บทที่ 1
ตอน ถ้ำหิมะ
ณ.ดินแดนเมืองหิมะ
ช่วงฤดูหนาวแห่งการต้อนรับนักท่องเที่ยวได้มาถึงแล้ว ชาวเมืองต่างพากันตกแต่งบ้านเรือนและที่พัก เพื่อเตรียมพร้อมกับการมาของเหล่านักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งเมืองหิมะนี้เป็นเมืองที่หนึ่งปีจะเปิดเมืองแค่ครั้งเดียว และจะเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวแค่สามเดือนเท่านั้น เหล่านักท่องเที่ยวจะได้ดูดอกไม้หิมะในยามเช้า เมืองหิมะแห่งนี้จะถูกปิดตายถึง 9 เดือน เพราะเหตุนี้เอง มันจึงเป็นที่ท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องการที่จะมาหาความสุขสำราญ เป็นที่แห่งเดียวที่เหล่านักท่องเที่ยวสนใจมากมาย แม้ราคาความเป็นอยู่จะแพงมาก แต่การต้อนรับของเจ้าของบ้านก็ชวนให้ประทับใจจนยากจะลืม อาหารการกิน ข้าวของที่ขาย แม้แต่ของฝาก จะมาจากชาวบ้านทั้งหมด ซึ่งชาวบ้านเมืองหิมะจะอาศัยอยู่ใต้ดิน ถึง 9 เดือน เป็นเพราะสภาพอากาศที่เลวร้ายจนไม่สามารถอาศัยอยู่ด้านบนได้ 3 เดือนที่ชาวบ้านได้ใช้ชีวิตด้านบนพบกับแสงอาทิตย์ได้
แต่ปีนี้แปลกกว่าทุกปี ได้มีกลุ่มนักสำรวจจำนวนมากอยู่ที่ท้องถนนจัดแจงข้าวของสัมภาระกันอย่างวุ่นวาย รถหลายคันจอดเรียงเตรียมพร้อมออกเดินทาง
ชายหนุ่มเดินไปซื้อของที่ร้านแห่งหนึ่ง เขาส่งกระดาษที่จดรายการที่ต้องการให้เจ้าของร้าน เจ้าของร้านส่งต่อให้พนักงานหญิงจัดของตามออเดอร์
เจ้าของร้านไม่ลังเลที่จะชวนคุย “พ่อหนุ่ม จะไปไหนกันเหรอ เห็นคนมากมาย”
ชายหนุ่มหันมายิ้มเล็กน้อย “พวกผมจะไปเทือกเขาเสียดฟ้าครับ”
เจ้าของร้านทำสีหน้าตกใจ “จะขึ้นกันไปทำไม ไม่รู้หรือที่นั่นชาวบ้านเรียกว่าอะไร”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วสงสัย “เรียกว่าอะไรเหรอครับ”
เจ้าของร้านเดินเข้ามากระซิบข้างหูเขาเบา ๆ “เทือกเขามรณะ”
ชายหนุ่มตกใจ “ฮะ”
เจ้าของร้านเสริม “ไม่รู้หรือที่นั่นเป็นอย่างไร แม้แต่คนที่นี่ยังไม่มีใครกล้าไปเลยนะ"
ชายหนุ่มมีสีหน้าแปลก ๆ จะเชื่อหรือไม่เชื่อดีนะ “...”
เจ้าของร้านพูดขึ้นอีก เมื่อเห็นเขาไม่ตอบสนองอะไร “จริง ๆ นะ ใช่ว่าพวกคุณจะมาสำรวจเป็นกลุ่มแรกหรอกนะ ที่นี่มีนักสำรวจหลายกลุ่มมากมาย แต่ทุกคนที่เข้าไปไม่เห็นมีใคร กลับมาสักคนเลย และนี่ก็ 20 ปีแล้วที่ไม่มีใครเข้าไปที่นั่น แล้วอยู่ ๆ กลุ่มพวกคุณจะไปกันทำไม”
ชายหนุ่มยิ้ม แต่เขาไม่ตอบอะไร ก่อนจะรับของจ่ายเงินแล้วเดินออกไป ปล่อยให้เจ้าของร้านยืนสงสัยในคำถามของตัวเอง ก่อนประตูร้านจะปิดเจ้าของร้านตะโกนเสียงออกไป
“ระวังตัวกันละ”
ชายหนุ่มเดินไปหลังรถส่งของให้เพื่อนจัดเก็บให้เรียบร้อย แล้วเสียงชายวัยกลางคนก็เรียกเขา “เจมส์”
เขาขานรับพร้อมกับวิ่ง “ครับ..ศาสตราจารย์คิม”
ศาสตราจารย์พูดขึ้น “ได้ของครบหรือเปล่า”
เจมส์ตอบเขา ด้วยอาการที่หอบเล็กน้อย “ครับได้ครบครับ แถมมีของแถมจากเจ้าของร้านพูดให้กลัวอีก”
ศาสตราจารย์ขมวดคิ้ว “...”
เจมส์เล่าให้เขาฟังทันทีโดยไม่รอให้ถาม “เจ้าของร้านที่นี่บอกว่าเทือกเขาที่เราจะไปกัน คนแถวนี้ให้ฉายาว่า เทือกเขามรณะ”
ศาสตราจารย์ยิ้ม “นายเชื่อเหรอ”
เจมส์พูดด้วยท่าทีกังวล “เขายังบอกอีกว่า เคยมีนักสำรวจหลายกลุ่มแล้วที่ขึ้นไปแต่ไม่เคยมีใครได้กลับมาเลย”
ศาสตราจารย์เดินเข้าไปตบไหล่เจมส์ 2 ครั้งก่อนจะพูด “อย่าไร้สาระ”
ทิ้งให้เจมส์ยืนกังวลอยู่คนเดียว แต่เขาก็ยืนนิ่งได้ไม่นานเพราะเพื่อน ๆ ต่าง เตรียมของออกเดินทางกันแล้ว
การเดินทางก็เริ่มขึ้น เมื่อรถเคลื่อนตัวชาวบ้านต่างยืนมองแล้วยิ้มให้กับพวกเขา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “โชคดีนะทุกคน”
แต่ก็ไม่มีใครสนใจกับคำพูดเหล่านั้น นอกจากเจมส์ที่มีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด วสันต์มองหน้าของเจมส์ เขารู้สึกว่าเจมส์ผิดปกติไป “มีอะไรหรือเปล่า ดูนายกังวลอยู่นะ” เจมส์จึงตัดสินใจเล่าให้เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันฟัง แต่ทุกคนต่างพากันหัวเราะเขา
วสันต์พูด “นายเชื่อเรื่องแบบนี้เหรอ”
เจมส์เงียบไปทันทีเขารู้สึกเป็นตัวตลกสำหรับเพื่อน..ตอนนี้
การเดินทาง ใช้เวลา ถึง 3 วัน กว่าจะถึงแคมป์ โดยมีกลุ่มนักนำทางได้มาถึงก่อนเพื่อตั้งแคมป์รออยู่หลายวันแล้ว พวกเขามาพร้อมกับชาวบ้านในหมู่บ้านที่ช่วยนำทางมาจำนวน 2 คน เมื่อมาถึงเทือกเขากลุ่มนักสำรวจได้ขับรถผ่านป่าที่มีแต่หิมะ ไร้สิ่งมีชีวิต หิมะขาวโพลนไปหมดความหนาวเหน็บเริ่มทำให้ทุกคนตัวสั่นไม่กี่นาทีพวกเขาก็เริ่มเห็นแสงไฟจากแคมป์ รถจอดที่ตีนเขาทุกคนลงจากรถ เริ่มนำสัมภาระและอุปกรณ์ต่างออกจากรถเพื่อเข้าที่พัก ศาสตราจารย์มีสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
เขาพูดขึ้น “ทำไมเราตั้งแคมป์ห่างจากภูเขามากละ”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้น “ชาวบ้าน 2 คนที่นำทางเราพวกเขาพาเรามาแค่นี้ ทำอย่างไรก็ไม่ยอมให้เราเดินหน้าต่อครับ เขาบอกว่าถ้าเข้าไปอีก ด้านหน้าคือดินแดนมรณะ ยังไงพวกเขาก็จะไม่เข้าไปเด็ดขาดครับ”
ศาสตราจารย์ถอนหายใจ “คนหมู่บ้านนี้เชื่ออะไรของเขากัน” เขาบ่นพึมพำ “อย่างนั้นก็ให้เงินพวกเขาแล้วเราตั้งแคมป์หลักที่นี่แล้วค่อยเดินสำรวจตามแผ่นที่”
เจ้าหน้าที่พูด “ครับ”
ทุกคนจัดข้าวของเข้าที่ทันทีทุกอย่างที่นี่มีครบ ห้องน้ำ ห้องครัวคนทำอาหาร อินเทอร์เน็ต อุปกรณ์ทุกอย่างถูกจัดวางให้เข้าที่ก่อนที่ฟ้าจะมืด พวกเขาประชุมหารือกันตามแผ่นที่ที่ได้รับ ศาสตราจารย์คิดมองแผ่นที่ ที่มีร่องรอยการขีดลบทิ้งหลาย ๆ จุด นั้นหมายถึงเขามีตัวเลือกให้หาไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น
การสำรวจก็เริ่มขึ้นท่ามกลางอากาศหนาว บางวันก็มีพายุ บางวันก็สงบนิ่ง หิมะตกบ่อยมาก เป็นเทือกเขาที่บรรยากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้จริง ๆ เวลาเริ่มผ่านไปเป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน ครึ่งปี พวกเขาก็ไม่พบอะไรเลย บริเวณรอบเทือกเขามีถ้ำหลายจุด แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไรเลย มีแต่หิมะเท่านั้น ยังเหลือแค่จุดเดียวนั้นคือ ถ้ำที่อยู่สูงเกือบถึงยอดเขา ซึ่งอยู่ไกลจากพวกเขามาก วันนี้ศาสตราจารย์สั่งให้ผู้สำรวจทางเดินไปสำรวจทางอย่างระมัดระวัง ก่อนที่พรุ่งนี้เหล่าทีมนักสำรวจจะตามไป
ที่ห้องพักของศาสตราจารย์
เจมส์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับในมือที่ถือถ้วยชาอุ่น ๆ มามอบให้ศาสตราจารย์ “ชาครับ”
ศาสตราจารย์รับชาจากเจมส์ แต่สายตาก็มองดูแผ่นที่เก่าๆ แผ่นหนึ่ง “ขอบใจนะ”
เจมส์พูดพร้อมกับมองแผนที่ไปด้วย “เราหาอะไรเหรอครับศาสตราจารย์ ครึ่งปีนี้เราไม่เจออะไรเลย”
ศาสตราจารย์พูด “ฉันเองก็สงสัยเหมือนที่เธอกำลังสงสัยอยู่นั่นแหละ เพราะผู้ว่าจ้างเรา เขาบอกแต่เพียงว่าเมื่อเจอเราจะรู้เอง ฉันก็อยากรู้ว่ามันอื่นอะไร”
เจมส์พึมพำ “แปลกจัง”
ศาสตราจารย์พูด “ไปนอนเถอะพรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้า” เขาจับหน้าเจมส์อย่างแผ่วเบาก่อนจะอมยิ้มให้เล็กน้อย และละสายตามองแผ่นที่ต่อ เจมส์พยักหน้ารับคำสั่งด้วยหัวใจที่ฟองโต ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ศาสตราจารย์บ่นกับตัวเอง “พวกคุณจะให้ผมหาอะไร”
รุ่งเช้าของการออกเดินทางสำรวจ เป็นอีกวันที่ท้องฟ้าเปิดเห็นแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ส่องลงมาจากฟากฟ้า กระทบกับหิมะขาวทำให้เกิดแสงระยิบระยับดูงดงามกว่าทุกวัน ทุกคนเตรียมอาหารเต็นท์ และของใช้จำเป็น คนส่วนหนึ่งอยู่ที่นี่เพื่อเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และอีกส่วนก็ตามศาสตราจารย์ไป
วสันต์พูด “เริ่มออกเดินทางได้”
