Your Wishlist

พลิกลิขิตฟ้าคว้าใจเธอ (บทที่ 8 : เครื่องสาย)

Author: อักษรเงิน

เมื่อถูกใส่ร้าย! อดีตนักแสดงสาวก็ตกหลุมพลางและถูกฆ่าตายในที่สุด ทว่าสวรรค์ยังมีตาให้เธอกลับมาเกิดใหม่ และคราวนี้เธอต้องการแก้แค้นและเพื่อค้นหาความจริง! คราวนี้เธอตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ตกหลุมพรางของความรักอีก แต่! ใครบอกเธอได้ว่าทำไมอดีตสามีที่น่ารำคาญถึงตามหลอกหลอนเธอทั้งวันทั้งคืนแบบนี้!

จำนวนตอน :

บทที่ 8 : เครื่องสาย

  • 08/05/2565

สายลมพัดโชย ผ้าม่านสีขาวถูกเลิกขึ้นอย่างช้าๆ ขับเน้นให้เรือนผมสีดำขลับของเด็กสาวดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น สวี่เฉียวหลีทอดมองออกไปยังท้องฟ้าสีครามสว่างตาราวกับผ่านการชะล้างที่อยู่ด้านนอก ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ลำแสงอันร้อนแผดสาดลงสู่พื้นผิว ไอร้อนระอุทำให้รู้สึกเวียนหัวอย่างช่วยไม่ได้

 

ห้องเรียนอยู่บนชั้นสอง สามารถได้ยินเสียงฝ่ามือตบดังมาจากชั้นล่างได้อย่างเลือนราง สวี่เฉียวหลีมองลงไปอย่างอยากรู้อยากเห็น แล้วก็บังเอิญปะทะเข้ากับสายตาของเด็กคนหนึ่งที่มีดวงตาสีเขียวเข้มเข้าพอดี สีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าหน้าตากลับหล่อเหลา หางตาที่ชี้ขึ้นหน่อยๆ มองแล้วมีเสน่ห์ดึงดูดทีเดียว แต่แววตานั้นช่างเย็นเยือก ทำให้รู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้

 

"นายทําแบบนี้ได้ยังไง?!" เด็กสาวเอ่ยถามเสียงสะอื้น

 

สวี่เฉียวหลีดึงสายตากลับมา คาดว่าคงเป็นสาวน้อยไร้เดียงสาสักคนที่ถูกผู้ชายเลวๆ หลอกอีกแล้ว แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้คุ้นตานัก? เธอคิดทบทวนความทรงจําเดิมอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็นึกขึ้นได้จากซอกหลืบของความทรงจําว่าคนคนนี้เป็นใคร ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนรักเจ้าหัวโจก ม.6 คนนั้น

 

แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ และเธอก็ไม่สนใจคนพวกนี้ แทนที่จะสนใจเรื่องนั้น สู้คิดหาวิธีว่าจะคว้าโอกาศแคสงานใหม่อย่างไรดีกว่า เสียงจั๊กจั่นที่น่าหนวกหูในฤดูร้อน ส่งเสียงดังเซ็งแซ่ไม่หยุด

 

เฉินฉือหันหน้ากลับมามองเด็กสาวที่มีคราบน้ำตานองอยู่เต็มใบหน้า เขารู้สึกว่าเสียงสะอื้นไห้ของเธอดังไม่ไหวแล้วเช่นกัน คิ้วของเขาจึงค่อยๆ ขมวดยุ่ง สีหน้าแสดงความเหลืออด "ฉันไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นเลย เธออยากงี่เง่าก็งี่เง่าไปแล้ว โวยวายก็โวยวายไปแล้ว ก็ควรจะรีบไสหัวไปซะ"

 

"นาย! นายถึงกับบอกให้ฉันไสหัวไปเลยเหรอ!?" สีหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เธอมองไปที่เฉินฉือ พร้อมกับกระทืบเท้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและใจสลาย "นายมันเลวจริงๆ"

 

จากนั้นก็วิ่งร้องไห้ออกไป เฉินฉือรู้สึกว่าในที่สุดโลกก็สงบขึ้นมาเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน แต่บนนั้นกลับว่างเปล่าไปแล้ว มีเพียงผ้าม่านที่พลิ้วลู่ลมอยู่เท่านั้น

 

มองอยุ่สักพักก็ถอนสายตากลับมา แล้วเดินตรงไปยังดาดฟ้าของโรงเรียน พื้นที่ส่วนใหญ่บนดาดฟ้าล้วนโอบรับแสงแดดอันร้อนระอุ ด้านล่างของห้องน้ำหนึ่งเดียวบนนี้มีเงาสะท้อนเล็กๆ อยู่เงาหนึ่ง ตรงนั้นคือห้องเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจากสังกะสี ซึ่งดูสะอาดเรียบร้อย ทั้งยังดูอบอุ่นหัวใจดีอีกด้วย

 

เพียงแต่ว่าด้านบนของเบาะลายดอกไม้หล่นลงไปคลุกกับฝุ่นแล้ว ส่วนกีตาร์ตรงมุมผนังดูเหมือนว่าจะถูกเจ้าของทอดทิ้งไปแล้ว หน้ากีตาร์คว่ำลงกับพื้น สายถูกเสียดสีจนผิดรูป

 

เฉินฉือหยิบกีตาร์ขึ้นมา พร้อมสะบัดมันลวกๆ สองครั้ง ส่งผลให้กีตาร์เกิดเสียงขึ้นมา ส่งเสียงวิ้งผิดคีย์ เฉินฉือคลี่ริมฝีปากออก "เจ้าของแกไม่ต้องการแกแล้วเหรอ?"

 

ทว่าไม่มีใครตอบเขา

 

"สวี่เฉียวหลี! ยืนขึ้น! ครูให้เธอตอบข้อนี้ เธอหูหนวกหรือไง?" ภายในห้องเรียน ครูเฉินลี่กำลังชี้นิ้วพลางตะคอกใส่สวี่เฉียวหลีสุดเสียงจนหน้าดำหน้าแดง

 

สวี่เฉียวหลีค่อยๆ ดึงสติตัวเองกลับมา มองไปที่กระดาน เธอเคยไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ คําถามบนกระดานข้อนี้จึงไม่คณนามือเธอเลยสักนิด แต่เธอกลับไม่สามารถตอบออกมาแบบทันควันได้ ผลการเรียนของสวี่เฉียวหลีนั้นย่ำแย่มาก หากจู่ๆ กลายมาเป็นคนที่เก่งไปหมดเสียทุกอย่าง ก็ไม่พ้นดึงดูดความสนใจของอื่นอย่างแน่นอน

 

อีกอย่าง  เธอก็ไม่ชอบครูที่อีโก้สูงคนนี้  ครูเฉินลี่พึงพอใจแต่กับนักเรียนที่เก่งเท่านั้น เวลาเด็กเรียนเก่งขโมยของ เธอก็สามารถพูดกลับดําให้เป็นขาวได้

 

“ไม่ทราบค่ะ" สวี่เฉียวหลีไม่แม้แต่จะลุกขึ้นยืนเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ

 

"เธอออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!"

 

สวี่เฉียวหลีหัวเราะ ‘ฮึ’ ในลำคอ ราวกับได้ยินมุขตลกขำขัน "หนูจ่ายเงินมาเพื่อเรียนหนังสือที่นี่ ไม่ใช่เพื่อให้ครูมาไล่หนูออกนอกห้อง"

 

ทันทีที่ประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา คนทั้งห้องก็ถึงกับอึ้งอ้าปากค้าง ใครเลยจะไม่รู้ว่าครูเฉินลี่คนนี้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความโหดมากแค่ไหน ต่อให้เป็นนักเรียนที่ชอบก่อเรื่องก็ยังต้องกลัวเธอ หลักๆ เป็นเพราะหากมีใครต่อต้านเธอ เธอก็จะสรรหาวิธีใหม่มาหาเรื่องจนได้

 

ครูเฉินลี่โกรธสุดขีด ดวงตาเหลือกจนแทบถลนเบ้า ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเธอแบบนี้มาก่อน เธอชี้นิ้วไปที่สวี่เฉียวหลีด้วยความโกรธพลางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนจะใช้ไม้ตาย นำหนังสือในมือทุบไปบนโต๊ะอย่างแรง "สวี่เฉียวหลี! เธอนี่มันเกินเยียวยาจริงๆ  ฉันไม่สอนแล้ว ห้องพวกเธอก็เรียนกันเองแล้วกัน ถ้ามีเด็กอย่างเธออยู่ก็ต้องไม่มีฉัน เฉินลี่ คนนี้!"

