"ถ้าถูกส่งไปต่างโลกก็คงจะดี" ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของผมทุกครั้งที่เกิดความอิจฉาตัวละครต่างโลกต่างๆในเรื่องที่เคยอ่านแต่แล้ว ในตอนที่ผมถูกส่งไปยังต่างโลก ก็ทำให้รู้ว่า "โลกไหนก็โหดร้ายไม่ต่างกัน"
"ถ้าถูกส่งไปต่างโลกก็คงจะดี" ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของผมทุกครั้งที่เกิดความอิจฉาตัวละครต่างโลกต่างๆในเรื่องที่เคยอ่านแต่แล้ว ในตอนที่ผมถูกส่งไปยังต่างโลก ก็ทำให้รู้ว่า "โลกไหนก็โหดร้ายไม่ต่างกัน"
แม้ว่าหญิงสาวจะเอ่ยถามผมออกมา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจคำถามนั้น และเดินออกจากห้องไป ผมลงไปยังชั้นล่าง และเจอเข้ากับห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีผู้คนอยู่จำนวนหนึ่ง ผมเจอป้ายจุดลงทะเบียน และได้พบกับพนักงานสาวที่ตรงนั้น เธอได้อธิบายข้อมูลบางส่วนก่อนจะหยิบเอกสารมาชุดหนึ่ง
จากที่ผมเข้าใจ อันดับของภารกิจที่สามารถรับได้ขึ้นกับอันดับของตัวนักผจญภัย ซึ่งมีอยู่เจ็ดอันดับ
ไอออน (Iron)
บรอนซ์ (Bronze)
ซิลเวอร์ (Silver)
โกลด์ (Gold)
แพลตตินั่ม (Platinum)
ไดม่อน (Diamond)
ดราก้อนแฟง (Dragonfang)
ซึ่งดราก้อนแฟงคืออันดับสูงสุดในกิลด์
เรื่องของการเลื่อนขั้นแรงค์นั้นดูยุ่งยากนิดหน่อย หากจะเลื่อนขั้นไปอันดับที่สูงกว่า ต้องรับภารกิจในอันดับของตัวเองจำนวนหนึ่งร้อยครั้ง หรือไม่ก็รับภารกิจในอันดับที่สูงกว่าหนึ่งขั้นจำนวนสิบครั้ง ส่วนภารกิจที่ต่ำกว่าอันดับปัจจุบันของตัวเองจะไม่ถูกนับเป็นคะแนนในการเลื่อนขั้น
แต่ยกเว้นระดับดราก้อนแฟงที่ต้องอาศัยการสังหารมังกรเพื่อเลื่อนขั้นเท่านั้น
"อ่านข้อมูลพื้นฐานในเอกสารนี้นะคะ" ผู้หญิงที่ดูเหมือนพนักงานของกิลด์ได้บอกกับผมพร้อมยื่นเอกสารมาให้จำนวนหนึ่ง
ดูเหมือนว่าผมจะสามารถอ่านภาษาของโลกนี้ได้ แต่มันคงไม่ได้น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะขนาดคำพูดของพวกเขา ผมก็ยังสามารถเข้าใจได้ตั้งแต่โดนอัญเชิญมา
ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของสัญญาที่จะไม่รับผิดชอบหากมีการตายในภารกิจเกิดขึ้น ซึ่งผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก หากต้องไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดแล้วล่ะก็ ยังไงก็มีโอกาสเสียชีวิต ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก
แต่ดูเหมือนว่าผมต้องตรวจสอบสิ่งที่เรียกว่าระดับมานาและสมรรถภาพทางกายด้วย ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับระดับมานาเลย แต่ดูจากชื่อน่าจะเป็นการวัดพลังเวทหรืออะไรสักอย่าง ส่วนเรื่องของสมรรถภาพทางกายนั้น ผมน่าจะจัดอยู่ในอันดับที่อ่อนแอที่สุดแน่ๆ
"เวล อาเชรอน ใช่ไหม?" เสียงของชายคนหนึ่งฟังแล้วรู้สึกคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ผมหันไปทางที่มาของเสียง ที่ตรงนั้นมีชายแก่คนหนึ่งยืนอยู่ ส่วนสูงของเขาเตี้ยจนน่าตกใจ เขาดูอายุประมาณน่าจะราวๆหกสิบปีหรือมากกว่านั้น ทรงผมสีขาวที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ทำให้นึกถึงพวกขุนนางในวังที่มักจะเสยผมไปข้างหลังให้ดูเรียบเข้าไว้ หนวดของเขาปลายทั้งสองข้างม้วนขึ้นอย่างแปลกตา ทว่าหน้าตาของเขาดูเป็นคุณปู่ใจดีที่ให้ความรู้สึกไว้วางใจได้ สวมชุดดูสุภาพเหมือนกับพ่อบ้านยังไงอย่างงั้น