ทุกคนต่างแบกสัมภาระของตนเอง เดินเท้าปีนเขากัน แต่ก็ไม่ได้ลำบากมากเท่าไร เพราะคนที่ขึ้นมาก่อนได้ปักเสาพร้อมกับเชือกเพื่อให้ทุกคนจับมันปีนขึ้นมา การเดินทางไม่มีอุปสรรคอะไรทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เมื่อถึงจุดที่นัดหมาย เป็นจุดที่เหมาะแก่การตั้งเต็นท์พัก อีกไม่ไกลก็จะถึงจุดที่แผนที่บอก
เจมส์นำน้ำชาอุ่น ๆ มาให้ศาสตราจารย์ “ชาครับ”
ศาสตราจารย์กล่าว “ขอบใจนะ”
แต่สายตาของเขาไม่ได้มองที่ชาเลย เขายืนมองรอบ ๆ ภูเขา คิมมองสุดสายตาก็ยังไม่เห็นยอดเขาเลย เขายังคงมองไปยังเบื้องหน้าอยู่อย่างนั้น เริ่มสงสัยสิ่งที่พวกเขาตามหามีอยู่จริงหรือ
เจมส์เรียก "ศาสตราจารย์ครับ”
เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองเจมส์ “มีอะไร”
เจมส์ก้มหน้าเขาตัดสินใจพูดออกมา “ถ้าเราไม่พบอะไรเลยละครับ”
ศาสตราจารย์พูด “ก็กลับบ้าน”
เจมส์พูด "แล้วคนที่จ้างเราเขาจะ…"
ศาสตราจารย์พูด “ก็ไม่มีอะไร แล้วจะเอาอะไร จะว่าอะไร ในเมื่อเราไม่เจออะไรเลย” เขายื่นแก้วชาให้เจมส์ “ฉันอยากได้ชาอีก” เจมส์รับถ้วยชาแล้วรีบไปชงชาให้ศาสตราจารย์ทันที
ก่อนคิมจะหันหลังกลับไปที่เต็นท์ ในจังหวะที่เขาหมุนตัวกลับ เขามองเห็นแสงบางอย่างระยิบ สดุจตาทันที เขาหันมองแล้วเดินไปยังจุดที่เขาเห็นแสงนั้น ซึ่งเป็นทางเบี่ยงที่ไม่ได้ปักเสากับเชือกไว้
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้น “เขากำลังทำอะไร”
ทุกคนหันมอง ต่างตกใจเมื่อเห็นศาสตราจารย์เดินออกนอกเส้น ทางเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินตามเขาไปช้า ๆ เมื่อเท้าก้าวออกไปสองถึงสามเมตรเขารู้ทันทีว่าน้ำแข็งเปาะบางพอสมควร เขาใช้โทนเสียงต่ำเรียกศาสตราจารย์ แต่ศาสตราจารย์ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเขาเรียกเลย เขาเรียกอีกครั้งเพิ่มระดับเสียงเล็กน้อย ศาสตราจารย์หยุด แล้วหันมาทางเจ้าหน้าที่แล้วพูดตะโกนออกมา “ผมว่าที่นี่มีถ้ำนะ” เมื่อสิ้นเสียงเขา ทันใดนั้นร่างของศาสตราจารย์ก็ร่วงหายไปยังใต้น้ำแข็ง ต่อหน้าต่อตาของเพื่อนร่วมงาน ทุกคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เจอในตอนนี้
เจ้าหน้าที่ค่อย ๆ เดินมาที่ปากหลุม “ศาสตราจารย์ "คุณเป็นไงบ้าง”
ศาสตราจารย์ตกลงมาจากความลึกไม่มาก ร่างของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยเพราะตกลงบนหิมะที่ยังไม่ได้จับตัวแข็ง แต่กลับนุ่มเหมือนสำลี “ผมไม่เป็นอะไรครับ” เขาตอบพร้อมกับพาตัวเองลุกยืนแม้จะรู้สึกจุ ๆ บ้าง