 

จากนั้นก็เดินหน้าดำหน้าแดงออกไป รองเท้าส้นสูงกระแทกพื้นจนเกิดเสียงดัง "ตึ้ง ตึ้ง" ราวกับต้องการให้คนทั้งตึกได้ยินการเคลื่อนไหวของเธอ

 

"สวี่เฉียวหลี เธอไล่ครูออกไปแล้ว เธอรีบออกไปเถอะ" กรรมการห้องกล่าวอย่างเหลืออด

 

สวี่เฉียวหลีมองไปที่พวกเขาแวบหนึ่ง แล้วมองไปยังประโยคภาษาอังกฤษที่อยู่บนกระดาน ‘you will be grateful for your effort’

 

‘คุณจะซาบซึ้งในความพยายามของตัวเอง’ ประโยคง่ายจะตายไป แต่เฉินลี่ก็ยังไม่วายนำประโยคนี้มาทำให้เธอขายหน้า

 

สวี่เฉียวหลีเดินออกจากห้องเรียนไป เธอเองก็คร้านจะฟังครูเฉินลี่สอนเหมือนกัน จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เธอจำได้ว่าบนดาดฟ้ามีที่ประจำเล็กๆ อยู่ที่หนึ่ง บนนั้นยังมีกีต้าร์อยู่ตัวหนึ่งอีกด้วย มีเพียงเจ้าของเดิมเท่านั้นที่มีกุญแจ เธอมักจะฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็นไปหลบอยู่ในห้องนิรภัยขนาดเล็กนั่น

 

บนนั้นไม่มีใครรังแกเธอได้ และไม่มีใครด่าทอเธอได้เช่นกัน

 

แต่เมื่อสวี่เฉียวหลีเพิ่งจะเดินขึ้นบันไดไปไม่เท่าไหร่ ก็เห็นเด็กสาวผมสีชมพูยืนอยู่ด้านบนบันได พร้อมทั้งเด็กสาวผมสีช็อกโกแลตที่หาเรื่องเธอเมื่อเช้านี้

 

คนผมสีชมพูชื่อ 'ชวี่เสี่ยวเอ๋อร์' เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนฝันร้ายจากห้วงลึกในความทรงจําของเจ้าของร่างเดิม ส่วนคนผมสีช็อกโกแลตชื่อ 'อันขุยเสวี่ย' เป็นเบ้รับใช้ของชวี่เสี่ยวเอ๋อร์ กล่าวโดยสรุปคือทั้งคู่ไม่ใช่คนดีอะไร

 

สวี่เฉียวหลีมองไปยังด้านหลังตัวเอง มีผู้ชายสองสามคนขวางทางลงด้วยเช่นกัน

 

"แกเก่งนักไม่ใช่เหรอ? เดินไปกับพวกเราสิ" อันขุยเสวี่ยแสยะยิ้มพูด บนใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เธอวางแผนมาเรียบร้อยแล้วว่าจะจัดการกับนางตัวดีนี้ยังไง

 

ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าเป็นใคร ก็พอดีมีข่าวว่าสวี่เฉียวหลีมาโรงเรียนแล้วลอยเข้าหู กระทั่งคนที่ทำเรื่องอุกอาจบนรถบัสเมื่อเช้านี้ก็คือสวี่เฉียวหลีเช่นกัน ตอนแรกเธอไม่ค่อยเชื่อนัก สวี่เฉียวหลีคือใครน่ะเหรอ ก็เป็นที่ระบายให้คนอื่นรังแกอย่างไรก็ได้ ตีไปก็ไม่โต้กลับ ด่าไปก็ไม่ปริปาก

 

แต่ทำไมคนที่คล่องแคล่วว่องไวเมื่อเช้านี้ถึงดูไม่เหมือนสวี่เฉียวหลีเลย บวกกับหลังจากที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าจากปากเกาเฉียวแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าคนคนนั้นไม่น่าใช่สวี่เฉียวหลี

 

หากไม่ใช่เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีหน้าตาเหมือนกับสวี่เฉียวหลีอย่างกับแกะ พวกเธอคงจะนึกว่าเป็นนักเรียนที่ย้ายมาจากโรงเรียนอื่น

 

สวี่เฉียวหลีมองไปรอบๆ บนมุมผนังที่ห่างออกไปสามร้อยเมตรมีกล้องตัวหนึ่งติดอยู่ แต่ด้านนี้เป็นทางตัน กล้องที่มีเพียงตัวเดียวคือตัวที่อยู่บริเวณหัวมุมบันไดชั้นบน

 

พูดง่ายๆ ก็คือบริเวณบันไดนี้เป็นจุดบอด ไม่มีใครเห็น นับว่าคนพวกนี้ยังฉลาดในการเลือกตำแหน่งอยู่หน่อย อีกอย่างตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างเวลาเรียน ห้องทำงานของครูอยู่ตรงทางเดินด้านขวา แทบจะไม่มีใครเดินมาด้านนี้เลย

 

สวี่เฉียวหลีโยกคอบิดเล็กน้อย และมองไปยังคนที่อยู่ข้างหน้า พร้อมกับเผยรอยยิ้ม ทว่าในใจไม่สบอารมณ์เลยแม้แต่น้อย เธอหรี่ตาสำรวจมองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด

 

จากนั้นพูดว่า "เราจะเดินขึ้นไปด้วยกันเหรอ? หรือจะให้ฉันเริ่มก่อนดี?"

 

สิ้นประโยคนั้น ทุกคนก็อึ้งอยู่กับที่ ไม่มีใครคาดคิดว่าสวี่เฉียวหลีจะเหิมเกริมได้ถึงขนาดนี้ โดยเฉพาะอันขุยเสวี่ย ที่ตอนนี้ใบหน้ากำลังบึ้งตึง เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อเช้าก็ได้แต่รู้สึกเสียหน้า

 

“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา แต่ฉันก็อยากจะดูว่าแกจะยังปากเก่งอยู่อีกไหม” อันขุยเสวี่ยเค้นหัวเราะเสียงเย็น ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าออกไป สวี่เฉียวหลีก็จับผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างหลังทุ่มลงไปบนพื้นแล้ว

 

ต้องเข้าใจก่อนว่ารูปร่างของเด็กผู้ชายสองคนนั้นต่างก็สูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรและค่อนข้างบึกบึนกันทั้งคู่ ส่วนสวี่เฉียวหลีเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ร่างผอมบาง ตัวเธอสูงไม่ถึงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร แต่กลับสามารถทุ่มคนลงพื้นได้อย่างง่ายดาย

 

อันขุยเสวี่ยหุบปากทันที มองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะมองไปยังชวี่เสี่ยวเอ๋อร์ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

 

"ทำไม พวกเธอก็อยากจะลองเหมือนกันเหรอ?" สวี่เฉียวหลีปัดฝุ่นที่อยู่บนมือไปมา แล้วเอ่ยถามสองคนนั้นที่ยืนอยู่บนบันไดด้านบน

 

"ไปเถอะ" ชวี่เสี่ยวเอ๋อร์พูด แล้วเดินลงบันไดไป อันขุยเสวี่ยมองไปที่สวี่เฉียวหลี แล้วก็หันไปมองชวี่เสี่ยวเอ๋อร์ จากนั้นก็วิ่งตามหลังชวี่เสี่ยวเอ๋อร์ไปอย่างคนอารมณ์เสีย ก่อนจากไปยังไม่วายใช้สายตาเกลียดชังมองสวี่เฉียวหลีอีกด้วย

 

สวี่เฉียวหลีไม่สนใจ ทว่าขณะที่กำลังจะเดินตรงไป ทางเดินด้านหน้าก็ถูกเงาร่างสูงผอมร่างหนึ่งยืนขว้างเอาไว้ เธอมองไปยังคนที่มาใหม่

 

นัยน์ตาลุ่มลึกสีเขียวเข้มคู่นั้นปรากฎแววเฉยชา สีหน้าเรียบเฉย แต่กลับจ้องมองสวี่เฉียวหลีไม่วางตา ราวกับต้องการจะมองทะลุผ่านตัวเธอ คงไม่ใช่คนที่อยู่ข้างล่างที่เพิ่งถูกผู้หญิงตบหน้านั่นหรอกนะ?

 

"มีอะไร? หรือเป็นพวกเดียวกันกับคนพวกนั้น?” สวี่เฉียวหลีปั้นสีหน้าเอาเรื่อง เอ่ยถามด้วยความอดทน

 

แต่คนตรงหน้ากลับไม่พูดอะไร

 

สวี่เฉียวหลีสบตาเฉินฉือที่เหมือนเกล็ดน้ำแข็งคู่นั้น คิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน เธอไม่อยากสนใจคนประสาทที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป จากนั้นจึงเบี่ยงตัวเตรียมจะเดินไปอีกทาง

 

แล้วเขาก็พูดว่า "ฉันชื่อเฉินฉือ เธอล่ะ?"

 

"เดาดูสิ" สวี่เฉียวหลีไม่รอให้เขาเดา เดินจ้ำอ้าวจากไปแล้ว

 

เฉินฉือ? เฉินฉือ? สวี่เฉียวหลีนึกอยู่ค่อนวันก็ยังนึกไม่ออกว่าเป็นใคร ดูจากลักษณะก็น่าจะเป็นคนที่มีความคิดค่อนข้างแปลกแยกจากคนอื่น ทั้งยังคลุกคลีอยู่กับพวกกลุ่ม ม.6 นั่นอีก คาดว่าคงไม่ใช่คนดีอะไร

 

บนดาดฟ้าในเวลานี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน เมื่อสวี่เฉียวหลีหยิบกุญแจออกมา ถึงได้พบว่าตัวล็อกหน้าประตูถูกคนเปิดออกแล้ว แต่มันถูกเปิดออกด้วยวิธีที่รุนแรงมาก จนแม่กุญแจพังเสียหาย

 

กุญแจดาดฟ้านี้ สวี่เฉียวหลีคนเดิมได้มันมาโดยบังเอิญ ซึ่งปกติแล้วไม่มีใครมาที่นี่ ทว่าดูจากสภาพการณ์แล้ว คนที่มายังที่แห่งนี้ดูท่าจะเยอะไม่เบา แต่บ้านสังกะสีขนาดเล็กของเธอยังอยู่ อีกทั้งกีต้าร์ก็นอนราบอยู่ข้างๆ

 

สวี่เฉียวหลีหยิบกีต้าร์ขึ้นมา นิ้วเรียวยาวดุจหยกดีดไปบนสายสองครั้งช้าๆ แต่เสียงเพี้ยนเหลือทน เธอจึงถือโอกาสแบกมันไว้ด้านหลังแล้วกระโดดข้ามกำแพงหลังโรงเรียนเพื่อไปซ่อมสายกีต้าร์

 

ร้านขายเครื่องดนตรีอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก โดยปกติจะมีนักเรียนสายศิลป์มาซื้อของที่นี่กัน ราคาก็ถือว่าย่อมเยา แต่ช่วงกลางวันอย่างตอนนี้ไม่ค่อยมีคน ทันทีที่เดินเข้าไปในร้าน ก็เห็นผู้ชายพิลึกกำลังนั่งงีบหลับอยู่

 

เมื่อกริ่งบนประตูกระจกถูกสั่นจนเกิดเสียง 'ดิ่งด่อง' เฉินฉือจึงลืมตาขึ้น กวาดสายตามองคนที่อยู่หน้าประตู จากนั้นก็พลันเห็นกีตาร์ตัวนั้นที่อยู่บนหลังของเธอ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แล้วเอนหลังพิงกับฟูกนุ่มบนพนักเก้าอี้ ดูเหมือนเจ้าตัวจะบกพร่องในหน้าที่มาก สวี่เฉียวหลีเป็นลูกค้ายังไม่สนใจเลย

 

สวี่เฉียวหลียืนอยู่ตรงนั้น แล้วมองไปยังด้านหลังเคาน์เตอร์พลางเอ่ยถามว่า "มีใครอยู่ไหมคะ?"

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป