บทที่ 14
ตอน ร้องไห้ทำไม
ทางด้านลู่เหลียนเดินกลับเข้าจวนมา นางคอยมองดูว่าองค์ชายสี่กลับมาหรือยัง พ่อบ้านวิ่งออกมาหานางด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“พระชายา ท่านหายไปไหนมา หม่อนฉันหาพระชายาไปทั่ว”
“ขอโทษท่านพ่อบ้าน ข้าออกไปซื้อของมานะ”
“จะไปไหน ทำไมไม่บอก”เขาเดินออกมาจากห้องทำงาน ลู่เหลียนส่งของให้หว่านเอ่อร์ถือ เธอเอามือที่เลือดไหลเก็บไว้ข้างหลังก่อนจะเดินไปหาเขา
“ท่านรู้หรือไม่หม่อนฉันเจอใครด้วยที่ตลาด”
เขามีสีหน้าที่เคร่งขรึมจ้องมองเธอ
“องค์ชายสาม”
“ท่านรู้ได้ไง”
“ก็ข้ากับเขานัดเจอกันที่จวนตอนยามอุ้ย”(บ่าย)
“ยามอุ้ยคืออะไรหรือ”ลู่เหลียนหันไปถามหว่านเอ่อร์
เธอไม่ตอบมองขึ้นบนท้องฟ้า ลู่เหลียนมองตาม
“ออ...เข้าใจแล้ว ยามบ่ายนี่เอง”
เขาเดินเข้ามาหานาง มองดูเสื้อผ้านางที่ดูเลอะสกปรกไปหมด “เจ้าไปทำอะไร ทำไมเนื้อตัวถึงดูไม่ได้แบบนี้”
“อย่างนั้นหม่อมฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”
“เดี๋ยว” เขาจับแขนที่เธอแอบไว้ข้างหลัง เขาเห็นเลือดออกเลอะผ้าจนชุ่มสีแดงฉาน
“เกิดอะไรหว่านเอ่อร์”เสียงเขาแข็งและดุดันขึ้นมาทันที
หว่านเอ่อร์ไม่ทันได้ตอบ ก็มีเสียงพูดแทรกขึ้นมา
“พี่ให้คำตอบเจ้าได้นะ......นำตัวเข้ามา” องครักษ์ทั้งสองและทหารจำนวนหนึ่งจับชายทั้งห้าและต้าติง ทั้งหมดนั่งคุกเข้าร้องขอความเมตตา
“เมื่อข้าแยกกับเจ้าที่วัง ก็กะว่าจะเดินเที่ยวดูความเป็นอยู่ของประชาชนหน่อยก่อนจะมาคุยธุระกับเจ้า แต่กลับกลายเจอพระชายากับหว่านเอ่อร์กำลังต่อสู้อยู่กับชายพวกนี้”
องค์ชายสามเล่าเหตุการณ์สาเหตุทุกอย่างให้องค์ชายสี่ฟังจนหมด
“แต่ที่ข้าแปลกใจก็คือลู่เหลียน ตระกูลหวังของเจ้าไม่ว่าเด็กเล็กหรือแม้แต่หญิง คนชรา ไม่เว้นสาวใช้ทุกคนล้วนเป็นวรยุทธแต่ทำไมเจ้าถึงไม่มีวรยุทธ”
ลู่เหลียนเงียบ เธอดึงมือออกจากองค์ชายสี่ เขาหันมองเธอทันทีเขาเองไม่เคยรู้เลยว่าเธอไม่มีวรยุทธ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลหวังทุกคนต้องเป็นวรยุทธนี่คือกฎของที่นั้น ยิ่งลูกอดีตหัวหน้าหน่วยใหมทองแล้วเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่มีวรยุทธ ใคร ๆ ก็รู้คุณหนูเล็กวรยุทธเก่งกาจแค่ไหน
“เรียนองค์ชายทั้งสอง ก่อนหน้านี้พระชายามีฝีมือไม่แพ้ผู้ใด แต่เมื่อหลายเดือนก่อน นางได้รับมอบหมายให้ไปรับสินค้าที่ด้านหน้าเมืองทางตอนเหนือ ตอนกลับถูกกลุ่มโจรซุ่มดักปล้นสินค้า ได้เกิดการต่อสู้ จนทำให้พระชายาตกหน้าผา เมื่อคุณหนูตื่นขึ้นมากลับจำอะไรไม่ได้เลยแถมลืมวรยุทธจนสิ้น”
“อย่างนี้นี่เอง เป็นคล้ายกับเจ้าเลยน้องรอง”
องค์ชายสี่ยืนเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่มองหน้าเธอเขาเริ่มแปลกใจ “น้องรอง เจ้าจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้”
“เสด็จพี่คิดว่าไง”
“เจ้าถามข้า แต่ข้าอยากให้เจ้าตัดสินเอง”
“สั่งประหารให้หมดดีหรือไม่”
ทั้งหกร้องไห้โขกหัวกับพื้นขอชีวิตอย่างหน้าเวทนา
“องค์ชายสี่ อย่าประหารพวกเขาเลย แค่สั่งปิดหอนางโลมก็พอ”
“ถ้าปิดหอนางโลมเด็ก ๆที่ทำงานอยู่ที่นั้นจะใช้ชีวิตกันอย่างไร พวกเขาไม่มีที่ไป ไม่มีบ้าน ถ้าจะลงโทษลงโทษข้าคนเดียวก็พออย่าต้องทำให้พวกนางต้องเดือดร้อนเลย” ต้าติงพูด
“เจ้ายังมีหัวใจที่รักพวกฟ้องอยู่”องค์ชายสามพูด
“แล้วแต่เจ้าเถอะ จะตัดสินอย่างไร” องค์ชายสี่มองหน้าลู่เหลียน
นางคิดแล้วยิ้ม “ข้าจะให้พวกเจ้าช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจนโดยการนำอาหารไปมอบให้พวกเขาทุก ๆ เจ็ดวันเป็นเวลา หกเดือนในเมืองแห่งนี้ พวกเจ้าจะยอมรับโทษนี้หรือไม่”
“รับค่ะ พวกเรารับจะทำให้ดีที่สุด ไม่ให้ตกหล่นสักวันเลย”
“ออ...และที่สำคัญพวกเจ้าห้ามขืนใจหญิงสาวใดที่ไม่ยินยอมเป็นอันขาด เพราะโทษประหารยังมีที่ว่างอีกเยอะสำรับคนอย่างพวกเจ้า”
“เพค่ะ เพค่ะ พวกเราจะจำใส่หัวไว้”
“พาตัวพวกมันออกไปๆ”องค์ชายสามพูดขึ้น
เมื่อทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ลู่เหลียนขอตัวกลับห้อง แม้องค์ชายสี่ยังมีเรื่องคาใจแต่ตอนนี้เขาต้องคุยธุระกับเสด็จพี่ก่อน เวลาผ่านไปก็เย็นมากแล้วองค์ชายสามเมื่อคุยธุระเสร็จก็ขอตัวกลับ
“แล้วเจอกันที่วัง พี่ว่าไม่นานเสด็จคงส่งตัวพวกเราไปแน่นอน”
“น้อมส่งเสด็จพี่”
เมื่อองค์ชายสามกลับ เขาไม่รีรอรีบเดินไปหาลู่เหลียนที่ห้องทันที
ที่ห้องนอนขององค์ชายสี่
“คุณหนูแผลนี้เกิดขึ้นจากอะไรหรือคะ” หว่านเอ่อร์ยืนทำความสะอาดแผล
“เกิดขึ้น”ลู่เหลียนอมยิ้ม
“เกิดขึ้นเพราะ”หว่านเอ่อร์ย่ำคำรอฟังคำตอบ องค์ชายสี่ก็ยืนฟังอยู่ว่าเธอจะตอบอย่างไร
“อยากรู้หรือ มานี่” เธอกระซิบข้างหูหว่านเอ่อร์
“จริงเหรอคะ”
“จริง ห้ามบอกใครนะ”
“ค่ะ หว่านเอ่อร์จะเก็บไว้เป็นความลับ”
“ดีมากหว่านเอ่อร์ ข้าหิวแล้ว ไม่รู้องค์ชายสี่คุยธุระเสร็จหรือยัง”
“หน้าจะเสร็จแล้วค่ะ”
แล้วเสียงประตูก็เปิดออก องค์ชายสี่เดินเข้ามาในห้อง
หว่านเอ่อร์ตกใจ เธอขอตัวออกจากห้องแต่ว่าองค์ชายสี่มีเรื่องจะถามเธอจึงรั้งเธอไว้
“ช้าก่อนหว่านเอ่อร์ ข้าอยากจะถามเจ้า คุณหนูของเจ้าจำได้มากน้อยแค่ไหน”
หว่านเอ่อร์มองหน้าเธอ ลู่เหลียนพูด “เจ้าออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าบอกเอง”
หว่านเอ่อร์รู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูกจะเดินไปทางไหน เธอมองหน้าองค์ชายแล้วก้มหน้าลง อยากจะออกจากจุดนี้เต็มทีแล้วแต่ก็ไม่กล้า
“เราจะทานอาหารที่นี่”เขาพูดกับหว่านเอ่อร์
“เพค่ะ” เมื่อเธอพูดเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที
ลู่เหลียนมองหน้าเขา เธอลุกขึ้นแล้วจับมือเขาทำสายตาอ้อน ๆ เพราะรู้ดีว่าตัวเองมีความผิดติดตัวอยู่ในเวลานี้
“ท่านยังไม่หายโกรธอีกหรือ ก็ใครบอกให้หม่อมฉันหาหนังสือละ”
“แล้วได้ไม่หนังสือ เท่าที่เห็นสิ่งที่เจ้าได้มาคือกำลังทำให้ตัวเองเจ็บตัว”
“หนังสือไม่ได้เพราะหม่อมฉันต้องเขียนมันขึ้นมาเอง และต้องการกระดาษหมึกสี พู่กันเขียน”
“จวนข้าไม่มีอย่างนั้นหรือ หรือไม่เจ้าก็สั่งให้ใครออกไปซื้อมาให้ก็ได้”
เธอถอนหายใจ “เอาจริง ๆ นะ ก็แค่เบื่อนะ อยากออกไปเที่ยวก็เท่านั้น” เธอมีสีหน้าที่เศร้า
เสียงเคาประตูดังขึ้น เหมือนหว่านเอ่อร์จะรู้ว่าเธอกำลังจะถูกดุ นางพาสาวใช้ยกอาหารมาที่ห้องทันเวลาพอดี เมื่ออาหารวางเสร็จ ทุกคนออกจากห้องไปทันที
ลู่เหลียนรีบมานั่ง “นั่งซิ หม่อมฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว ต้องเพิ่มพลังหน่อยคืนนี้จะได้มีแรง”
องค์ชายถอนหายใจ เขานั่งมองเธอ แล้วทั้งสองก็ท่านอาหารด้วยกันอย่างเงียบ ๆ เมื่อทานอาหารเสร็จ องค์ชายลุกออกจากห้อง
“ท่านจะไปไหน”
“อาบน้ำ” แล้วประตูห้องก็ปิด
เวลาผ่านไป ทุกอย่างในจวนกำลังเข้าหมวดความเงียบอีกครั้ง ลู่เหลียนคิดขึ้นได้ เธอรีบวิ่งออกจากห้องไปที่ห้องอาบน้ำ เธอมองเห็นองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าห้อง ทั้งสองก้มหน้า ลู่เหลียนมองหน้าทั้งคู่ด้วยความโกรธ
“หลีกไป”
“แต่ องค์ชายบอกว่า ท่านจะออกมาเอง”
“ถ้าข้าจะเข้า พวกเจ้าจะขวางอย่างไร จับข้าลากกลับห้องอย่างนั้นหรือ”
“พวกเราไม่กล้า”
“ถ้าไม่ทำก็ถอยไป” เธอผลักพวกเขาออกแล้วเปิดประตูเข้าห้องไปทันที
องค์ชายกำลังแช่น้ำด้วยความเจ็บปวดร่างกายเขาค่อย ๆเปลี่ยนแปลงที่ละนิด เนื้อตัวเขาหนาวสั่น
“องค์ชาย ท่านจะบ้าหรือไง แช่น้ำเย็นแบบนี้เดี๋ยวก็หนาวตายพอดี”ลู่เหลียนมองหาเสื้อคลุม เธอนำเสื้อคลุมมาห่มเขาไว้ก่อนจะพยายามยกตัวเขาขึ้นจากน้ำ
“เจ้าเข้ามาได้ไง”
เธอไม่ตอบพยุงร่างเขาขึ้นจากน้ำ ตัวเขาหนาวสั้น ลู่เหลียนก้มหน้า เธอเงียบไม่พูดอะไร เธอรีบใส่เสื้อผ้าให้เขา แต่ยังคงก้มหน้า เขาแปลกใจทำไมเธอถึงเงียบไป
“กลับห้องเถอะ”เธอพูดแล้วก็หันหลังให้ กำลังจะเดินออกจากห้องไป แต่เขาได้คว้าแขนของเธอดึงเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน ลู่เหลียนสัมผัสได้ถึงความเย็นในตัวเขา เธอน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เป็นอะไร”
เธอส่ายหน้าก้มหน้าลง เขายิ้ม จับหน้าเธอขึ้นมา น้ำตาที่ไหล่อาบแก้มมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด
“เจ้าร้องไห้ทำไม”
“ไม่รู้ซิ เห็นท่านแบบนี้แล้วมันทำให้หม่อนฉันคิดว่า ตลอดเวลาที่ท่านต้องอยู่ที่จวนคนเดียว ท่านต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเพียงลำพัง ท่านผ่านมันไปได้อย่างไร”
เขายิ้ม “แต่ตอนนี้ข้ามีเจ้า”
“มีหม่อมฉันเหรอ” เธอสีหน้าเปลี่ยนทันทีผลักเขาออก จนทำให้เขาที่ยังคงเจ็บปวดอยู่นั้นล้มกระแทกกับขอบอ่างน้ำ “โอ๊ย” เธอหันมองด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ทำใจแข็งไม่สนต่อเสียงเจ็บปวดนั้น
“ถ้าท่านมีหม่อมฉันจริง ๆ ทำไมต้องมาแอบทุก์ทรมานเพียงลำพังเพค่ะ”
เขายิ้มแล้วพยุงตัวยืนขึ้น“เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าเห็นเวลาที่เลวร้ายของข้า ไม่อยากให้เจ้าต้องสงสาร”
เธอเดินเข้าไปกอดเขา องค์ชายมองเธอ เขากอดตอบด้วยความสุข “แม้ตอนนี้ข้าเจ็บแต่ก็มีความสุขมากกว่าทุกครั้ง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร”
“อย่าทำให้หม่อมฉันต้องเป็นห่วงซิ”
“คำนี้ข้าต้องเป็นคนพูดมากกว่า”
องค์ชายอุ้มร่างของเธอขึ้นเดินออกจากห้อง
“องค์ชายท่านไม่เจ็บแล้วหรือ”
“ไม่แล้ว”
“หม่อมฉันเดินเองได้”
“ก็ข้าไม่ให้เดิน ลงโทษที่เจ้าออกจากจวนโดยไม่บอก”
“ยังจำได้อีก”
“ข้ายังอยากจะรู้เรื่องของเจ้าอีก”
“แต่หม่อมฉันไม่พร้อมที่จะบอก”
“เอาเถอะ เมื่อเจ้าพร้อมข้าก็จะรอฟัง”
แล้วเขาก็พานางกลับห้อง วางร่างธอลงบนเตียงโดยมีเขาอยู่บนร่างอันบอบบางนั้น หน้าทั้งสองห่างกันแค่คืบ เขาจับมือเธอข้างที่เจ็บขึ้นมา รอบนี้เขาไม่ได้กัดเธอ ใช่ริมฝีปากดูดเลือดที่แขนของเธอเบา ๆ ดูดมันจนคำสาปถูกถอน นั้นก็คือแผลพุพองที่ตัวได้หายไป ใบหน้าเขาตอนนี้ไร้รอยแผลจนหมดสิ้น ลู่เหลียนเอามือจับใบหน้าของเขา เธอยิ้ม เขาจ้องหน้าเธอ สายตาที่มองด้วยความห่วงหา ลู่เหลียนยิ้ม นางเริ่มรู้สึกหน้าแดงและเขินอาย แล้วเธอก็นึกขึ้นได้
“องค์ชาย คืนนี้ท่านนอนก่อนได้หรือไม่”
“ทำไมเหรอ เจ้าจะไปที่ใด”
“หม่อมฉันต้องเขียนเรื่องสยดสยองให้ฝ่าบาทนะซิ ตอนนี้คิดได้แล้ว เขียนเรื่องของท่าน”
“นี่เจ้า”
“รับรองฝ่าบาทไม่รู้หรอก แต่ตอนนี้ท่านลุกออกจากตัวข้าก่อนได้ไม่”
เขาได้สติคิดได้ จึงรีบลุกออกจากนาง แล้วนางก็รีบลุกวิ่งออกจากห้องโดยทิ้งท้ายไว้ว่า “ท่านต้องนอนใส่เสื้อผ้าไม่นั้นเดี๋ยวเป็นหวัด”
องค์ชายนั่งยิ้มเขาจับหัวใจของตัวเองแล้วยิ้ม
ที่ห้องของหว่านเอ่อร์
นางนั่งเขียนตามที่ลู่เหลียนบอกทุกคำ ด้านนอกองค์ชายได้แอบยืนฟังทุกอย่างอยู่เช่นกัน เขาคิด ลืมทุกอย่างกระทังการเขียนซินะ
“คุณหนู ใกล้จบหรือยังคะ ข้าง่วงอยากนอนจะแย่อยู่แล้ว เรื่องอะไรค่ะนี่ หน้ากลัวจัง คืนนี้ข้าจะไม่ฝันร้ายหรือ”
“อย่าบ่นเขียนต่อไป”
องค์ชายยิ้มแล้วเขาก็กลับห้อง เวลาผ่านไปหว่านเอ่อร์เขียนต่อไปไม่ไหว เธอหลับลงทับกระดาษ ลู่เหลียนจึงปลุกนางให้ไปนอนแล้วเก็บนิยายที่เขียนไว้ เธอเดินกลับเข้าห้องนอน องค์ชายคงนอนอยู่บนเตียง เธอเดินเข้ามาใกล้ ๆ เขา แต่ดูเหมือนสีหน้าของเขาตอนนี้ คิ้วขมวด เหงื่อออก หายใจถี่
“กำลังฝันร้ายอยู่ซินะ” เธอนั่งลงข้าง ๆ เขา แล้วร้องเพลงของเฮนรี่ที่เธอชอบ เป็นภาษาจีน ให้เขาฟัง ผ่านไปสักพัก อาการกระสับกระส่ายก็หายไป
เขาบ่นขึ้นมาทั้งที่ยังหลับอยู่ “หยกพี่ขอโทษ”
ลู่เหลียนเมื่อได้ยินอย่างนั้นเธอก็ยิ่งมั่นใจ เธอคิด....ฉันแต่งงานกับเฮนรี่จริง ๆ ใช่มั้ย
“เฮนรี่ นายคือเฮนรี่ ในความฝันนายยังได้เจอครอบครัว แต่ฉันกลับว่างเปล่า”
แล้วเธอก็ล้มตัวลงนอนข้าง ๆ เขา คืนนั้นลู่เหลียนนอนหลับกอดเขาตลอดทั้งคืน จนรุ่งเช้าวันใหม่