"ครับ..." ผมขานตอบรับไปทั้งที่ยังตกใจกับส่วนสูงของเขาอยู่ ดูแล้วน่าจะราวๆไม่ถึงหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ
"ท่านหัวหน้ากิลด์!" พนักงานในกิลด์ดูขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
"ท่านหัวหน้ากิลด์มีอะไรหรือเปล่าคะ?" หญิงสาวที่ช่วยชีวิตผมไว้ได้เอ่ยถามขึ้นมาก่อนผม
"ขอฉันเป็นคนตรวจสอบให้เจ้านั่นหน่อยได้ไหม?" หัวหน้ากิลด์พูดออกมาพร้อมกับเงยหน้ามองมาที่ผม
"ก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่จะดีเหรอคะ?" พนักงานในกิลด์พูดออกมา
"นั่นสิคะ ท่านหัวหน้ากิลด์ชอบเล่นอะไรแปลกๆอยู่ด้วย" หญิงสาวที่ช่วยชีวิตผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจนิดหน่อย
"เอาน่าๆ ให้หนุ่มๆอย่างเขาและฉันคุยกันเองดีกว่า โฮ๊ะโฮ๊ะโฮ๊ะ" หัวหน้ากิลด์หัวเราะออกมาจากนั้นก็เดินนำผมไปที่ไหนสักที่ ผมจึงเดินตามไปโดยไม่ได้ปริปากถาม
หลังจากตรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หัวหน้ากิลด์ก็ได้พาผมมานั่งคุยที่ตรงโต๊ะรับแขกกลางห้อง ทำให้ผมรู้ว่าระดับมานาของผมเยอะกว่าคนทั่วไปมากๆ และอาจจะเป็นปัญหาระดับประเทศได้ หัวหน้ากิลด์จึงตกลงกับผมไว้ว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ หัวหน้ากิลด์เล่าให้ฟังว่าเขารู้ข่าวผู้กล้าของประเทศเลโอเนีย (Leonia) หลบหนีแล้ว
ดูเหมือนว่าข่าวจะไม่ได้ออกมาว่าผมถูกประเทศนั้นไล่ออกมา แต่กลับเป็นผมคือผู้กล้าที่หลบหนีออกมาแทน
"แล้วคุณรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้กล้าบ้างล่ะ?" ผมถามหัวหน้ากิลด์ออกไปเพราะต้องการข้อมูลจริงๆ
"เท่าที่ฉันรู้ ผู้กล้าจะถูกอัญเชิญมาโดยบริดจ์ออร์บ ซึ่งจะสามารถอัญเชิญออกมาได้ทุกๆร้อยปีเท่านั้น" หัวหน้ากิลด์พูดออกมาและมองไปยังดาบเล่มหนึ่งในห้องของเขา
"บริดจ์ออร์บมีทั้งหมดเจ็ดลูก และถูกถือครองโดยประเทศเจ็ดประเทศทั่วโลก และผู้ที่ถูกอัญเชิญ ว่ากันว่าจะสามารถติดต่อกับอัครทูตสวรรค์ได้"
"อัครทูตสวรรค์อีกแล้ว มันคืออะไร?"
"เจ้าไม่รู้หรอกเหรอ?" หัวหน้ากิลด์ถามผมด้วยความสงสัย
"รู้แค่ว่าผู้กล้าสามารถติดต่อกับอัครทูตสวรรค์ได้ และเหมือนว่าตัวผมจะไม่มีความสามารถอะไรแบบนั้น"
"น่าแปลกจริงๆ เจ้าเลยหนีออกมาเหรอ?" หัวหน้ากิลด์ถามต่อเพื่อยืนยันข่าวของผู้กล้าที่ได้ยินมา
"โดนไล่ออกมาต่างหาก เห็นบอกว่าผมคือความผิดพลาด" ผมตอบออกไปและพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกแค้นเอาไว้
"เจ้ารู้หรือเปล่า ว่าที่เลโอเนียประเทศที่อัญเชิญเจ้ามากำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ"
"ผมจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอ? ประเทศที่หันหลังให้กับผม จะให้ผมสนใจอีกงั้นเหรอ?" ผมเริ่มเก็บความเคียดแค้นไว้ไม่ไหว ทุกครั้งที่นึกถึง ก็จะทำให้รู้สึกอยากแก้แค้นราชาเห็นแก่ตัวนั่นเสมอ
"ฉันกำลังจะบอกว่า ประเทศนั้นตั้งความหวังไว้กับนายยังไงล่ะ"
"ไว้กับผมงั้นเหรอ? ผู้กล้าจะทำให้ประเทศที่ตกต่ำฟื้นฟูได้ยังไง?" ผมไม่เข้าใจเลยว่าการอัญเชิญคนมาที่ต่างโลกจะไปช่วยอะไรได้
"เพราะว่าหนึ่งส่วนสามของโลกคือทวีปมืดไงล่ะ..."
"ทวีปมืด?"
"ทวีปมืดคือทวีปที่ปกครองโดยจอมมาร เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ? หากกำจัดจอมมารได้"
"ทวีปที่ไร้เจ้าของ... ยึดครองงั้นเหรอ?" ผมตอบออกไปด้วยความไม่มั่นใจ
"ใช่... หากได้พื้นที่ในทวีปมืดมา ก็จะมีสิทธิในการใช้ทรัพยากรใหม่ๆและหาได้เฉพาะในทวีปมืดไงล่ะ"
"แบบนี้ก็ไม่ต่างกับการล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจสิ" ผมพูดออกไปด้วยความสงสัย หากเป็นอย่างที่บอกล่ะก็ เท่ากับว่าผู้กล้าเป็นเครื่องมือสำหรับล้างเผ่าพันธุ์เท่านั้น
"เป็นความคิดที่อันตรายจังเลยนะ ในโลกแห่งนี้น่ะ ปีศาจถูกจัดอยู่ในประเภทที่ไม่ต่างกับสัตว์หรอกนะ" หัวหน้ากิลด์ยิ้มใจดีและพูดออกมาราวกับว่าพยายามห้ามความคิดของผมเอาไว้
"กลับมาเรื่องของอัครทูตสวรรค์ดีกว่า ว่ากันว่าเทวทูตคือบริวารของพระเจ้า เป็นตัวตนที่ทำหน้าที่เลือกพวกเจ้ามาและทำสัญญาเพื่อมองพลังให้กับผู้กล้ายังไงล่ะ รวมถึงการสนับสนุนผู้กล้าด้วย" หัวหน้ากิลด์ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องของอัครทูตสวรรค์ที่ผมถามไว้ก่อนหน้า
"ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมถึงไม่ให้อัครทูตสวรรค์อะไรนั่นกำจัดจอมมารด้วยตัวเองล่ะ?"
"เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะเพราะมีเงื่อนไขบางอย่าง"
"งั้นตัวผมในตอนนี้เป็นผู้กล้าหรือไม่ได้เป็นกันแน่ เพราะผมไม่ได้ติดต่อกับอัครทูตสวรรค์ได้สักหน่อย"
"ถ้าหากดูจากความสามารถในการติดต่อกับอัครทูตสวรรค์ เจ้าก็คงไม่ใช่ผู้กล้าหรอก แต่เรื่องระดับมานาน่ะ ต้องยอมรับเลยว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก"
"คุณบอกว่ามีบริดจ์ออร์บเจ็ดลูกใช่ไหม แสดงว่ามีคนถูกอัญเชิญมาเจ็ดคนงั้นเหรอ?"
"แน่นอน ผู้กล้าในตอนนี้มีทั้งหมดเจ็ดคน และอยู่กระจายทั่วมุมโลก" หัวหน้ากิลด์พูดออกมาราวกับว่าติดตามข่าวของผู้กล้าอยู่ตลอด
"รู้ดีจังเลยนะ ทั้งที่ตลอดทางที่ผมเดินมา ไม่เห็นคนแม้แต่คนเดียวเลยแท้ๆ" ผมตัดพ้อออกไปเล็กน้อย เพราะมันเป็นเวลานานมากจริงๆที่ผมเดินทางหาเมืองสักเมือง
"แหมๆ ของแบบนี้ไปซื้อกับพวกคนขายข่าวก็รู้หมดแล้ว โฮ๊ะโฮ๊ะโฮ๊ะ" หัวหน้ากิลด์หัวเราะลั่น
คนขายข่าว? ไม่น่าแปลกใจหรอกที่จะมีคนขายข่าวอยู่ในโลกแบบนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือทำไมข่าวถึงส่งมาที่เมืองนี้ไวกว่าตัวผมที่เดินทางมากันล่ะ ทั้งที่ไม่เจอใครเลยระหว่างทางแท้ๆ
"แล้ว... ทั้งที่มีอีกตั้งหกคน ทำไมถึงไม่ไปสู้กับจอมมารกันเองล่ะ" ผมถามด้วยความสงสัย หากเป้าหมายคือการจัดการจอมมาร ก็ต้องมีคนรีบหาวิธีจัดการก่อนไม่ใช่เหรอ
"เพราะหากไม่ได้ถูกอัญเชิญมาครบเจ็ดคน วิหารแห่งการทดสอบจะไม่เปิดไงล่ะ" บางครั้งผมก็สงสัยจริงๆว่าหัวหน้ากิลด์คนนี้มีข้อมูลมากขนาดไหนกันนะ
"มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าทุกประเทศร่วมมือกันก็น่าจะสู้ได้ไม่ใช่หรือไง"
"อย่างแรก ก่อนหน้าพวกเจ้า ก็มีผู้กล้าถูกอัญเชิญมาเหมือนกัน ถึงข้าจะไม่รู้เรื่องอดีตมากนัก แต่ไม่เคยมีใครชนะจอมมารเลย"
"อย่างที่สอง ในประวัติศาสตร์เคยมีการร่วมมือกันแล้ว และผลที่ได้คือประเทศแห่งหนึ่งถูกลบหายไปด้วยการโจมตีของจอมมาร"
"อย่างสุดท้าย ทวีปของพวกเรากับทวีปมืดในตอนนี้มีมหาสมุทรเป็นตัวกั้นไว้อยู่ ในขณะที่ทวีปมืดมีเวทมนตร์ในการเปิดประตูข้ามมาที่ทวีปของเราได้ แต่พวกเราในตอนนี้มีเพียงแค่การเดินเรือเท่านั้นที่สามารถเดินทางไปทวีปมืดได้"
"หัวหน้ากิลด์คะ!? นานไปแล้วนะคะ! ท่านมีธุระต่อไม่ใช่เหรอคะ!" เสียงดังขึ้นมาจากนอกประตูห้องของหัวหน้ากิลด์
"โฮ๊ะโฮ๊ะโฮ๊ะ ลืมไปเลย ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะ" หัวหน้ากิลด์โดดลงมาจากที่นั่งและเดินไปเปิดประตูก่อนหันมาพูดกับผม ผมได้เดินตามเขาออกมา หลังจากนั้นก็ลงทะเบียนนักผจญภัยได้สำเร็จ
"ไม่คิดเลยนะว่าคนระดับที่จัดการทินวูล์ฟห้าตัวได้จะมีความสมรรถภาพทางกายแค่ระดับต่ำเนี่ย" หญิงสาวที่ช่วยชีวิตผมไว้ได้พูดออกมาหลังจากเห็นผลการสอบของผม
"..." ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงเข้ามายุ่งกับผมนัก
"ฉันลืมบอกชื่อของฉันเลย ฉันคริสติน่า (Christina) ยินดีที่ได้รู้จักนะ"
แม้ว่าเธอจะพูดแนะนำตัวกับผมมา ผมไม่ได้คิดจะทำความรู้จักกับเธอเลยสักนิด ผมตัดสินใจเมินเธออีกครั้งและเดินไปยังกระดานภารกิจ
"หยุดทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่า" เธอพูดใส่ผมด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อย แต่ผมกลับรู้สึกโมโหขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอเป็นมาโซคิสม์เหรอถึงได้เอาแต่ตามผมทั้งที่ผมพยายามเมินเธอหลายครั้ง
"อย่ามายุ่งกับฉัน!" ผมเผลอตะคอกใส่เธออย่างรุนแรงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
จากนั้นเธอก็เงียบไป ผมที่ตระหนักได้ว่าตัวเองเผลอใส่อารมณ์มากเกินไปจึงหันไปมอง
เธอยืนอยู่ตรงนั้นและก้มหน้าอยู่เล็กน้อย ผมสังเกตเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาและหยดลงไปบนพื้น
"ขอโทษนะ..." เธอพูดจบแล้วรีบวิ่งหนีออกจากกิลด์ไป
"วันแรกก็ก่อเรื่องแล้วเหรอคะ? คุณเวล" พนักงานในกิลด์ที่เป็นคนรับสมัครผมได้พูดออกมาเหน็บแนมผมเล็กน้อย
โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ในกิลด์ตอนนี้นอกจากพนักงานคนนี้เท่านั้น
ผมเดินออกมาจากกิลด์เพื่อหลบหน้าพนักงานคนนั้น
ผมก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่แบบนี้คงดีแล้วสำหรับผม หลังจากนี้เธอคงไม่ได้มายุ่งกับผมอีก