว่ได้แต่ต่อว่าตนเองอยู่ในใจ

      หม่าถงเหยียนได้แต่เวทนาพวกเด็ก ๆ ทั้งที่ถูกขับไล่ออกตระกูลมาแล้ว ไม่แคล้วยังต้องมาถูกเอารัดเอาเปรียบจากบ้านใหญ่อีก ช่างเป็นคนละโมบโลภมากเสียจริงแม่นางอวี้หนิงซวง “พวกเจ้าก็เก็บกวาด ทำความสะอาดเสียเถอะ” แล้วหันไปพูดกับอวี้เหิงเยว่อีกครั้ง “อาเยว่เจ้าไปช่วยน้อง ๆ ของเจ้าเก็บวาดเถอะ ข้าวของบนเกวียนนั่นเดี๋ยวลุงขนลงมาไว้ให้”

      “ขอบคุณขอรับลุงหม่า” จากนั้นก็เดินไปหาอวี้เฉิงรุ่ยและอวี้จื่อลู่ เพื่อช่วยเก็บของที่กระจัดกระจาย

      “นี่ นี่พี่ใหญ่” นางยื่นมือไปสะกิดไหล่พี่ชายคนโต “คือว่าลู่เอ๋อร์ขอโทษนะเจ้าคะ ที่ทำให้ท่านอดกินไก่ย่างฝีมือข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ตั้งใจทำมันขึ้นมาสุดฝีมือเลยแท้ ๆ” นางพูดออกมาด้วยสีหน้าสลดปนเสียใจ จนอีกคนรู้สึกผิดไปตามกัน

      “หากจะโทษก็โทษพี่รองคนนี้เถอะน้องเล็ก ที่รักษาไก่ย่างของเจ้าไว้ไม่ได้ ทั้งที่รับปากเจ้าเอาไว้แล้ว” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาช่างบีบหัวใจคนฟังอย่างอวี้เหิงเยว่นัก

      “ช่างมันเถอะ แค่พวกเจ้าปลอดภัยจากสองแม่ลูกนั่นก็พอแล้ว” พูดจบก็เดินเข้าไปโอบกอดทั้งคู่ด้วยความปลอบโยน

      ด้านหม่าถงเหยียนได้ยินสองพี่น้องสลับกันพูดให้อวี้เหิงเยว่ฟัง ถึงกับแอบขำกับความคิดของทั้งคู่ แต่ก็ยังซาบซึ้งในความรักของสามพี่น้องที่มีให้กัน ก็นะมีอย่างที่ไหนแทนที่จะห่วงความปลอดภัยของตนเอง ทว่ากลับเป็นกังวลเรื่องไก่ย่างของคนเป็นพี่ใหญ่เสียอย่างนั้น

      จากนั้นทั้งสี่ใช้เวลาในการจัดการเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปยามเซินแล้ว หม่าถงเหยียนจึงได้เอ่ยปากลาเด็ก ๆ กลับ ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าขึ้นเกวียน ก็มีเสียงหวานใสของเด็กน้อยเรียกไว้เสียก่อน

      “มีอะไรอย่างนั้นรึ? ลู่เอ๋อร์” เขามองเด็กตัวน้อยตรงหน้า

      “รอข้าสักครู่นะเจ้าคะ” พูดจบนางก็วิ่งกลับเข้าไปด้านหลังบ้าน ก่อนจะวิ่งกลับออกมาพร้อมกับกระต่ายหนึ่งตัว แล้วเดินมายื่นให้ผู้ใหญ่ตรงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าให้เจ้าค่ะ ลุงหม่า”

      “เจ้าเอากลับไปเถอะลู่เอ๋อร์”

      “ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ เงินค่าจ้างท่านก็ไม่รับ ไหนจะยังมาช่วยพวกข้าสามพี่น้องเก็บกวาดอีก แค่นี้ข้าก็เกรงใจท่านจะแย่อยู่แล้ว” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับยกเหตุผลมามากมาย จนคนฟังถึงกับปฏิเสธไม่ออก

      “เฮ้อ! ก็ได้ ๆ ข้าจะรับไว้ก็แล้วกัน แต่หากคราวหน้าพวกเจ้าไม่ต้องเอามาแบ่งให้แล้วนะ พวกเจ้ายังเด็กยังต้องการกินอาหารพวกนี้เยอะ ๆ โดยเฉพาะเนื้อเหล่านี้” หม่าถงเหยียนพูดอย่างอ่อนใจ หากแต่ในน้ำเสียงยังคงแฝงไปด้วยความห่วงใยต่อพวกเขา

      “พวกข้าเข้าใจแล้วขอรับ / เจ้าค่ะ” สามพี่น้องเอ่ยตอบรับอย่างพร้อมเพรียง

      “เช่นนั้น ลุงกลับก่อนล่ะ หากมีอะไรก็ไปตามข้าที่บ้านเอานะ” พูดจบเขาเดินไปพร้อมกับกระต่ายตัวเป็น ๆ ในมือ ถือขึ้นเกวียนแล้วขับหายไปเข้าในหมู่บ้าน

      ปลายยามเซิน

ภายในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่แสนจะซอมซ่อ ได้มีสามพี่น้องนั่งหันหน้าเข้าหากัน ทว่าแต่ละคนนั้นช่างมีสีหน้าที่แตกต่างกันยิ่งนัก อวี้เหิงเยว่นั่งนิ่งด้วยใบหน้านิ่งขรึมเคร่งเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ อวี้เฉิงรุ่ยร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากการถูกทุบตี เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มมีสีหน้าเหยเก ความเจ็บปวดจากรอยฟกช้ำเริ่มแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่าง ส่วนอวี้จื่อลู่นั้นไม่ต้องพูดถึง ณ ตอนนี้สีหน้าของนางเขียวคล้ำสลับไปมากับรอยยิ้มแห่งความสะใจ จนพี่ชายทั้งสองงุนงงไม่เข้าใจว่าเหตุใดน้องเล็กถึงมีอาการเช่นนี้ ในใจอยากจะถามออกไปเพื่อคลายความสงสัย แต่กลัวว่าน้องเล็กจะเสียใจ จึงกระซิบกระซาบคุยกันระหว่างพี่น้องทั้งสอง

      "น้องเล็ก เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงที่ใดอย่างนั้นรึ? ให้พี่ไปตามท่านหมอหวงมาดีหรือไม่" อวี้เหิงเยว่ถามออกมาเบา ๆ ด้วยความกังวลใจ

      "นั่นสิพี่ใหญ่ นางเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวคิ้วขมวด บ้างก็ยิ้มออกมาแปลก ๆ"

      "พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าเองก็นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ทั้งคน พวกท่านจะกระซิบกระซาบกันทำไมเจ้าคะ ข้าได้ยินนะ" ก่อนจะพ่นลมออกมาระบายความหงุดหงิดใจ "ข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอกเจ้าคะ แค่เจ็บแค้นนิดหน่อยเรื่องไก่ย่าง แต่พอมาคิดอีกทีก็สะใจอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยพวกเราก็สามารถไล่คนบ้าแบบสองแม่ลูกนั่นกลับไปได้ อีกทั้งข้าวของทุกชิ้นก็ยังอยู่ครบดี ไม่เสียหายหรือบุบสลาย"

      ได้ฟังคิดความของน้องเล็กก็พากันโล่งใจ "เจ้านี่นะ ทำเอาข้าเป็นห่วงแทบแย่"

      "ทำไม่หรือเจ้าคะ" ด้วยความสงสัย จึงถามออกมาทันที เพราะนางรู้สึกว่าความทรงจำบางช่วงได้ขาดหายไป

      "ก็เวลาที่ป้าสะใภ้กับพี่เจียวเมิ่งมาทีไร เจ้าก็จะแสดงอาการหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา ทั้งยังถูกทำร้ายทุบตีอยู่บ่อยครั้งเมื่อสองแม่ลูกนั่นมา"

      "ใช่ เป็นอย่างที่พี่ใหญ่พูดนั่นล่ะ แต่ว่าวันนี้เจ้าเก่งมากเลยนะน้องเล็ก ที่ทำให้สองคนนั่นล้มลุกคลุกคลานขึ้นรถม้ากลับไปได้" ก่อนจะหันไปบอกอวี้เหิงเยว่ด้วยความภูมิใจในตัวน้องสาวที่จู่ ๆ กลับสู้คนขึ้นมาถึงแม้จะแปลกใจไปบ้าง แต่ไม่เป็นไรเขาชอบ "ถ้าหากตอนนั้นพี่ใหญ่ได้อยู่ด้วยนะ ท่านต้องไม่เชื่อภาพที่เห็นตรงหน้าแน่ ๆ ว่าน้องเล็กเก่งกาจแค่ไหน ทั้งยังเดินเข้ามาถีบพี่เจียวเมิ่งกระเด็นไปเสียไกลอีกต่างหาก"

      'โอ๊ย! พี่รองเจ้าขา ตัวข้าจะลอยได้แล้วนะเจ้าคะหากว่าท่านยังไม่หยุดชมข้าเสียที' นั่งฟังพี่รองเล่าวีรกรรมทั้งยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก ก็ทำเอานางนั่งยิ้มแก้มปริด้วยความสุขใจ

      อวี้เหิงเยว่เห็นว่าทั้งสองชักจะไปไกลเสียแล้วจึงเอ่ยตัดบทขึ้นมา "ดูท่าพวกเจ้าจะถูกอกถูกใจไม่น้อยเลยนะ"

      "แน่นอนขอรับพี่ใหญ่"

      "..."

      "มาดูนี่สิ พี่ซื้อหมั่นโถวกับถังหูลู่มาฝากพวกเจ้าด้วยนะ กินกันก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง อีกอย่างกินเสร็จแล้วพี่มีบางอย่างจะให้พวกเจ้าดูด้วย" ก่อนจะยื่นของทั้งสองให้น้อง ๆ กิน

      "ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ใหญ่"

      "ขอบคุณขอรับ" ทั้งคู่รับของกินมาจากพี่ใหญ่ด้วยสีหน้ามีความสุข พวกเขาแทบไม่เคยลิ้มลองของเหล่านี้เลย อย่าว่าแต่ขนมราคาถูกในเมืองเลย แค่เงินซ่อมบ้านพวกเขายังไม่มีจึงไม่แปลกที่ทั้งสามจะมีความสุขกับหมั่นโถวและถังหูลู่

      อวี้จื่อลู่กับอวี้เฉิงรุ่ยหยิบหมั่นโถวขึ้นมากินด้วยความสุขใจ โดยเฉพาะเวลารสชาติของถังหูลู่เมื่อนำเข้าปากความหอมหวานของผลไม้กับน้ำตาลค่อย ๆ แผ่กระจายไปทั่วลิ้นช่างเป็นรสชาติที่ลืมไม่ลงทีเดียว ทว่าเมื่อกินไปได้ครู่หนึ่งสองพี่น้องที่กำลังกินอยู่ต่างหยุดชะงักแล้วมองหน้ากัน จากนั้นก็หันไปอวี้เหิงเยว่ที่นั่งดูพวกเขากินด้วยร้อยยิ้ม หากมองดูให้ดีของกินทั้งหมดนั้นต่างก็ตกอยู่ในมือของนางและพี่รอง ทั้งคู่มองหน้าแต่นัยน์ตาสื่อความหมายออกมาแม้ไม่ต้องพูดพวกเขาก็เข้าใจได้ทันที ทั้งคู่พร้อมใจกันยื่นหมั่นโถวกับถังหูลู่ไปทางอวี้เหิงเยว่

      ทำเอาคนเป็นพี่ใหญ่ที่กำลังมองภาพตรงหน้าถึงกับน้ำตาซึม เขาแหงนหน้าขึ้นมองด้านบน พลางกระพริบตาไล่น้ำใสที่กำลังเอ่อล้นออกมาจากดวงตาเรียวคู่นั้น ในใจก็พร่ำขอบคุณ 'ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งน้อง ๆ ที่น่ารักเช่นนี้ให้มาอยู่กับคนอย่างเขา'

      ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ ยื่นออกไปรับขนมจากน้อง ๆ ด้วยมืออันสั่นเทา เมื่อน้องชายและน้องสาวนั่งมองด้วยความคาดหวัง หลังจากที่เขานำขนมปากเด็กทั้งก็เริ่มลงมือกินอีกครั้ง มื้อนี้แม้จะไม่ได้อิ่มกินข้าวแต่ทว่าพวกเขากลับอิ่มความสุขจนล้นทะลักออกมา

 

      หนึ่งเค่อต่อมา

      เหมือนว่าอวี้จื่อลู่จะนึกบางสิ่งได้ก็รีบเอ่ยถาม “จริงสิพี่ใหญ่ ของที่ข้าฝากซื้อละเจ้าคะ”

      “อยู่ทางนี้”

      มาถึงนางก็เริ่มนับทวนของต่าง ๆ แล้วหันไปพูดกับพี่ใหญ่ “ครบทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ ไม่ขาดแม้แต่สิ่งเดียว” จากนั้นก็ยื่นเสื้อผ้าตัดสำเร็จกับผ้าห่มผืนใหม่ให้พี่ชายคนละหนึ่งชุดและนางเองหนึ่งชุด แล้วนำข้าวสารรวมถึงเครื่องเทศต่าง ๆ ไปเก็บไว้ในครัว เมื่อเดินออกมานางก็โดนพี่ใหญ่เรียกไปนั่งพร้อมกับพี่รอง

      “น้องเล็ก น้องรองมาดูนี่สิ” ก่อนจะเทถุงใส่เงินออกมากอง ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทว่าในใจนั้นเต้นแรงราวกับกลองศึก

      "พะ...พี่ใหญ่ นี่ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม" อวี้เฉิงรุ่ยมองเงินตรงด้วยความดีใจ ซึ่งต่างจากอวี้จื่อลู่ออกจะนิ่งเฉยกับเงินตรงหน้า แม้จะรู้ดีว่าเงินจำนวนขนาดนี้คือเงินก้อนโตสำหรับคนที่นี่ แต่สำหรับนางเงินแค่นี้มันไม่พอที่จะทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือสุขสบาย นางต้องหาเงินให้ได้เยอะกว่านี้ พรุ่งลองชวนพี่ใหญ่ พี่รองเข้าป่าอีกรอบดีกว่า

      "เหลือเงินเท่าไหร่หรือเจ้าคะ พี่ใหญ่"

      "สิบห้าตำลึงเงินกับอีกยี่สิบอีแปะ"

      ได้ยินจำนวนเงินที่เหลือทำเอาอวี้เฉิงรุ่ยพูดติด ๆ ขัด ๆ อีกรอบ "ถะ...ถ้าเงินเหลือขนาดนี้ ละ...แล้วขายได้ทั้งหมดเท่าไหร่กันล่ะพี่ใหญ่"

      "ขายได้ทั้งหมดสามสิบตำลึงเงินกับอีกห้าสิบห้าอีแปะ" ได้ยินจำนวนเงินทั้งหมดจากพี่ชาย เขาถึงกับนั่งหงายหลังไปเสียอย่างนั้น ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งใหม่อีกครั้งเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น

      "พี่ใหญ่เจ้าคะ หากเราจะทำรั้วล้อมพื้นที่บ้าน ต้องใช้เงินเยอะเท่าไหร่เจ้าค่ะ" หากเป็นไปได้นางอยากจะทำรั้วบ้านเสียเดี๋ยวนี้เลย

      "คงจะหลายตำลึงเงินอยู่"

      "ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้พี่ใหญ่ลองไปสอบกับท่านลุงกู่หัวหน้าหมู่บ้านดู" ก่อนจะหันไปถามความคิดเห็นพี่รอง "พี่รองคิดเห็นว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ หากจะทำรั้วล้อมพื้นที่บ้านของพวกเรา"

      "พี่ว่าก็ดีนะน้องเล็ก จะได้กันคนอื่นได้"

      "แล้วพี่ใหญ่ล่ะเจ้าคะ"

      "ดีแล้วเจ้ากับน้องรองจะได้ปลอดภัยด้วย"

      "กันใครหรือเจ้าคะพี่รอง ไม่ใช่ว่ากันคนบ้าอย่างสองคนนั้นหรือ?" อวี้จื่อลู่พูดจบ สามพี่น้องก็พลันปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น โดยเฉพาะพี่ใหญ่คงถูกใจกว่าใครเขา

      'หึหึ คนบ้าอย่างนั้นหรือ? ช่างซุกซนเสียจริง'

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า