เจ้าหน้าที่นอนราบกับน้ำแข็งที่ปากหลุม เขามองดูศาสตราจารย์ด้วยสีหน้าคลายกังวล เพราะศาสตราจารย์ขยับตัวนั่งก่อนจะยืนและเดินได้ปกติ “พวกเราลงไปครับ”
ศาสตราจารย์พูด “ระวังด้วย ดูเหมือนรอบ ๆ น้ำแข็งไม่แข็งแรงเท่าไร”
“ครับ” เจ้าหน้ารับคำ
ระหว่างนั้นศาสตราจารย์สำรวจภายในถ้ำ น่าแปลกจริง ๆ ทำไม ด้านในอุ่นจัง ผนัง เพดาน ไม่มีหิมะปกคลุมเลย มีแต่หินที่ระยิบระยับเป็นประกายหลายเฉดสี ทำให้ถ้ำนี้ดูสวยงามมาก ภายในถ้ำยังมีลำธารน้ำไหลเข้าไปในช่องเล็ก ๆ ซึ่งคนไม่สามารถลอดผ่านได้ เขามองไปรอบ ๆ กลับ สดุจเข้ากับแสงสีฟ้ามีแค่แสงเดียวที่โดดเด่นขึ้นมาดวงใหญ่พอที่จะดับแสงอื่นที่ใกล้มันดับลง
“แสงอะไรนะ เขาใช้เหล็กที่อยู่ที่เอวค่อย ๆ ขุดมันออกมา มันยังคงส่องแสงสีฟ้าอยู่ เขาดึงหินออกมา ลักษณะของมัน “แปลกจัง มันคืออะไร” เขาจับจ้องมองมันอย่างพินิจพิจารณา รูปลักษณ์ของมัน รูปแบบแบน ทรงกลม ความหนาแค่ 2ซม. กว้าง 4.5ซม. มีรูปดวงตาอยู่ตรงกลางแผ่นหิน มีอักษรโบราณเขาไม่รีรอที่อ่านมัน “ดวงตาสีเพลิง” เมื่อสิ้นเสียงอ่าน แสงนั้นได้หายไป เหลือเพียงก้อนหินสีดำที่มีรูปดวงตาเเกะสลักไว้อยู่บนฝ่ามือเขา
เจมส์วิ่งมาทางเขา “ศาสตราจารย์ เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
ศาสตราจารย์ตกใจเล็กน้อยวางมือที่ถือแผ่นหินนั้นข้างตัว “ไม่เป็นไร แค่เจ็บขานิดหน่อย”
เจมส์พูดพร้อมกับมองไปรอบ “ที่นี่แปลก มีอยู่ในแผ่นที่เหรอครับ”
ศาสตราจารย์พูด “เจมส์ ช่วยบอกทุกคนเราจะสำรวจถ้ำนี้ก่อน ถ้ำไม่กว้างเท่าไรมีช่องเล็ก ๆ สองช่องที่เราต้องสำรวจ”
เจมส์รับคำทันที “ครับ” แล้วเดินไปบอกทีมงานทุกคน
ศาสตราจารย์ได้เก็บแผ่นหินนี้ไว้ในกระเป๋ากางเกงของเขา
พวกเขาสำรวจถ้ำอยู่ 4 วัน
วสันต์พูด “เจมส์ วันนี้เราจะสำรวจช่องทางใหม่นะ 3 วันมานี้ช่องแรกที่เราเข้าไปไม่พบอะไรเลย”
เจมส์พูด “เดี๋ยวช่องนี้ฉันจะเข้าไปก่อนนายเตรียมอุปกรณ์ตามมาแล้วกัน”
ช่องทางเข้าใหญ่พอสมควร ทำให้ทุกคนเดินเข้าไปได้อย่างสะบายพร้อมกับอุปกรณ์ เมื่อเจมส์เดินเข้าไปก่อน ศาสตราจารย์ก็เดินตามเป็นคนต่อไป จะมีคนได้เข้าไปเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น ที่เหลือก็จัดแจงทำอาหารกลางวัน บ้างก็สำรวจหิน ดิน ที่อยู่ในถ้ำ
เวลาผ่านไปสองวัน กลุ่มของเจมส์ขุดเจอบางอย่างเข้า แผ่นหินขนาดใหญ่มีอักษรโบราณ เขียนไว้มากมาย ทุกคนตื่นเต้นกันมาก
เจมส์พูด “เราเจอแล้วครับ ศาสตราจารย์”
คิมยืนมองแผ่นหินนั้น ในใจก็คิดว่า มีอักษรโบราณเหมือนกับแผ่นหินที่เขาเจอ แต่อ่านไม่ออกทำไม และแผ่นหินนี้ก็ใหญ่พอสมควร
เจมส์จับแขนศาสตราจารย์เขย่าเล็กน้อย “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
คิมตกใจแต่ก็ดึงสติกลับมาได้เร็ว “เปล่าแค่สงสัยเราจะเอามันออกได้ยังไง”
เจมส์เสริมขึ้นมาทันที “จริงด้วย”
ศาสตราจารย์พูด “เจมส์ถ่ายรูปหินนี้ให้ผมแล้วส่งเข้ามือถือผมด้วย คงต้องส่งให้ผู้จ้างดูว่ามันคือสิ่งที่เขาค้นหาหรือเปล่า”
เจมส์พยักหน้าเล็กน้อย “ครับ”
เมื่อข่าวการพบหินโบราณได้กระจายออกไปถึงเหล่าผู้ร่วมทีม ทุกคนต่างดีใจและตื่นเต้น ทุกคนที่เดินทางไปยังเทือกเขา ได้เดินทางกลับมาที่ฐานพักที่ 2 ซึ่งอยู่ห่างจากที่พบหินไม่ไกล เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อคิมส่งรูปให้คนจ้างดู
ปลายทางคือผู้ว่าจ้าง ศาสตราจารย์รับโทรศัพท์ทันที “สวัสดีครับ”
เสียงปลายทางพูดขึ้น “พวกคุณกลับบ้านได้เดียวส่วนที่เหลือผมจะส่งทีมของผมจัดการเอง งานพวกคุณเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“แต่....ผ..ผม..ว่า” ศาสตราจารย์ไม่ทันได้พูดอะไร เสียงปลายสายก็สวนกลับมา “เงินเข้าบัญชีของทุกคนแล้ว ทุกคนกลับบ้านได้ ผมได้สั่งให้คนไปรับพวกคุณแล้ว”
แล้วเสียงปลายสายก็ตัดไป ศาสตราจารย์ไม่ทันได้พูดอะไร เขายืนอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แม้จะรู้สึกงงกับคำสั่งมากแค่ไหน แต่เขาก็ประกาศให้ทุกคนรู้ ทีมงานต่างดีใจที่จะได้กลับบ้าน ไม่ได้สนใจแผ่นหินนั้นเลย แต่ต่างกับศาสตราจารย์ที่ครุ่นคิดถึงแต่มัน
เมื่อพวกเขากลับแคมป์พักที่แรกได้เพียง 1 วัน ก็ได้มีเหล่าคนแปลกหน้ามาปิดล้อมทางเข้าที่พวกเขาใช้เป็นเส้นทางสำรวจทั้งหมด พวกเหล่านักสำรวจ เจ้าหน้าที่ ทุกคนถูกสั่งให้กลับบ้าน โดยมีคนแปลกหน้าหลายคนพาพวกเขาเดินไปที่รถ มีรถจอดรออยู่ 3 คัน แต่มีเก๋งคันหนึ่ง จอดห่างจากคันอื่น
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาศาสตราจารย์แล้วพูด “นายท่านอยากพบคุณ”
ศาสตราจารย์อึ้งไป “ผมเหรอ” แล้วประตูรถก็เปิดโดยไม่อธิบายอะไร
“เชิญครับ” เขาจำใจต้องเดินขึ้นรถไป
เสียงเรียกดังก้อง “ศาสตราจารย์ รอผมด้วย” เจมส์วิ่งตามรถมา แต่ก็ไม่ทัน “ทำไมรถไปเร็วจังวะ” เขาเดินกลับมาที่กลุ่มเพื่อนๆ ที่กำลังขึ้นรถ “เออ..วสันต์เดียวฉันมานะ”
วสันต์พูด “จะไปไหนรถจะออกอยู่แล้ว”
เจมส์พูด “นายขึ้นไปก่อนเลย จะไปแบบ...”
วสันต์มองท่าทีของเจมส์ที่กำลังบิดตัวไปมา “เร็ว ๆ ละ”
เจมส์วิ่งออกจากกลุ่ม ไปยังพุ่มไม้ที่มีน้ำแข็งปกคลุมสูงท่วมหัวเขาไม่ห่างจากกลุ่มเพื่อนสักเท่าไร เขาปล่อยน้ำไสออกจากตัว ซึ่งในขนาดนั้นทุกคนได้ขึ้นรถที่จอดรออยู่ 2 คัน สามารถจุคนได้ 20 คนเห็นจะได้ เจมส์ยังคงยืนปล่อยของเหลวอย่างสบายใจ แต่แล้วได้มีชาย 2 คนเดินผ่านมาทางพุ่มไม้
พวกเขาคุยกันว่า “นายเตรียมจัดฉากการตายของคนเหล่านั้นไว้อย่างไร”
เพื่อนอีกคนพูดขึ้น “รอบนี้เหรอ อยากเห็นพวกมนุษย์ดิ้นทุรนทุรายวะ” แล้วก็หัวเราะกัน
เจมส์ซึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเขาได้ยินสองคนนั้นพูด มันทำให้เขานึกถึงคำพูดของเจ้าของร้านในเมืองขึ้นมาทันที “ไม่เคยมีใครได้กลับมา” เขานั่งพิงกับหิมะ แล้วหยิบโทรศัพท์เพื่อจะโทรหาวสันต์ เสียงโทรศัพท์ปลายสายดังขึ้น “นายอยู่ไหนนี้ รถกำลังจะออกแล้วนะ”
เจมส์พูดแบบกระซิบ “นี่นายฟังฉันนะ ให้ทุกคนลงจากรถเดียวนี้ พวกเขาจะ...” ไม่ทันพูดจบ เสียงกรีดร้องในรถก็ดังขึ้น
วสันต์ตกใจ “เกิดอะไรขึ้น ควันอะไร”
เจมส์ตกใจ “วสันต์ นาย..”
วสันต์ร้องเรียกให้เจมส์ช่วย “เจมส์ช่วยด้วย มีควันพิษในรถ หายใจไม่ออก”
แล้วเสียงก็เงียบลงแค่ไม่กี่นาทีทุกคนในรถตายกันหมด แต่เจมส์ยังไม่ได้วางสาย เขายังคงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เสียงในสายพูด “ดูมีใครรอดบ้าง อยู่กันครบมั้ย”
ชายเสียงทุ้มพูดขึ้น “หายไปคนหนึ่ง”
เจมส์รีบตัดสายทันที เพราะเขารู้ดีว่าไม่มีทางที่คนกลุ่มนั้นจะไม่ออกตามล่าเขา เสียงฝีเท้ามุ่งหน้าไปทางเต็นท์ที่พัก ทุกคนช่วยกันค้นหา ในมือมีอาวุธพร้อมจะจัดการเขาทันที เจมส์มองหาทางรอด เขาเห็นรถที่มีสัมภาระอยู่ เขาค่อย ๆ ย่องไปที่รถคันใหญ่ที่ไม่มีคนเฝ้า แอบขึ้นไปหลังรถที่เต็มไปด้วยข้าวของเสื้อผ้า ซึ่งเป็นที่หลบซ่อนได้ดีเลย
เมื่อทุกคนกลับมา “พบหรือไม่” ทุกคนส่ายหน้า
ชายหนุ่มพูดขึ้น พร้อมกับส่งเสียงออกมาดังกึกก้องไปรอบ ๆ แล้วแผ่นดินก็สั่นสะเทือน เสียงก้องยังคงดังอยู่ “ไปเถอะเดียวหิมะก็ถล่มฝั่งทุกอย่างไว้ใต้น้ำแข็ง มนุษย์ธรรมดาจะรอดยังไง”
แล้วทุกคนก็ขับรถออกไป ทิ้งรถที่มีศพเพื่อนของเจมส์ไว้อย่างนั้น เมื่อทุกอย่างเงียบไร้ผู้คน เจมส์ได้เดินออกจากที่ซ้อน ลงจากรถ วิ่งไปที่รถของเพื่อน เขายืนมองเพื่อน ๆ ที่ตาย เขาร้องไห้ แต่เขารู้ดีว่าภูเขาแห่งนี้กำลังจะถล่ม เขากลับไปที่รถสัมภาระ รีบขับรถออกมาทันที แต่ดูเหมือนละอองหิมะและเสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ จากยอดเขา หิมะถล่มกำลังจะทับทุกอย่าง ให้จมหายไป เขาเหยียบคันเร่งสุดกำลัง หลบหลีกต้นไม้ที่หิมะปกคลุม แต่ดูเหมือนหิมะกำลังไล่หลังเขามาทุกที
“เร็วเข้าลูกพ่อ..” แววตามุ่งมั่น “ฉันจะไม่ยอมตายที่นี่แน่นอน”
และแล้วหิมะก็ไล่ตามเขาทัน......