"ถ้าถูกส่งไปต่างโลกก็คงจะดี" ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของผมทุกครั้งที่เกิดความอิจฉาตัวละครต่างโลกต่างๆในเรื่องที่เคยอ่านแต่แล้ว ในตอนที่ผมถูกส่งไปยังต่างโลก ก็ทำให้รู้ว่า "โลกไหนก็โหดร้ายไม่ต่างกัน"
"ถ้าถูกส่งไปต่างโลกก็คงจะดี" ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของผมทุกครั้งที่เกิดความอิจฉาตัวละครต่างโลกต่างๆในเรื่องที่เคยอ่านแต่แล้ว ในตอนที่ผมถูกส่งไปยังต่างโลก ก็ทำให้รู้ว่า "โลกไหนก็โหดร้ายไม่ต่างกัน"
กินข้าวครั้งล่าสุดตอนไหนกันนะ....
ความคิดนั้นเกิดขึ้นในหัวผม ร่างกายที่ไม่ขยับตามคำสั่ง เรี่ยวแรงที่ไม่มีแม้แต่จะกระดิกนิ้ว
วันนี้เป็นวันที่สามหลังจากเงินก้อนสุดท้ายของผมหมดไป
สมัยตอนมหาลัย ผมก็เคยเป็นเหมือนคนทั่วไป ใช้ชีวิต มีสังคม มีเพื่อนพ้องที่ไว้ใจได้
แต่จู่ๆก็เหมือนโลกล่มสลาย เพื่อนในมหาลัยก็หักหลัง ครอบครัวก็ไม่พอใจที่ผมย้ายไปอยู่กับแฟน
จึงตัดความสัมพันธ์กับผมให้เอาตัวรอดเพียงคนเดียว ตอนหลังก็จับได้ว่าแฟนนอกใจ สุดท้ายก็จบด้วยการอยู่คนเดียว
ผมใช้เงินก้อนสุดท้ายไปกับอาหาร และพยายามหางานในแต่ละวัน แต่ในยุคแบบนี้ ใครๆก็ต้องการงานกันทั้งนั้น
พอมานอนคิดดูแล้ว มันเหมือนกับทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าผมจะตื่นอีกสักกี่ครั้ง มันก็ไม่เคยตื่นจากฝันร้ายนี้สักที
ผมเพิ่งสังเกตว่าเสียงท้องร้องของตัวเองมันเป็นยังไง มันเหมือนกับเสียงของขวดที่ถูกบิดไปทีละนิดจนเกิดเสียงที่แสนน่าหนวกหู
เพดานที่ผมมองในตอนนี้ก็เหมือนเดิมในทุกทุกวันแต่ผมกลับสังเกตเห็นรายละเอียดของมันมากขึ้น ทั้งลวดลายและพื้นผิว
และแม้แต่การหายใจของผมตอนนี้ ผมก็รู้สึกถึงมันได้
"ทรมานจัง..."
ผมพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบา ผมรู้สึกได้ว่าเสียงที่พูดออกไป ไม่ได้มีแต่ลมหายใจที่ออกไปเท่านั้น แต่มันเหมือนกับชีวิตของผมได้ออกไปด้วยทีละนิด
ผมพยุงตัวเองลุกขึ้นมาจากเตียง และเดินไปยังระเบียงของห้องพัก แม้เท้าของผมจะเตะเข้ากับถ้วยอาหารสำเร็จรูปก็ตาม
วิวที่ผมได้เห็นนั้นมันสวยงามกว่าทุกครั้งที่ได้มองมาในชีวิต
อาคารที่ดูธรรมดา แสงของดวงอาทิตย์ยามเย็น และผู้คนมากมายที่กำลังใช้ชีวิต
ในเสี้ยวความรู้สึกนั้น ผมก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา
"ฉันเองก็อยากใช้ชีวิตนะ..."
ตึง!
เสียงบางสิ่งกระแทกจากชั้นสี่ลงมายังพื้นทางเดิน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนมากมาย
"อย่ามองนะลูก!"
"อ๊าาาา เลือด!"
"แจ้งกู้ภัยเร็ว!"
"อ๊อกกก แหวะะะ"
ช่างเป็นเสียงสุดท้ายที่น่ารำคาญจริงๆ เอาเถอะ ทุกอย่างคงจบลงแล้ว
ตอนนี้ผมคงได้พักผ่อนไปตลอดกาลแล้ว
ความรู้สึกนี้... แสงอะไรกัน... หรือว่าเรายังไม่ตายอีกเหรอ... ตอนนี้คงอยู่ในโรงพยาบาลสินะ...
ผมรู้สึกถึงร่างกายที่ขยับได้ และแสงที่ลอดผ่านเข้ามาในดวงตา กับเสียงผู้คนมากมายโดยรอบ
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นทีละนิด
"หิน?"
ในชีวิตของผมไม่เคยเห็นโรงพยาบาลไหนมีเพดานเป็นหินมาก่อน
"นั่นเหรอผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญมา"
"ช่างวิเศษจริงๆ ประเทศของเรารอดตายแล้ว"
"ท่านราชาขอรับ!"
อัญเชิญเหรอ? พวกคุณหมอพูดเรื่องอะไร
ผมลุกขึ้นมานั่งมองรอบๆโดยคิดว่าจะเจอกับภาพของโรงพยาบาลที่ผมรู้จัก
แต่มันกลับเป็นภาพของชายชราจำนวนหนึ่งที่สวมชุดแปลกๆ
และตัวของผมก็อยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น
เมื่อผมมองไปยังพื้นที่ผมนั่งอยู่ มันกลับเต็มไปด้วยวงแหวนเวทที่เหมือนถูกเขียนด้วยสิ่งที่คล้ายชอล์ก
ในหัวของผมเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ผมอยู่ที่ไหน ผมตายหรือยัง ผมมาที่นี่ได้ยังไง นี่คือความฝันรึเปล่า
แต่คำถามในหัวของผมก็ต้องหยุดลง เมื่อมีชายผู้หนึ่งลุกขึ้นมาจากที่นั่งที่เหมือนกับบัลลังก์และเดินเข้ามาหาผมพลางพูดว่า...
"ข้าขอยินดีต้อนรับจากใจจริง สู่โลกอีกใบที่ท่านมาถึง"
โลกอีกใบ? มาถึง? หรือคนพวกนี้หมายถึงว่าผมเดินทางมาต่างโลกอย่างงั้นเหรอ
ตอนนี้ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่ามันคงเป็นความฝัน ผมอาจจะโคม่าหรือเป็นอะไรสักอย่างอยู่
"ข้าเข้าใจว่าท่านกำลังสงสัยและมีคำถามมากมาย"
เสียงของชายคนนั้นยังพูดต่อ ผมจึงหันไปมองยังต้นทางของเสียง
สิ่งที่ผมได้เห็นคือชายผู้หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าดูหรูหรา ดูจากใบหน้าของเขาน่าจะอายุราวห้าสิบปีหรือไม่ก็แก่กว่านั้น
ดวงตาสีฟ้าเหมือนกับผู้คนแถบตะวันตก เคราที่หนาและยาวจนเหนือหู แต่ศีรษะกลับไม่มีผม
ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นี้เท่าไหร่ แต่ก็คงพอเดาได้ว่านั่นคงเป็นราชาของที่นี่แน่ๆ
"อย่างแรกที่ท่านต้องเข้าใจ นี่คือความจริง ท่านไม่ได้ฝันแต่อย่างใด"
ผมที่ได้ยินประโยคนั้นแอบหัวเราะในใจเบาๆ
ไม่มีคนจากต่างโลกที่ไหนเขาพูดเรื่องความฝันหรือความจริงกันหรอก
ถ้านี่เป็นฝันก็คงเป็นเนื้อเรื่องต่างโลกที่ห่วยแตกมากแน่ๆที่สร้างบทพูดแบบนี้มา
"อย่างที่สอง ท่านถูกอัญเชิญมาเพื่อช่วยโลกใบนี้จากจอมมาร"
นั่นไง ภารกิจพื้นฐานของผู้กล้าทุกคน การกำจัดจอมมาร จำเจเป็นบ้า
"อย่างที่สาม ประเทศของเราอยู่ในวิกฤต จึงไม่สามารถช่วยเหลือท่านได้มากนัก"
นั่นมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ปกติแล้วไม่ใช่ว่าผู้กล้าจะถูกสนับสนุนอย่างเต็มที่หรือไง
ทั้งเงินทอง ที่พัก อาหาร ไม่ใช่ว่าตามบทปกติแล้วผู้กล้าต้องได้รับการสนับสนุนของพวกนี้อย่างดีหรอกเหรอ
"หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอทราบชื่อของท่านผู้กล้าได้หรือไม่"
ชื่อเหรอ? ผมกำลังนั่งคิดกับตัวเองว่าสรุปแล้วมันคือความฝันจริงๆหรือเปล่า
เพราะความรู้สึกมันเหมือนจริงเกินไป หรือผมกำลังอยู่ในภาวะโคม่าจริงๆ
แต่เรื่องนั้นยังไงก็ช่าง ผมไม่เห็นต้องคิดมากเลยสักนิด หากเป็นความฝันล่ะก็ ผมก็ขอสนุกกับมันสักหน่อย
"เวล อาเชรอน (Vel Acheron) "
ชื่อนี้เป็นชื่อของตัวละครที่ผมเคยคิดไว้ ผมจึงนำมาใช้เป็นชื่อของตนเองในโลกใหม่แห่งนี้
"ท่านเวล ข้าราชารอย ไลอ้อนฟอล (Roy Lionfall) "
"ข้าขอถามท่านอีกสักข้อได้หรือไหม" ชายผู้นั้นได้เอ่ยถามออกมา
"ได้สิ" ผมตอบกลับออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร
"ท่านสามารถติดต่อกับอัครทูตสวรรค์ได้จริงๆใช่หรือไม่"
อัครทูตสวรรค์เหรอ มันคืออะไร? ผมได้แต่คิดในใจ หรือผมต้องติดต่อกับอะไรแบบนั้นได้งั้นเหรอ
"มันคืออะไรงั้นเหรอ?" ผมตอบออกไปโดยหวังว่าผมจะได้รับคำอธิบายสักอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพูดถึง
แต่ราชาผู้นั้นกลับทำหน้าตกใจอย่างมาก ไม่สิ แม้แต่คนรอบๆเองก็เช่นกัน
มันทำให้ผมกลับมาคิดว่าผมอาจจะพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ผมไม่รู้สักหน่อยว่า อัครทูตสวรรค์คืออะไร
"ท่านไม่ได้ยินเสียงในหัวเลยหรือ หากท่านเป็นผู้กล้า ท่านก็ต้องมีอัครทูตสวรรค์ข้างกายสิ"
เสียงของราชาผู้นั้นดูรุนแรงขึ้นเหมือนกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง
"ก็... คิดว่าน่าจะไม่มีนะ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรในหัวเลย..." ผมตอบออกไปตามความเป็นจริง
"เป็นไปไม่ได้! ท่านคือผู้กล้าไม่ใช่หรือไง ท่านต้องเป็นผู้กล้าที่ถูกเลือกโดยอัครทูตสวรรค์สิ"
ราชาผู้นั้นหยิบสิ่งที่คล้ายกับลูกแก้วที่อยู่หน้าผมขึ้นมาและโยนทิ้งเหมือนลงความโกรธต่อตัวผมใส่สิ่งนั้น
"ท่านราชาขอรับ นั่นมัน บริดจ์ออร์บ (Bridge Orb) นะขอรับ!" เสียงจากชายชราที่สวมผ้าคลุมแปลกๆพูดออกมาอย่างร้อนรน
"ล้มเหลวแล้ว... ประเทศนี้ล่มสลายแน่ๆ..." ราชาผู้นั้นทรุดลงไปกับพื้นต่อหน้าผม
"เจ้ามันไร้ประโยชน์... เจ้ามันคือความผิดพลาด!" ราชาชี้มาที่หน้าของผม และพูดออกมาด้วยความโกรธ
ผมเริ่มไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันคือผมที่ผิดอย่างงั้นเหรอ อะไรคืออัครทูตสวรรค์ ผมไม่เข้าใจอะไรเลย ทำไมผมต้องโดนว่าด้วย
มันทำให้ผมนึกถึงความทรงจำเก่าๆที่ผมเจอ ผมไม่เคยเข้าใจเลย ว่าตัวตนของผมมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ
ผมเป็นลูกชายที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้รักกัน เมื่อผมเกิดมาไม่นาน แม่ก็หย่ากับพ่อแล้วหนีออกจากบ้านไป
ส่วนตัวของผมก็ถูกโยนให้ปู่กับย่าเลี้ยงดู และพ่อของผมก็ย้ายไปอยู่กับภรรยาคนใหม่
มันทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกินในชีวิตของเขาทั้งสองมาโดยตลอด
"ฉันผิดอะไรด้วยเล่า! อัครทูตสวรรค์อะไรกัน! ไม่เห็นเข้าใจเลย! การที่ฉันไม่มีเสียงในหัวมันผิดขนาดนั้นเลยเหรอ!"
ผมตะโกนออกไปอย่างขาดสติจนลืมไปว่าตรงหน้านั้นคือราชาของที่นี่
"แก! บังอาจมาตะโกนใส่ข้างั้นเหรอ!"
คำพูดนั้นของราชาทำให้ผมตระหนักได้ถึงตัวตนของตัวเอง
"ข้าไม่อยากเห็นหน้ามันแล้ว! ทหาร! เอามันไปทิ้งนอกเมือง!"
ราชาพูดออกมาแม้จะนั่งทรุดกับพื้นแบบนั้น
"ข้าขอทำหน้าที่นั้นเองขอรับ!" อัศวินในชุดเกราะที่ดูใหญ่โตคนหนึ่งพูดออกมา และเดินมาดึงคอเสื้อของผมออกไปจากปราสาท
"ปล่อยฉัน! ฉันผิดอะไรงั้นเหรอ! ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย!"
ผมตะโกนออกมาพร้อมขัดขืนอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงคอเสื้อที่รัดขึ้นมาตรงคอได้
"เจ้าไม่ได้ผิดหรอก... แค่เจ้าไม่ได้เป็นไปอย่างที่ประเทศนี้หวังเท่านั้น"
เมื่อพูดจบเขาก็โยนผมออกมาจากบริเวณประตูและสั่งให้ลูกน้องพาผมออกไปหน้าประตูเมือง
ผมในตอนนั้นโดนความทรงจำเก่าๆโจมตีอีกครั้ง ทำให้ไม่มีอารมณ์ไปขัดขืนอะไร ทำได้เพียงเดินตามทหารพวกนั้นไปเท่านั้น
"ท่านนอริส (Noris) มอบสิ่งนี้ให้กับเจ้า รับและไปซะ"
ทหารที่ออกมาส่งผมหน้าประตูเมืองโยนดาบและถุงเล็กๆให้ผม จากนั้นก็หันหลังกลับไปในเมือง ก่อนที่ประตูจะปิดลงต่อหน้าผม
ตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไปแล้ว...