Your Wishlist

สุ่ยเหม่ยชิง ยาใจอาหาน ภาค 断翅鸟的愿 (1:มื้อเช้าที่เรือนมารดา)

Author: เมิ่งลี่มาวหู

หนึ่งดอกซานฉาก่อเกิดชะตา สองความปรารถนาเรียงร้อยเป็นบุพเพนำพาสองบุคคลพบพาน ทยอยอัปค่ะ

จำนวนตอน : 55

1:มื้อเช้าที่เรือนมารดา

  • 20/11/2565

 

1

มื้อเช้าที่เรือนมารดา

 

“คารวะคุณหนูรองเจ้าค่ะ” ทันทีที่เห็นร่างเพรียวระหงของสุ่ยเหม่ยชิงเดินเข้ามาในเรือนหลี่ฟู่ สาวใช้สองนางที่กำลังเช็ดทำความสะอาดเครื่องเรือนอยู่บริเวณนั้นก็ตรงเข้ามาทำความเคารพอย่างนอบน้อม

นางพยักหน้ารับแล้วส่งยิ้มบางเบาให้ทั้งคู่ ก่อนจะเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่มีกลิ่นหอมของดอกเหมยกุ้ยกระจายฟุ้งไปทั่ว

“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” สุ่ยเหม่ยชิงกล่าวทักทายพร้อมกับทำความเคารพเจ้าของใบหน้างามหมดจดที่นั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาว

‘สุ่ยเหม่ยฮว๋า’ หรือสุ่ยฟูเหรินพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้บุตรีคนโต ถึงนางจะย่างเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่ก็ยังมีหน้าตาผิวพรรณที่ดูอ่อนกว่าวัย และเป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าอี๋เหนียง[1]ทุกคน

“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” พลันก็มีเสียงใสๆ ดังขึ้น ก่อนจะปรากฏร่างเล็กของดรุณีน้อยในอาภรณ์สีชมพูเดินเข้ามาพร้อมกับความสดใสร่าเริงที่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศรอบๆ ให้มีชีวิตชีวามากขึ้น 

หลังจากทำความเคารพผู้เป็นมารดาแล้ว ‘สุ่ยเหม่ยหนิง’ ก็หันมาหาสุ่ยเหม่ยชิง แล้วเอ่ยกับพี่สาวด้วยรอยยิ้ม 

“คารวะท่านพี่เจ้าค่ะ” รอยบุ๋มเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นมาตรงมุมปากทั้ง 2 ข้างช่วยเพิ่มความน่ารักน่าเอ็นดูให้แก่ผู้พูดไม่น้อย

“อรุณสวัสดิ์จ้ะหนิงเอ๋อร์” สุ่ยเหม่ยชิงตอบ พลางส่งยิ้มบางๆ กลับ

“คารวะคุณหนูรองกับคุณหนูเล็กเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่อยู่รอรับคำสั่งของสุ่ยฟูเหรินเอ่ยก่อนจะทำความเคารพทั้งคู่

“ในเมื่อมากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วก็ไปกินข้าวกันเถอะ” สุ่ยฟูเหรินพูดพลางเดินนำบุตรสาวเข้าไปในห้องกินข้าวที่มีชามกระเบื้อง 3 ใบวางอยู่ตรงที่นั่งของแต่ละคน และจานอาหารอีก 2 อย่างซึ่งล้วนมีฝาปิดทั้งสิ้น โดยมีสาวใช้ตามมาคอยอำนวยความสะดวก 

ซึ่งในยามปกติก็จะมีสุ่ยเฉินซวนกับ ‘สุ่ยฝูเฉิน’ บุตรชายคนรองมานั่งร่วมโต๊ะด้วย เพียงแต่ตอนนี้ทั้งคู่ไปส่งของอยู่เมืองอื่น

นอกจากนี้เรือนหลี่ฟู่ยังเป็นที่ที่อี๋เหนียงกับบุตรของพวกนางต้องมาทำความเคารพสุ่ยฟูเหรินในยามเช้าก่อนไปทำกิจธุระของตน จึงกล่าวได้ว่าเรือนของสุ่ยเหม่ยฮว๋ามีความสำคัญมากกว่าเรือนฝูสุ่ยที่เป็นห้องรับแขกกับพื้นที่ส่วนตัวของสุ่ยเฉินซวน ผู้เป็นประมุขของสกุลเสียอีก!

“จะกินแล้วนะเจ้าคะ!” สุ่ยเหม่ยหนิงเอ่ยกับมารดาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงร่าเริงหลังจากที่เปิดฝาออกแล้วเห็นอาหารในชาม

“ตามสบายเลยลูก” สุ่ยฟูเหรินตอบ ก่อนจะยิ้มให้คู่สนทนา 

“โจ๊กจวี๋ฮวา[2]!!” ร่างเล็กกล่าวพร้อมกับแววตาที่เปล่งประกายเมื่อเห็นข้าวต้มข้นสีทองอร่ามที่ถูกต้มจนเละ และโรยหน้าด้วยพุทราแห้งในชามของตน ก่อนจะตาลุกวาวยิ่งกว่าเดิมเมื่อสาวใช้เปิดฝาภาชนะที่เหลือออก ซึ่งมีหมูแดงกับแป้งทอดที่ถูกจับไขว้กันเป็นคู่

“หมูแดง!” พอพูดจบ มือน้อยๆ ก็ยื่นตะเกียบไปคีบของโปรดใส่ปากตนเองทันที โดยมีสุ่ยเหม่ยชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ มองอีกฝ่ายอย่างชื่นชม

ปีนี้น้องสาวที่นางรักรองจากบิดามารดาอายุ 15 หนาว มีใบหน้าเกลี้ยงเกลารูปไข่และผิวขาวอมชมพูเปล่งปลั่ง สันจมูกโด่งรั้น  รับกับคิ้วโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาดอกเถา[3]สีน้ำตาลเข้มที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นมารดานั้นเต็มไปด้วยประกาย

ท่าทางเมื่อครู่ยามที่เอื้อนเอ่ยวาจาด้วยริมฝีปากเล็กดั่งกลีบเหมยกุ้ยที่น่าทะนุถนอม ช่างเป็นภาพที่งดงามนัก 

เกรงว่าหากสุ่ยเหม่ยหนิงไปปรากฏตัวในพิธีปักปิ่น คงได้เกิดศึกชิงนางแน่แท้!

คิดพลางใช้ช้อนตักโจวสีเหลืองอร่ามในถ้วยขึ้นมาเป่าเพื่อให้คลายความร้อนโดยที่ไม่ให้มีเสียง จากนั้นก็คีบหมูแดงมากิน ความจริงนางไม่ใคร่ชอบสักเท่าไร ยิ่งเป็นหมูแดงที่มีน้ำหวานๆ ราดอยู่ข้างบน แต่ก็ไม่มีปัญหาหากจำเป็นต้องกินมัน

นอกจากสุ่ยเหม่ยหนิงแล้ว สุ่ยเหม่ยชิงยังมีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีกสองคนคือ 

‘สุ่ยเฉิงเหวิน’ พี่ชาย วัย 25 หนาว นางไม่ค่อยได้เห็นเขาได้ทำงานใหญ่สักเท่าไร เคยเข้าร่วมสอบเคอจวี่[4]ก็ไม่ผ่านแม้แต่รอบซิ่วไฉ แต่ไม่มีใครไปเคี่ยวเข็ญอะไร คงเพราะเป็นบุตรชายคนโตของสกุล  

โดยเมื่อหกปีก่อนเขาก็ได้แต่งงานกับบุตรีสกุลอี้ เจ้าของโรงเตี๊ยมรายใหญ่ของเมืองอิ๋นเฉิน แล้วย้ายไปอยู่กับนางที่จวนเล็กนอกเมืองซึ่งสุ่ยเฉินซวนมอบให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน นานๆ ทีอีกฝ่ายถึงจะพาฟูเหรินเอกกับบุตรชายวัยห้าหนาวกลับมาคารวะบิดามารดา

และสุ่ยฝูเฉิน น้องชายผู้เป็นบุตรชายคนเล็กคนปัจจุบันของสกุล แม้พยางค์ท้ายจะมีนามพ้องกับเชื้อพระวงศ์ แต่ในแคว้นจ๋าลู่นั้น การที่มีชื่อพ้องกับเชื้อพระวงศ์และจักรพรรดิหาใช่เรื่องผิดอันใด

ยกเว้นหากชื่อออกเสียงเหมือนกันทั้ง 2 พยางค์ไม่ว่าจะใช้อักษรตัวเดียวกันหรือไม่ คนผู้นั้นก็ต้องทำการเปลี่ยนเป็นนามอื่น

เขาเป็นคนที่หัวไวเก่งกาจเลยถูกประมุขสกุลสุ่ยวางตัวไว้ให้เป็นผู้สืบทอดกิจการค้าผ้าของสกุล ทว่าตอนนี้ยังอายุแค่ 16 หนาว จึงอยู่ในขั้นตอนเรียนรู้พร้อมกับติดตามบิดาไปเจรจาธุรกิจและส่งของตามที่ต่างๆ

บรรยากาศในมื้อเช้าดำเนินไปอย่างราบเรียบไร้ซึ่งบทสนทนาใด ตามแบบฉบับที่สุ่ยฟูเหรินต้องการ เพราะการพูดคุยกันขณะที่มีอาหารอยู่ในปากนั้นหาใช่สิ่งสมควรไม่

ซึ่งตอนนี้สุ่ยเหม่ยฮว๋ากำลังยิ้มออกมาด้วยความดีใจเมื่อปรายตามองไปยังบุตรสาวทั้งสองที่เปรียบเสมือนหยกล้ำค่าของจวนและกำลังนั่งกินข้าวข้างกัน

คนหนึ่งสุขุมเยือกเย็นแต่ขณะเดียวกันก็นุ่มนวลเช่นบุปผาเหมันต์ที่กระทบแสงจันทรายามราตรี ส่วนอีกคนร่าเริงเปล่งประกายดั่งบุปผายามวสันต์ซึ่งกำลังผลิบานท่ามกลางแสงตะวัน สมความตั้งใจของตนที่ต้องการจะสร้างบุตรสาวให้มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน

ที่สำคัญสุ่ยเหม่ยชิงนั้นเป็นเด็กรู้ความไม่เคยอิจฉาและหาเรื่องกลั่นแกล้งน้องสาวที่งามกว่า ทำให้นางไม่ต้องมาคอยปวดเศียรเวียนเกล้ากับการที่บุตรีริษยาชิงดีชิงเด่นกันเอง

 “ท่านแม่เจ้าคะ” สุ่ยเหม่ยหนิงที่กินข้าวอิ่มแล้วกล่าวเรียกมารดาของตน

“อะไรหรือหนิงเอ๋อร์?” 

“วันนี้หลังเรียนเสร็จ ข้าขอไปเที่ยวเล่นที่ตลาดกับเสี่ยวซินได้หรือไม่เจ้าคะ?” ดรุณีน้อยถามเสียงใสสร้างความเอ็นดูให้แก่คนฟัง

ท่านแม่เคยห้ามเจ้าได้ด้วยหรือหนิงเอ๋อร์!? ร่างเพรียวระหงคิดในใจพลางยกมือปิดปากแล้วลอบยิ้มในขณะที่ผู้ถูกถามตอบด้วยการถามกลับว่า

“หากแม่บอกไม่อนุญาตเจ้าจะเชื่อฟังหรือ!?”

“เจ้าค่ะ!” คู่สนทนารับคำแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ต่อหน้าท่านแม่ข้าก็จะแสร้งทำเป็นเชื่อฟังรับคำเช่นนี้ แต่พอก้าวออกไปจากเรือนท่านแม่เมื่อไร ข้าก็จะแอบออกไปอยู่ดี!”

“มาเผยแผนการให้แม่รู้เช่นนี้ ยังจะเรียกแสร้งเชื่อฟังรับคำอีกหรือ?” สุ่ยเหม่ยฮว๋ากล่าวเย้าอย่างอารมณ์ดี

“เพราะข้าเชื่อว่าอย่างไรท่านแม่ก็ต้องปล่อยให้ข้าไปอยู่ดีนั่นแหละเจ้าค่ะ” ร่างเล็กตอบพร้อมกับทำตาโตใสซื่อเรียกเสียงหัวเราะจากมารดาได้เป็นอย่างดี

“เหตุใดถึงไม่ขอหลังเรียนเสร็จเล่า มาขออะไรตอนนี้?” นางถามบุตรีคนเล็กอย่างเอ็นดู

“ก็เพราะตั้งใจว่าจะไปกินบะหมี่เห็ดหอมเจ้าอร่อยเจ้าค่ะ ขืนมาขอท่านแม่แล้วค่อยไป คนจะต้องแน่นมากแน่ๆ” สุ่ยเหม่ยหนิงยังคงตอบเสียงสดใส

“เจ้าจะไปไหนก็ไปเถอะหนิงเอ๋อร์ ระวังตัวด้วยล่ะ!” ผู้เป็นมารดาเอ่ย มุมปากยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ไม่จางหาย 

เพราะเค้าหน้าที่คล้ายคลึงตน สุ่ยเหม่ยฮว๋าจึงค่อนข้างให้อิสระแก่เหม่ยหนิงเป็นพิเศษ ซึ่งแม้บุตรสาวคนเล็กจะมีความซุกซนอยากรู้อยากเห็น แต่ก็รู้ขอบเขตว่าสามารถทำสิ่งใดได้แค่ไหน นางจึงไม่ใคร่หนักใจนัก ให้ร่ำเรียนระคนเที่ยวเล่นไปวันๆ ส่วนทักษะต่างๆ ที่กุลสตรีพึงมีไว้ค่อยมาเคี่ยวเข็ญจริงจังให้ชำนาญหลังสุ่ยเหม่ยชิงออกเรือนก็ยังไม่สาย  

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ!!” สุ่ยเหม่ยหนิงพูดเสียงดังแล้วยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ก่อนจะหันไปมองพี่สาวที่กำลังใช้ผ้าซับริมฝีปากตนเอง จากนั้นก็ถามว่า

“พี่เหม่ยชิงอิ่มหรือยังเจ้าคะ?”

เมื่อเห็นคู่สนทนาพยักหน้ารับจึงหันมากล่าวกับสุ่ยเหม่ยฮว๋าว่า

“เช่นนั้นข้ากับพี่เหม่ยชิงขอตัวไปเรียนก่อนนะเจ้าคะ”

“ไปเถอะ ตั้งใจเรียนนะหนิงเอ๋อร์ ส่วนชิงเอ๋อร์เจ้าเก่งอยู่แล้วล่ะ” ผู้เป็นมารดาเอ่ยยิ้มๆ 

“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ! คารวะท่านแม่นะเจ้าคะ!” สุ่ยเหม่ยหนิงลุกขึ้นมาทำความเคารพสตรีตรงหน้าด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง

“ไม่ขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม” สุ่ยเหม่ยชิงเอ่ยเสียงเรียบอย่างถ่อมตน พลางย่อตัวทำความเคารพอย่างเชื่องช้าแต่สง่างาม

“คารวะท่านแม่เช่นกันเจ้าค่ะ”

จากนั้นก็ปล่อยให้น้องสาวลากแขนออกไป…


 


[1] อี๋เหนียง = อนุภรรยา

[2] จวี๋ฮวา = ดอกเก๊กฮวย

[3] เถา = ลูกท้อหรือที่รู้จักกันในนามพีช

[4] การสอบเคอจวี่ = ระบบการสอบคัดเลือกขุนนาง แบ่งเป็นสามรอบคือซิ่วไฉ จวี่เหรินและก่งเซิ่ง ก่งเซิ่งที่สอบผ่านจะได้คุณวุฒิจิ้นซื่อและเข้ารับราชการ ส่วนผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสามอันดับแรกจะถูกเรียกว่าจ้วงหยวน ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา

 

Writer:ตอนที่ 1 คลอดแล้วค่ะ ตั้งใจว่าถ้าการสอบผ่านไปด้วยดีจะมาเขียนลง ^_^ ทั้งบ้านก็คือมีแต่คนเด่นๆ ขนาดพี่ชายคนโตที่ดูไม่เอาถ่านยังอุตส่าห์หาสะใภ้เลิศๆ มาให้ที่บ้านปลื้มปริ่ม

มาถึงตอนนี้หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะทำไมนักเขียนถึงให้สุ่ยเหม่ยฮว๋าใช้นามสกุลเดียวกับสามี เปลี่ยนเพราะแต่งงาน? นี่หาข้อมูลจริงเปล่าเนี่ย? 

แน่นอนค่ะหาค่ะ ส่วนที่มาที่ไปของเรื่องนี้มีแน่นอน รอติดตามกันก่อนน้าคะ >_<

 

ร่วมพูดคุยกันได้ที่ Han Yu หานยวี่ / Meng Li Mao Hu เมิ่งลี่มาวหู น้า

ผลงานเรื่องอื่นๆ ของนักเขียน

 

แนวรักคอมเมดี้:

+รู้จักกับ 'หานอิงมี่' คุณหนูจอมแก่นที่ต้องถูกจับต่งงานกับคนที่เกลียดขี้หน้าอย่างท่านแม่ทัพ 'เซี่ยเฟยหง' ---> [สามพี่น้องตระกูลหาน] แต่งกับเจ้าแล้วไง! ข้าก็ไม่ได้รักเจ้าเสียหน่อย! 

+รู้จักกับพี่ชายคนโตตระกูลหาน ผู้ที่มีศักดิ์เป็นพนักงานที่ได้เงินเดือนเยอะที่สุดในวังหลวง 'หานหมิงเทียน' และ 'จีลู่ฟาง' ฮูหยินตัวแสบ ---> [สามพี่น้องตระกูลหาน] สมรสพระราชทานบันดาลรัก 

+รู้จักกับพี่ชายคนกลาง ผู้ที่สุดแสนจะเสเพลยิ่งกว่าน้องเขย 'หานหมิงซาน' แต่กลับต้องมาเสียปณิธานที่ว่าจะไม่ยอมลงให้สตรีหน้าไหนให้แก่หัวหน้าโจรสาวอย่าง 'ซือซิง'

-----> [สามพี่น้องตระกูลหาน] หอบรักมาห่มใจแม่นางโจร

แนวรักดราม่า:

+ต้องการเสพความหน่วงจาก 'เซียวหลินหลิง' สตรีที่เคยหลงรักในตัวของ 'ซือหยวนซา' คุณชายคนสุดท้องของสกุลและทนทำดีกับเขามาตลอดจนทนไม่ไหวเลยยื่นหนังสือหย่า ----> [สามบุพเพสกุลซือ] างใครทางมัน! เราหย่ากันแล้ว! 

+ชอบแนวเต๊าะๆ เครียดๆ หวานเยอะสุดในซีรีส์สามบุพเพสกุลซือ ต้องคุณชายรอง 'ซือหยินซู' กับรัชทายาทมาร 'วั่งหลิวเหว่ย' เลยค่ะ

[สามบุพเพสกุลซือ] 18+แผนลับลวงใจ เสื้อแพรล่องหน (ของรัชทายาทมาร)

+ต้องการอ่านแนวสงครามสู้รบปรบมือ นางเอกเก่ง พบกับ 'จิวอวี้' และคุณชายใหญ่ 'ซือหยางซี' ได้ที่

---> [สามบุพเพสกุลซือ] บุปผาไร้งามกับกระบี่ไร้ใจ

+ต้องการเสพความหน่วงระดับฮาร์ดคอร์ ขึ้นไปจุดสูงสุดแล้วปล่อยตัวตกลงมาดังตุบจากเกมส์กระดานแห่งความแค้น ของ 'ฉินซิ่นซื่อ' กับ 'ซู่ซู่'

----->หัวเราะทีหลังดังกว่า 

ต้องการเสพความหน่วงแบบจบง่ายไม่ต้องอ่านยาว

----->ห้วงมายา ปักษา ภารมย์

 

 


 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป