ได้ยินแบบนั้น ผู้ใหญ่บ้านตะลึงงัน แทนที่จะคิดว่าจะกินอะไร เฉียวเหม่ยไปกังวลกับหมูที่บ้านว่าจะกินอะไร?
ยอดเยี่ยมแค่ไหน!
นอกจากนี้ เธอกำลังแบกไม้หาบและไปทำงานจริงๆเหรอ? เมื่อก่อน แม้แต่ตลาดก็ไม่เคยเห็นเธอ ไม่ต้องพูดถึงการออกไปพร้อมกับไม้หาบ
ณ ตอนนี้ ที่เดียวที่สามารถขุดพืชป่าที่เขียวชอุ่มเช่นนี้ได้คือบริเวณบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ลึกเข้าไปในภูเขา เธอเดินไกลขนาดนั้นเพื่อขุดหาอาหารให้หมูจริงเหรอ?
เฉียวเหม่ยที่ควรจะเป็นคือโคตรขี้เกียจไม่ใช่เหรอ?
แม้ว่าจ้าวเหลียงจะประหลาดใจ ความประหลาดใจของเขาเป็นเรื่องอื่น เฉียวเหม่ยเรียกเขาว่าลุงจ้าวจริงๆเหรอ? สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าเฉียวเหม่ยจะทำงานเสียอีก
“ลุงจ้าว พวกคุณไปกันก่อนเลย ฉันกลับก่อน” หลังจากเฉียวเหม่ยพูดจบเธอก็เดินกลับไปด้วยรอยยิ้ม เธอเดินผ่านชาวนาชราที่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่แล้วพูดว่า “ลุงหวัง ฉันได้ยินว่าลุงกำลังขายลูกหมู อย่าลืมเก็บตัวดีๆไว้ให้ครอบครัวของหนูด้วยนะ พรุ่งนี้หนูจะไปบ้านลุงเพื่อซื้อมัน ไม่ต้องห่วงนะหนูไม่ลืมเงินของลุง”
“อา? โอ โอ ได้ ได้…” หวังอู่ตกใจมาก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำพูดที่สุภาพเหล่านี้มาจากเฉียวเหม่ย
ก่อนที่เฉียวเหม่ยจะถึงบ้าน เธอเห็นปู่ของเธอรออยู่ที่ประตูแล้ว
เห็นเฉียวเหม่ยหาบตระกร้ามาสองใบ เขาระงับอารมณ์ของเขาและไปหาเธอ ในฐานะคนที่ใกล้ชิดกับเฉียวเหม่ยมากที่สุด เขารู้ดีว่าเธอขี้เกียจแค่ไหน
นั่นเป็นเหตุผลที่เขารู้ว่าเฉียวเหม่ยเปลี่ยนไปมากเพียงใด
“คุณปู่ ช่วยพักผ่อนด้วยค่ะ หนูจัดการได้” เฉียวเหม่ยเลี่ยงเขา “หนูแข็งแรงพอที่จะแบกมัน อย่าโอ๋หนูมากไปกว่านี้เลย หนูควรจะทำงานบ้าง”
“ได้ ได้ เข้ามาๆ” เฉียวเฉียงพูดด้วยรอยยิ้มสดใจ
เฉียวเหม่ยนำตระกร้าทั้งสองใบเข้าไปในครัวแล้วยกวัชพืชที่คลุมออก เผยให้เห็นฟักทองสีเหลืออร่ามและมันเทศลูกโตๆด้านใน
เฉียวเฉียงตัวแข็งทื่อและถามว่า “หลานไปเอาฟักทองกับมันเทศมากมายมาจากไหน?”
“มันมาจากบริเวณบ่อน้ำพุร้อนด้านหลังภูเขาค่ะ” เฉียวเหม่ยกล่าวอย่างสบายๆ “หนูเดินไปรอบๆและไม่คิดว่าจะเห็นฟักทองและมันเทศมากมายขนาดนี้ หนูจะไปดูว่าพรุ่งนี้จะมีพืชอะไรอีกไหม?”
จากบริเวณบ่อน้ำพุร้อน?
เฉียวเฉียงนึกไตร่ตรองว่าตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฟักทองและมันเทศในทุ่งยังไม่แตกหน่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับพืชผลมากมายที่ปลูกในบริเวณบ่อน้ำพุร้อน
อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิที่นั่นสูง จึงไม่น่าแปลกใจหากจะมีฟักทองและมันเทศเติบโตที่นั่น
เมื่อก่อน อาจมีคนเก็บได้ แต่ปิดปากเงียบไม่บอกคนอื่น
“เหม่ยเหม่ยของปู่ช่างโชคดี” เฉียวเฉียงพูดด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
เขาไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟักทองและมันเทศที่สวยงามเช่นนี้ต้องมาจากบริเวณบ่อน้ำพุร้อน เพราะไม่มีที่ดินของใครสามารถปลูกพืชผลที่มีคุณภาพดีเช่นนี้ได้
เฉียวเหม่ยวางของทั้งหมดลงและเริ่มทำอาหาร
เมนูวันนี้คือกินเลี้ยงฟักทอง - ฟักทองทอด ฟักทองต้ม ฟักทองตุ๋น และเค้กฟักทองทอด
ยังไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะในการทำอาหาร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับกลิ่นหอมของส่วนผสมเท่านั้น
เฉียวเฉียงไม่สามารถหยุดชื่นชมได้เมื่ออาหารเข้าปากของเขา และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็กว้างขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่เขาเห็น เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆ ในที่สุดเฉียวเหม่ยก็มีจุดแข็ง อาหารที่เธอทำอร่อยมาก ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เธอคงไม่ถูกดูถูกใช่ไหม?
“ปู่ค่ะ หนูเพิ่งบอกลุงหวังอู่ไปว่าพรุ่งนี้เราจะไปบ้านเขาและซื้อลูกหมูมาเลี้ยง” เฉียวเหม่ยพูด
เฉียวเฉียงมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ตอนนี้ หลานสาวของเขาไม่เพียงแต่มีทักษะในการทำอาหารที่ดีเท่านั้น แต่เธอรู้วิธีคิดเพื่อครอบครัวของเธอด้วย
“ตกลง ตกลง เราจะไปพรุ่งนี้เช้าเลย ปู่รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมมากและตอนนี้มีกำลังมากขึ้นแล้ว การเลี้ยงหมูจะไม่มีปัญหา”
“ปู่ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงพวกมัน ปู่แค่ต้องไปซื้อลูกหมูเพราะหนูไม่รู้จะเลือกยังไง จากนั้นเฉียวเหม่ยก็ถามต่อว่า “เรายังมีเงินเหลืออยู่ไหมค่ะ?”
“มี มี มีสิ” เฉียวเฉียงยิ้มและโบกมือ “ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน เอาเงินที่เหลือใช้ไปก่อน แล้วอีก2-3 วันปู่จะให้ยอดที่เหลือกับเขาเมื่อเงินเกษียณปู่ออก ไม่กี่วันเอง ไม่น่าจะทำให้แตกต่างเท่าไหร่”
นอกจากนี้ เฉียวเฉียงไม่ใช่คนที่จะผิดนัดชำระหนี้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียวเหม่ยก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่านี่คือสังคมที่ผูกมัดด้วยความสัมพันธ์ มันไม่เหมือนกับอนาคตที่คนๆ หนึ่งจะไม่สามารถซื้อลูกหมูได้หากเงินขาดไปสองสามหยวนจากราคาที่ตั้งไว้
ในกรณีนี้ ไม่ต้องรีบขายฟักทองที่เหลือ ที่สุดแล้ว ฟักทองที่เหลือก็มีมูลค่าไม่มากนัก
ตอนที่ 22: หารายได้
“หนูต้องการหาเงิน” เฉียวเหม่ยพูด
เฉียวเฉียงสะดุ้งตกใจคิดว่าตนได้ยินผิด
“หาเงิน?” เฉียวเฉียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ดี ดี ดี! ปู่จะไปในเมืองพรุ่งนี้เพื่อถามให้ทั่วและหางานที่ดีให้หลาน”
ในความคิดของเขา ถ้าใครต้องการหาเงิน ควรไปทำงานในเมืองเพื่อจะได้เงินเดือนพอใช้
เขาเคยคิดเช่นนั้นและหางานให้เฉียวเหม่ยด้วยซ้ำ เฉียวเหม่ยไปทำงานอย่างมีความสุข แต่ไม่ถึงครึ่งวัน เธอกลับมาเพราะเธอบอกว่ามันเหนื่อยเกินไป
ตอนนี้เหม่ยเหม่ยโตขึ้นมากเพราะเธอรู้ว่าเธอจำเป็นต้องหาเงินมาจุนเจือครอบครัว
“ไม่ ไม่ ไม่ค่ะ” เฉียวเหม่ยพูดปฏิเสธทันที “คนทำงานหาเงินจะได้เท่าไหร่ค่ะ? มันไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายในครัวเรือน นอกจากนี้ หนูต้องจากบ้านไปทำงานและหนูไม่สบายใจที่จะปล่อยให้ปู่อยู่บ้านคนเดียว”
เมื่อเฉียวเฉียงได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ
“หนูอยากไปขายของในเมือง” เฉียวเหม่ยกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉียวเฉียงรู้สึกตกใจจนน้ำตาคลอเบ้า โบกมือของเขาไปรอบ ๆ เขารีบลงจากเตียงอิฐและมองดูว่ามีใครอยู่รอบๆ หรือไม่ เท่านั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและนั่งลง
“มันเป็นการเก็งกำไรที่ซื้อมาแล้วขาย นั่นคือพฤติกรรมของทุนนิยม เราทำอย่างนั้นไม่ได้!” เขาคิ้วขมวดและพูดด้วยเสียงเบา
นี่เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเขาจึงประมาทไม่ได้
ยังไม่มีการปฏิรูปและเปิดทำการในขณะนี้ และไม่อนุญาตให้มีการซื้อขายของเอกชน หากพวกเขาถูกตรวจพบและถูกจับกุมคงเป็นเรื่องใหญ่
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะปู่ หนูไม่ได้จะทำการค้าขาย หนูแค่ต้องการขายผลผลิตของครอบครัวเรา”
ในฐานะนักกฎหมายชั้นยอด เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการทำธุรกรรมส่วนตัวในช่วงเวลานี้เป็นอันตราย
เธอไม่กล้าขายของ แต่เธอยังสามารถขายผักพิเศษและผลผลิตจากภูเขาที่ครอบครัวของเธอปลูกได้ ไม่มีใครสนใจถ้าเธอขายมันอย่างรอบคอบ
“อ๋อ ปู่เข้าใจแล้ว มันไม่เป็นไรที่จะขายผักและผลผลิตจากภูเขา” เฉียวเฉียงพยักหน้า แต่วินาทีต่อมาเขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง “แต่เราไม่มีผักขาย?”
ตอนนี้มันเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ผักและพืชผลในทุ่งยังไม่เติบโตและที่บ้านก็ไม่มีอะไรกินมากนัก แม้ว่าจะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวและครอบครัวอื่นก็มีกินมากเกินไป ครอบครัวของเขายังคงต้องทำให้แน่ใจว่าพวกเขาเก็บผักไว้สำหรับฤดูหนาว
ไม่อย่างนั้น เหม่ยเหม่ยจะหิว
เฉียวเหม่ยดูเหมือนจะคาดหวังคำถามของเขาและพูดว่า “หนูคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เราซื้อถั่วมาเพาะถั่วงอกขายได้”
เฉียวเฉียงกระพริบตาด้วยความสับสน เขารู้สึกงุนงง สงสัยว่าเขาได้ยินผิดไปหรือเปล่า
เฉียวเหม่ยก้มหน้าลงแล้วพูดช้าๆ “ตอนหนูยังเด็ก แม่เคยเพาะถั่วงอกที่บ้าน หนูยังจำทั้งหมดนั้นได้”
เฉียวเฉียงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เมื่อเฉียวเหม่ยอายุได้ 5 ขวบ พ่อของเธอไปในเมืองและประสบอุบัติเหตุถูกรถชน เมื่ออายุเจ็ดขวบ แม่ของเธอแต่งงานใหม่ ครอบครัวนั้นไม่ต้องการรับเธอไปเป็นภาระ เฉียวเหม่ยจึงถูกทิ้งไว้กับตระกูลเฉียว
แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่มันเป็นแค่ว่าเธอไม่มีเวลาสนใจเฉียวเหม่ย
จ้าวหรานแต่งงานกับคนงานที่ครอบครัวอาศัยอยู่ในเขตที่อยู่ห่างไกลหลายสิบไมล์ ต่อมาได้ข่าวซุบซิบกันในหมู่บ้านว่าบุคคลนั้นถูกย้ายไปยังเมืองต่างจังหวัด เนื่องจากมีการมอบหมายงานใหม่
ทั้งหมดนี้เป็นข่าวจากหมู่บ้านของลุงของเธอ
หลังจากที่จ้าวหรานแต่งงานใหม่ ในปีแรกเธอเคยขอให้คนมาเยี่ยมเฉียวเหม่ย หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวของเธออีกเลย
เมื่อเฉียวเหม่ยยังเด็กและอาศัยอยู่ที่บ้านของเฉียวซวง เธอเป็นเด็กสาวที่น่าสงสารมาก เธอผอมและตัวเล็ก ดูราวกับว่าเธอจะล้มลงถ้าลมพัดมาแรงๆ เธอขี้อายมากและจะซ่อนตัวทุกครั้งที่เห็นใครซักคน..…
จนกระทั่งเฉียวเฉียงกลับมาที่หมู่บ้าน
การมีคนเลี้ยงดู คอยอบรมและปกป้องทำให้เธอมีความมั่นใจ และเฉียวเหม่ยก็แข็งแกร่งขึ้นในทันที ขณะที่เธอมีน้ำหนักมากขึ้น อารมณ์ของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน และเธอก็ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร